บทที่ 99 ออกเดินทาง
ฉู่อวิ๋นตามพ่านพ่านมาจนถึงถ้ำที่ค่อนข้างว่างเปล่า มองเห็นชนเผ่าสุนัขหลายคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ และมีบางคนกำลังยุ่งอยู่กับการถอดเสื้อผ้าเปื้อนเืของใครบางคนทิ้ง
“น่าสังเวชเหลือเกิน หากเปลี่ยนเป็ข้าคงทนไม่ไหวหรอก”
“คนข้างนอกแข็งแกร่งมาก พวกเขายังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ช่างเป็การได้รับพรจากเทพสุนัขจริงๆ!”
“โชคดีที่สุนัขบพิตริญญาได้กลิ่นเข้า ไม่อย่างนั้นคงจะตายไปแล้ว”
ทุกคนกำลังพูดถึงเื่เดียวกันและจ้องมองเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำด้วยสีหน้าที่ทนมองดูไม่ได้
ฉู่อวิ๋นได้ยินการสนทนารอบตัวเขาและรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น ดูเหมือนว่า สิ่งที่สุนัขบพิตริญญาคาบกลับมาจากภายนอกคืุ์ เป็ผู้ใดกัน?
ด้วยความสงสัย ฉู่อวิ๋นจึงเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว เดินไปยังพื้นที่เปิดโล่ง และมองเข้าไปใกล้ๆ แต่ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความปีติยินดี!
“นี่คือ... หัวหน้าซ่ง?!”
ชายคนนี้นั่งอย่างอิดโรยบนพื้นโดยหันหลังพิงกำแพงหิน ไม่ว่าจะรูปร่างหรือเครื่องแต่งกายล้วนคล้ายกับซ่งอี้มาก แต่ผู้นำที่ชอบธรรมของกลุ่มัเหล็กคนนี้ได้เสียชีวิตแล้วในช่องทางแคบๆ ระหว่างแม่น้ำ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
ฉู่อวิ๋นใช้ก้าวเงาบินเข้าไปสังเกตอย่างใกล้ชิด มองเห็นว่าชายคนนั้นร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เปรอะเปื้อนรอยเืไปทั่วตัว ไม่ตรงกับภาพลักษณ์ของชายผู้สูงส่งคนนั้นเลย
แต่เมื่อสังเกตดูอีกครั้ง ก็มองเห็นดาบเล่มใหญ่ที่สะท้อนแสงเข้าตาเขาพอดี คมดาบย้อมเืจนกลายเป็สีแดงสด
“ดาบัเหล็ก!”
ฉู่อวิ๋นจำอาวุธสมบัตินี้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็มองไปที่ชายคนนั้นบนพื้น เขากัดฟันแน่น ั์ตาสั่นระริก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายที่กำลังจะตายคนนี้ ย่อมต้องเป็ซ่งอี้ที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตทุกคน!
ในวันนั้น เพื่อปกป้องกลุ่มัเหล็ก ซ่งอี้ได้สังหารสัตว์ปีศาจที่ทรงพลังอย่างจระเข้กลืนฟ้าและตนเองก็กำลังจะถูกสังหารอย่างโเี้ ฉู่อวิ๋นไม่คิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่และโชคดีที่ถูกสุนัขบพิตริญญาพากลับมา นี่น่ายินดียิ่งนัก
“หัวหน้าซ่ง! หัวหน้าซ่ง?”
เมื่อเห็นว่าซ่งอี้บอบช้ำเพียงใด ฉู่อวิ๋นจึงพยายามเรียกเขาแต่ก็ไร้การตอบกลับ เขาถามพ่านพ่านว่า “พ่านพ่าน หัวหน้าซ่งเป็อย่างไรบ้าง? อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”
พ่านพ่านส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “อวิ๋นอวิ๋นอย่ากังวลไป หัวหน้าซ่งไม่เป็อะไรมาก เพียงแต่อาการาเ็ของเขาสาหัสเกินไป ด้วยพลังยุทธ์ของเขาและการรักษาของเรา ข้าเชื่อว่าไม่นานเขาจะต้องฟื้นตัวกลับมาแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นก็ดีใจมาก ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ซ่งอี้ยืนปักหลักอยู่ที่ทางเข้ายังคงแจ่มชัดอยู่ในใจเขา ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขาโชคดีรอดมาได้ ฉู่อวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อย่างไรเสีย หากซ่งอี้ไม่เสียสละ ฉู่อวิ๋นก็คงจะตายในเส้นทางน้ำแคบๆ คงไม่อาจรอดมาถึงถ้ำลับเผ่าสุนัขได้ และคงไม่มีโชคได้ทะลวงระดับพลังยุทธ์เช่นนี้
“เฮ้อ...น่าเสียดายที่สือเหล่ยและคนอื่นๆ...” ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง หวนนึกถึงความทรงจำที่ต้นน้ำ แม้ว่าซ่งอี้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่สือเหล่ยกับเมิ่งซานถูกก้อนหินทับไว้ โอกาสรอดของพวกเขาก็แทบจะเป็ศูนย์
ตอนนี้ เขาหลับตาและนึกถึงครั้งที่ก้อนหินน้อยใหญ่ร่วงลงมาทำลายทางน้ำราวกับฟ้าร้อง สือเหล่ยและเมิ่งซานถูกปกคลุมไปด้วยสัตว์ปีศาจที่ทุบกำแพงหินเข้ามาจนปิดกั้นทางเดินแคบๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเขาซาบซึ้งยิ่งนัก
เมื่อเทียบกับซ่งอี้แล้ว การเสียสละของพวกเขาดูน่าเศร้ากว่ามาก
“อวิ๋นอวิ๋น เ้าพูดถึงชายร่างใหญ่และผู้ฝึกธนูคนนั้นใช่หรือไม่?” พ่านพ่านพูดขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่อวิ๋นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ถ้าในตอนนั้นข้าแข็งแกร่งพอ พวกเขาสองคนอาจจะไม่ตาย”
หลังจากพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว
“ฮิฮิ ตามข้ามา!” เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของฉู่อวิ๋น พ่านพ่านก็ยื่นมือไปกอดแขนเขาไว้แน่นแล้วดึงไปอีกฟากหนึ่งของถ้ำ ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูสิๆ นั่นผู้ใดกัน?”
ฉู่อวิ๋นใเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปข้างหน้าแล้วะโออกมา “พี่สือ พี่เมิ่ง!?”
ทว่าอาการาเ็ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ารุนแรงกว่าซ่งอี้ ลมหายใจของพวกเขาอ่อนระโหย ร่างกายเต็มไปด้วยรูทะลุ มือและเท้าไม่เพียงมีรอยฟันเท่านั้น แต่ยังบิดเบี้ยวและกระดูกหักอีกด้วย
แต่อย่างน้อยก็รอดชีวิตมาได้
“พวกเขายังไม่ตาย! ยังไม่ตาย!!” ดวงตาของฉู่อวิ๋นแดงก่ำ แสดงสีหน้าประหลาดใจ
ความจริงแล้ว ต่อให้มู่หรงซินจะเคยปลอบใจฉู่อวิ๋น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดและคร่ำครวญต่อกระแสสัตว์ปีศาจที่กำลังใกล้เข้ามาอยู่ดี เขาเกือบจะคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เขาปลุกิญญายุทธ์พิการขึ้นมาด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าซ่งอี้ สือเหล่ยและเมิ่งซานปลอดภัย ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกโล่งใจและผ่อนคลายอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่า์จะไม่ได้ไร้ใจนัก!
วันรุ่งขึ้น ด้วยจิตใจที่สุขสงบ ในที่สุดฉู่อวิ๋นก็ก้าวหน้าในการฝึกฝนอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ฝ่ามือัพเนจรจะเกินระดับเริ่มต้นเท่านั้น แต่เขายังควบแน่นพลังัคำรามได้สำเร็จและกลายเป็ระดับสองของัคลั่งโจนสมุทรแล้วด้วย
หลังจากได้ัักับการต่อสู้อันนองเืของสัตว์ปีศาจที่ดุร้ายแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ใช้ฝ่ามือัพเนจรได้อย่างคล่องแคล่ว ย่อมเป็เื่ปกติที่เขาจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
รุ่งอรุณส่องหล้า ทิวากาลหลบแสง ดาราบริพัตรสั่นไหว ในที่สุดวันที่ทำนายไว้ก็มาถึง
ป่าสีเืยังหลงเหลือความวุ่นวายอยู่ หมอกสีแดงบนท้องฟ้าเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ พวกมันม้วนตัวอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นพายุ พลุ่งพล่านไปในทิศทางเดียวกันด้วยพลังที่น่าใ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ฉู่อวิ๋นก็เก็บสัมภาระด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เดินออกจากถ้ำลับเผ่าสุนัขพร้อมกับมู่หรงซิน
“จิ๊ดจิ๊ด——! จิ๊ดจิ๊ด!”
ต่างจากอารมณ์ประหม่าของทั้งสองคน เสี่ยวหวงดูตื่นเต้นมาก ส่งเสียงร้องไม่หยุด ะโขึ้นลงบนไหล่ของฉู่อวิ๋น ทำให้เขายิ้มอย่างขมขื่น
เดิมทีฉู่อวิ๋นวางแผนที่จะปล่อยให้เสี่ยวหวงอยู่ในถ้ำลับ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นแล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถผ่านใจกลางป่าสีเืได้ ด้วยร่างกายที่เปราะบางของเสี่ยวหวง แตะต้องเพียงนิดก็ตายได้ อยู่ในที่ปลอดภัยดีกว่า
แต่เ้าตัวนี้กลับยืนกรานที่จะติดตามไปด้วย ซ้ำยังเกาะไหล่ของฉู่อวิ๋นไม่ปล่อย ตอนนอนก็ยังมุดตัวเข้าไปในเสื้อผ้าเขาด้วยกลัวว่าเขาจะหนีไป
ทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉู่อวิ๋นทำได้เพียงพามันไปด้วยเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน สองคนหนึ่งสัตว์ปีศาจก็มาถึงปากถ้ำ พวกเขาเห็นปุโรหิตอาหย่าเป็ผู้นำเผ่ารอคอยอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“จอมยุทธ์ฉู่ คิดว่าเ้าคงเห็นสถานการณ์ข้างนอกแล้ว เมฆหมอกบนท้องฟ้าเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ปีศาจเพ่นพ่านไปทั่วป่า เ้ายังอยากไปอีกหรือ?” ปุโรหิตอาหย่าพูด
“ข้าน้อยได้ตัดสินใจแล้วขอรับ ขอท่านปุโรหิตอย่าได้กังวล ว่ากันว่าชีวิตและความตายถูกกำหนดด้วยโชคชะตา แต่ข้าน้อยก็อยากจะขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือพวกข้าในสองวันมานี้” ฉู่อวิ๋นแสดงท่าทีที่มั่นคงและขอบคุณสมาชิกเผ่าสุนัขโดยรอบ
ใน่สองวันที่ผ่านมา เขาเข้ากันได้ดีกับคนป่าแสนเรียบง่ายเหล่านี้ และยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในครอบครัวอีกด้วย
แต่วันนี้เป็โอกาสเดียว ฉู่อวิ๋นจะต้องจากไป เพราะอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ฉู่ซินเหยาก็จะถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว
ฉู่อวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านปุโรหิตอาหย่า เพื่อนทั้งสี่ของข้าคงต้องฝากท่านแล้ว หากไม่มีพวกเขา เกรงว่าข้าและพ่านพ่านก็คงรอดมาไม่ได้”
อาหย่าพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้ารู้เื่นี้จากพ่านพ่านแล้ว คนพวกนี้มีจิตใจดี ข้าจะสั่งให้ชาวเผ่าดูแลพวกเขาให้ดี เมื่อกระแสสัตว์ปีศาจจบลง พวกเขาก็จะไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย จอมยุทธ์ฉู่ไม่ต้องกังวล”
“ไอ้หยา อย่าทำเหมือนจะสั่งเสียกันสิ ตอนนี้คุณหนูเช่นข้ามีพลังมากจนยิงสัตว์ปีศาจได้อีกหลายตัวเชียว!” มู่หรงซินดูอวดโอ้
ตอนนี้นางได้ทะลวงสู่ระดับแปดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว ค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองพอควร
“ฮะฮะ พูดถึงเื่นี้แล้ว ข้ายังมีของขวัญสำหรับแม่นางผู้นี้ด้วย” จู่ๆ อาหย่าก็ยกยิ้ม
ทันใดนั้น นางก็หยิบกล่องไม้ลายวิจิตรออกมา หยิบลูกศรผลึกแก้วห้าลูกที่เป็สมบัติล้ำค่ามามอบให้มู่หรงซิน
“นี่คือศรโลหิตบพิตริญญาห้าลูก ช้าสร้างขึ้นมาโดยใช้กระดูกล้ำค่าของสุนัขบพิตริญญาที่ตายไปแล้ว พวกมันคมกริบ สามารถฆ่าสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่าได้”
“ถึงแม้ว่าแม่นางมู่หรงจะทะลวงระดับขั้นแล้ว แต่ช่องว่างระหว่างเ้ากับจอมยุทธ์ฉู่ก็มีอยู่ไม่น้อย ข้าหวังว่าเ้าจะสามารถใช้ลูกศรนี้ให้เกิดประโยชน์ เอาชนะความยากลำบากไปพร้อมกับจอมยุทธ์ฉู่”
มู่หรงซินหยิบศรธนูสมบัติทั้งห้าลูกออกมา มองเห็นว่าลูกธนูนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งหัวลูกศร ตัวลูกศร และขนหาง ล้วนทำจากกระดูกสมบัติและมีร่องรอยของเส้นเืที่ส่องประกายอยู่ในนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยพลังมหาศาล
ลูกศรเหล่านี้ทำมาจากกระดูกอันล้ำค่าของสุนัขบพิตริญญา มีคุณค่าหาใดเปรียบ แต่อาหย่ากลับมอบให้ถึงห้าลูกอย่างไม่หวง
“ขอบคุณท่านมหาปุโรหิต! คุณหนู... ข้าจะดูแลคนงี่เง่าคนนี้อย่างดี จะไม่ปล่อยให้เขาวิ่งไปทั่วแน่!” มู่หรงซินดูเคร่งขรึมและขอบคุณอาหย่าอย่างจริงใจ ในขณะเดียวกันก็มองไปที่ฉู่อวิ๋นด้วย
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหัว คิดว่าเขาไม่รู้จริงๆ ว่าใครจะต้องดูแลใคร
หลังจากนั้นไม่นาน อาหย่าก็สั่งให้ชนเผ่านำสุนัขบพิตริญญาโตเต็มวัยสองตัวเข้ามา ให้ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินขึ้นขี่พวกมัน นางกล่าวว่า “แม้ว่าสุนัขบพิตริญญาสองตัวนี้จะไม่แข็งแกร่งในการต่อสู้นัก แต่รวดเร็วดั่งลม ในโลกอันนองเืใบนี้ มีสัตว์ปีศาจเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถตามมันทัน พวกมันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์และจะพาเ้าไปยังป่าสีเืได้”
จากนั้น นางก็หันหลังและเดินกลับไปที่ใจกลางของเผ่าสุนัข ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ในนามของเผ่าสุนัข ข้าขออวยพรให้เ้าตลอดทางไร้กังวล!”
“ตลอดทางไร้กังวล!”
คนป่าทั้งหมดกล่าวคำอำลาฉู่อวิ๋นตามอาหย่าอย่างพร้อมเพรียงกัน โบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาะเืใจเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลามากนักกับสมาชิกชนเผ่าสุนัขเหล่านี้ แต่ฉู่อวินก็รับรู้ถึงตัวตนที่เรียบง่ายของพวกเขา คนเหล่านี้ไร้พิษภัย จิตใจดี แตกต่างจากผู้คนในโลกพลังยุทธ์อย่างสิ้นเชิง
“เป็อะไรไป? น้ำตาซึมเช่นนี้ ตัดใจไม่ลง?” มู่หรงซินพูดหยอกเมื่อเห็นฉู่อวิ๋นเงียบไป
“หากรอดจากป่าสีเืไปได้ ภายหลังข้าต้องกลับมาแน่ มีสิ่งใดให้ตัดใจไม่ลงกัน? ไปกันเถอะ!” ฉู่อวิ๋นหรี่ตา เขากำลังจะควบคุมสุนัขบพิตริญญาให้หันกลับไป แต่ก็เห็นพ่านพ่านวิ่งเข้ามาหาก่อน
“อวิ๋นอวิ๋น~”
“มีอะไรหรือ?”
“พ่านพ่านก็อยากมอบของขวัญอำลาเ้าเหมือนกัน~”
“หือ? ของขวัญอะไร?”
“ฮิฮิ” พ่านพ่านยิ้ม และในขณะที่ฉู่อวิ๋นมึนงง นางก็คว้ามือของฉู่อวิ๋นไปวางไว้บนหน้าอกใกล้ๆ หัวใจ "นี่เป็การอวยพรแบบพิเศษของเผ่าสุนัขแหละ!"
ถัดจากเขา เมื่อมู่หรงซินเห็นฉากนี้ ดวงตาของนางก็ลุกเป็ไฟ คิ้วนางเลิกขึ้น และพลังที่พุ่งทะยานทำให้สุนัขบพิตริญญาส่งเสียงครวญครางทันที
ในฐานะสัตว์อสูร มันสามารถรับรู้ได้ว่าในตอนนี้มนุษย์ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างน่ากลัว
“เอาล่ะ... ตอนนี้ก็สายแล้ว ข้าจะไปแล้ว!” ฉู่อวิ๋นหลั่งเหงื่อเย็นๆ สองสามหยด รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสีหน้าของมู่หรงซิน เขาจึงดึงฝ่ามือออก
“จอมยุทธ์ฉู่ พวกเราก็อยากจะอวยพรท่านเช่นกัน!” ในเวลานี้ หญิงชาวป่าอีกหลายคนพูดขึ้นมา
“อืม ในฐานะมหาปุโรหิตแห่งเผ่า ข้าไม่อาจล้าหลังได้!” อาหย่ายืนมองอย่างเคร่งขรึม จ้องมองที่ฉู่อวิ๋นด้วยสายตาเคารพ และพร้อมที่จะลงมือ
“นี่...มารยาทนี้ยุ่งยากเกินไป! ไว้ค่อยอวยพรเถอะ ทุกท่านดูแลตัวเองด้วย!”
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ ฉู่อวิ๋นก็ใจนเหงื่อแตก แม่นางทั้งหลายจากเผ่าสุนัขกระตือรือร้นมากจริงๆ! จากนั้น เขาก็กล่าวคำอำลาอีกครั้ง และขี่สุนัขบพิตริญญาออกไป กลายเป็ภาพติดตาที่วิ่งออกไปจากปากถ้ำพร้อมกับมู่หรงซิน