ก่อนที่นางจะกลับมายังหมู่บ้านสามสิบลี้ก็ได้ไปสืบถามมา จึงรู้ว่าครอบครัวนี้ตั้งใจจะย้ายออกจริงๆ เพียงแต่สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อทันที
พอนางกลับไปแล้วลองใคร่ครวญดูอีกครั้ง จึงกลัวว่าตนเองที่กลับไปชนบทหลังเขาแล้วจะพลาดโอกาสนี้ไป
กระนั้น หลังจากที่ได้บอกกล่าวกับหลิวต้าฟู่ เมื่อเขาเห็นด้วยกับการซื้อบ้านในตัวจังหวัด จึงรู้สึกว่าควรจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อยจึงจะวางใจได้
หลิวฉีซื่อไม่ได้ยินดีกับชีวิตที่นี่นัก นาง้ากลับไปยังจังหวัด แม้ว่าลูกๆ จะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ตาม
แม้นว่าผมเผ้าจะเริ่มหงอกเป็สีขาว แต่วันเวลาไม่ได้ช่วยดับสลายความคิดนี้ กระทั่งว่าเป็ความตั้งใจแน่วแน่ที่สำคัญเท่าๆ กับเื่ยศฐาบรรดาศักดิ์
ต่อจากนั้นหลิวฉีซื่อจึงเขียนเื่ราวในจดหมายที่พอให้คนอ่านออกได้ แล้วแนบกระดาษเงินแปดร้อยตำลึงเงินไว้ในจดหมาย สั่งให้บุตรชายคนโตไปซื้อบ้านหลังนั้นไว้
หลิวสี่กุ้ยเห็นว่านางกังวลมาก เขาจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ท่านแม่ส่งเงินไปด้วย”
“จัดการเรียบร้อยได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าบ้านหลังนั้นไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่ถึงหนึ่งร้อยไร่นี่นา!” หลิวฉีซื่อยิ้มจนไม่อาจหุบลงได้
นางเชื่อว่าบุตรชายจะสามารถทำเื่ที่เป็ไปไม่ได้ให้สำเร็จ นับว่าเป็ความสามารถของเขา ผู้ใดคิดจะแย่งก็ไม่อาจทำได้
ตอนที่หลิวสี่กุ้ยถือกระดาษเงินแปดร้อยตำลึงนั้น ในใจมีไฟลุกโชน ถึงกับนอนไม่หลับทั้งคืน!
เขามีความสุขยิ่งนัก!
ที่แท้ตระกูลของตนเองก็มีทรัพย์สินไม่น้อย!
เขานึกเสียใจที่แต่เดิมไม่ได้เลียนแบบเ้าสอง หลิวเหรินกุ้ย ที่เอาแต่เอาอกเอาใจท่านแม่ หากเป็เช่นนั้นเขาเองคงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย
เขาไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ท่านแม่ เดิมทีก็ซื้อไม่ได้ ต่อมาข้าได้ยินว่ามีคน้าซื้อเช่นกัน แต่บ้านพร้อมที่นาที่เล็กที่สุดของเขาก็คือสามร้อยไร่ ข้าจึงไปพูดคุยกับอีกสามบ้าน จากนั้นซื้อบ้านพร้อมที่นาสามร้อยไร่ร่วมกัน ข้าใช้กระดาษเงินที่ท่านแม่ให้แบ่งซื้อได้หนึ่งร้อยไร่ แล้วคิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่คงยังไม่ได้ไปอาศัยในเร็วๆ นี้ จึงไม่ได้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนในที่ดินตรงนั้น”
หลิวสี่กุ้ยเคยคิดว่าจะแกล้งทำเป็ซื้อไม่สำเร็จ แล้วคิดหาวิธีโกหกหลิวฉีซื่อเพื่อที่จะได้เก็บเงินก้อนนี้ไว้เสียเอง ปรากฏว่าภรรยาของเขาหลี่ซื่อไม่เห็นด้วย
นางบอกหลิวสี่กุ้ยว่า หลิวจื้อเซิ่งเรียนใช้ได้ สมองชาญฉลาด อาจารย์เองก็กล่าวชมเชย ฉะนั้นห้ามเห็นแก่ของเล็กน้อยจะทำให้เสียผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า ที่นาจำต้องซื้อ เพียงแต่ว่าจะให้ได้ผลประโยชน์เช่นไรนั้น ก็ต้องดูว่าหลิวสี่กุ้ยจะจัดการอย่างไร
“เหตุใดเ้าถึงไม่ซื้อ? หากได้ที่อยู่อาศัยด้วย เวลาข้ามีโอกาสจะได้ไปพัก ใช่แล้ว ที่นั่นห่างจากตัวจังหวัดมากหรือไม่?”
หลิวฉีซื่อ้าไปพักที่จังหวัดบ่อยๆ จะได้ติดต่อกับนายเก่าได้อย่างต่อเนื่อง เช่นนี้เมื่อถึงเวลาที่บุตรชายจะลงสอบ หากว่าเกิดความผิดพลาดประการใด นางจะได้ไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
“ท่านแม่ ไม่ต้องรีบร้อน ครอบครัวนั้นมีที่นาสามร้อยกว่าไร่ไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่า ถึงตอนนั้นก็ค่อยแบ่งพื้นที่ออกมาสักไม่กี่ไร่เพื่อสร้างบ้านที่ใหญ่สักหน่อย จากนั้นค่อยทำสวนหย่อมดอกไม้ ถึงเวลาท่านแม่จะได้พาหลันเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์เย็บปักถักร้อยกัน จับผีเสื้อ ชีวิตเช่นนั้นช่างรื่นรมย์ยิ่งนัก”
“หืม ถ้าเช่นนั้นต้องสร้างเรือนหลังใหญ่หน่อย หรือไม่ บ้านที่ชนบทนี้ก็ไม่ต้องสร้างดีเกินไปนักจะดีกว่า”
เดิมทีหลิวฉีซื่อเติบโตในจังหวัด เมื่ออายุถึงเกณฑ์ก็เข้าไปทำงานในจวน ในสายตาของนางจึงมีเพียงความรุ่งเรืองอู้ฟู่
เวลานี้ความปรารถนาของนางกำลังจะเป็จริง นางไม่อยากอยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้ต่อแม้แต่วันเดียว
ดวงตาของหลิวสี่กุ้ยปรากฏแววดีใจ แผนการของเขากำลังจะสำเร็จแล้ว!
“ท่านแม่ ที่ดินนั้นเป็ที่นาดี ข้าว่าแบ่งออกมาสักสิบไร่ หกไร่ไว้สร้างบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนพ่วงกับเรือนหลังบ้านของบ่าวรับใช้ น่าจะเพียงพอ จากนั้นก็สร้างเรือนรับแขกไว้สองฝั่งซ้ายขวาเพื่อให้แขกผู้มาเยือนได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบาย”
“สวนหย่อมพื้นที่สี่ไร่ก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่โตมาก แต่ก็เพียงพอให้ครอบครัวเราเดินเล่นได้”
หลิวฉีซื่อนั้นอิจฉาบรรดาฮูหยินเซียงเซินที่มีเด็กรับใช้คอยปรนนิบัติ แล้วในบ้านยังมีสวนหย่อมไว้ต้อนรับแขกอีกด้วย
นางสะกดกลั้นความตื่นเต้นของตนเองไว้ไม่อยู่
“ท่านแม่ ข้าว่าบ้านที่นี่ไม่ต้องสร้างแล้ว เหตุผลที่หนึ่งคือ ท่านซื้อบ้านที่นั่น ที่ดินที่ข้าซื้อยังมีพื้นที่รกร้างหนึ่งผืน เห็นว่าน่าจะนำพื้นที่สิบไร่มาสร้างเรือน พื้นที่สวนหย่อมคงเล็กไปหน่อย จึง้าซื้อพื้นที่รกร้างด้านข้างไว้ราวห้าถึงหกไร่ เพียงแต่ว่าพื้นดินตรงนั้นไม่อาจปลูกข้าวได้ แต่ทำเป็สวนหย่อมคงได้ แล้วค่อยสร้างศาลาหลังเล็กไว้ตรงนั้น จากนั้นปูด้วยหิน หากมีเวลาท่านแม่จะได้เชิญให้คนมาเล่นงิ้ว แล้วนั่งบนศาลาเพื่อฟังงิ้วหรือร้องเพลง ก็ไม่เลวทีเดียว”
แม้ว่าหลิวสี่กุ้ยจะเป็นักบัญชี แต่เขาอยู่ในจวนตระกูลหวงมานาน จึงหัดเรียนรู้การอ่านสีหน้าคนได้นานแล้ว
เวลาที่หลิวฉีซื่อตื่นเต้นหวั่นไหว ก็มักจะปรบมืออย่างไม่รู้ตัว
ขณะนี้ นางก็เป็เช่นนี้
เมื่อเผชิญกับขนมชิ้นโตที่หลิวสี่กุ้ยเสนอมา หลิวฉีซื่อยิ่งมีรอยยิ้มเบิกบาน
“พื้นที่รกร้างราคาเท่าไร? เพราะในหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ราคาสี่ถึงห้าตำลึงต่อหนึ่งไร่”
ขณะที่พูดนางก็คำนวณในใจ ในมือของนางตอนนี้ยังมีอีกสองร้อยกว่าตำลึง คงพอซื้อที่ดินรกร้างไว้สร้างบ้านได้
หลิวสี่กุ้ยดีใจยิ่งนัก “ราคาเท่ากัน นี่คือสิ่งที่ราชสำนักกำหนดและประกาศมาเนิ่นนานแล้ว”
เขาคือบุตรชายคนโต หากในอนาคตหลิวฉีซื่อสร้างบ้านได้ใหญ่โตเท่าไร เขาก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น
“มีพื้นที่เยอะหรือไม่? ซื้อมาสร้างบ้านก็ไม่เลว การเอาที่นาดีมาสร้างบ้าน เกรงว่าคงต้องอาศัยสายสัมพันธ์ของจวนตระกูลหวงอีก”
หลิวฉีซื่อไม่ได้เข้าใจเื่เหล่านี้อย่างละเอียดนัก นางเพียงแค่เคยใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลหวงหลายปี จึงพอรู้เื่คร่าวๆ บ้าง
“ที่ดินรกร้างทางนั้นน่าจะมีพื้นที่ราวยี่สิบกว่าไร่ อยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำ มีครอบครัวหนึ่งก็้าซื้อเช่นกัน เพราะนึกเสียดายที่ต้องเอาที่นาดีมาสร้างบ้าน”
หลิวสี่กุ้ยตอบเช่นนี้ เพราะเขาเชื่อว่ามารดาของตนต้องร้อนใจเป็แน่
พื้นที่ยี่สิบกว่าไร่ก็เพียงแค่ร้อยกว่าตำลึง เขาอยากหยั่งเชิงว่ากระเป๋าเงินของมารดานั้นลึกเท่าไร
หากหลิวฉีซื่อสามารถควักออกมาได้ ก็เป็อันแน่ชัดว่าในบ้านยังมีเงินเหลือ หากซื้อไม่ได้ก็แปลว่าการเงินในบ้านค่อนข้างจะตึงเครียดแล้ว
การหยั่งเชิงของเขานั้นไม่ได้ทิ้งร่องรอยน่าสงสัย และไม่ทำให้คนชราทั้งสองรู้สึกระแวง!
นับว่าเป็แผนการที่แยบยล
หลิวต้าฟู่เพียงแค่นั่งรากงอกอยู่ตรงนั้น เขาปล่อยให้หลิวฉีซื่อกระตือรือร้นอยู่คนเดียว เพราะถึงอย่างไรตัวเขาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจเื่เหล่านี้ได้อยู่แล้ว
ขณะนี้เขากำลังมองดูหลิวฉีซื่อที่หวั่นไหว จึงไม่พูดให้มากความแล้วหยิบยาสูบขึ้นมาสูบ
หลิวสี่กุ้ยเห็นว่ามารดาของตนหวั่นไหว เพราะเห็นนางก้มศีรษะเหมือนกำลังคำนวณในใจว่าเงินในกระเป๋ามีเพียงพอหรือไม่
เขาตัดสินใจที่จะกระตุ้นอีกแรง “ท่านแม่ ที่นาดีหนึ่งร้อยไร่ตรงนั้นได้รับการถางไปหนึ่งรอบแล้ว อีกทั้งปีนี้มีหิมะตกและทับถมพื้นดินตรงนั้น เห็นทีปีต่อไปคงมีการเก็บเกี่ยวที่ดี ข้าได้ยินมาว่า พื้นที่สามร้อยไร่ตรงนั้นดินดียิ่งนัก สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้สามหาบต่อไร่ในทุกปี อากาศทางนี้นับว่าดี ปีหนึ่งสามารถปลูกได้สองฤดู”
ตามกฎหมายของราชวงศ์โจว ข้าวเปลือกจะรับซื้อที่ราคาสามอีแปะครึ่งต่อหนึ่งชั่ง ที่ดินหนึ่งร้อยไร่ก็มีผลเก็บเกี่ยวราวสองร้อยกว่าตำลึง หลิวฉีซื่อสูดลมหายใจลึก มันดีกว่าการอยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้เหลือเกิน
นางดีใจที่ตนเองไม่เพียงแต่เลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่ ยังสามารถส่งเสียพวกเขาให้เล่าเรียน อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้นางยังสามารถเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน นับว่าเป็เื่ที่คุ้มค่ายิ่งนัก
หลิวฉีซื่อดีใจเหลือเกิน ขณะนี้กำลังยิ้มตาพริ้มมองไปยังหลิวสี่กุ้ย สำหรับการจัดการของบุตรชายคนโตนั้น นางรู้สึกวางใจยิ่งนัก
“บ้านที่นั่นจำต้องสร้าง เพียงแต่สร้างบ้านพร้อมกันทั้งสองที่ ข้าเกรงว่าเงินในมือจะไม่พอ”
แม้จะมีเพียงสุข แต่นางก็กังวลใจเช่นกัน
หลิวสี่กุ้ยกลัวว่านางจะไม่รับปาก เมื่อพอจะเดาความคิดของมารดาได้ เขาจึงจับทางได้ถูก
ไม่นานนัก เขาก็คิดหาวิธีได้จริงๆ “ท่านแม่ บ้านของสองฝั่งเราต้องสร้าง” เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนในใจ เขารู้สึกว่าการสร้างบ้านไว้ทั้งสองที่ก็ไม่ใช่เื่เสียหายอะไร
บ้านใหม่ที่ซื้อ ถึงเวลาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งให้ตกมาอยู่ในมือของตนให้ได้ ส่วนน้องรองของเขาก็อยู่ในตำบลเหลียนซาน เช่นนั้นแล้วต่อไปทรัพย์สมบัติในหมู่บ้านสามสิบลี้ก็เพื่อประโยชน์ของหลิวเหรินกุ้ย
“จะสร้างอย่างไร หรือไม่ก็หยุดสร้างของทางนี้ก่อน แล้วสร้างทางนั้น?” หลิวฉีซื่อเริ่มลำบากใจ ไม่คิดว่าพอจะสร้างบ้าน ก็ต้องสร้างพร้อมกันถึงสองหลัง
นางกล่าวต่อว่า “ครอบครัวเราเองก็นับว่าพอมีพอกิน พวกเ้าเองก็ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้ วั่งกุ้ยต่อไปก็ต้องเป็ขุนนาง หรือไม่ก็ไม่ต้องสร้างบ้านที่นี่ รอเมื่ออิฐเผาได้แล้ว เราค่อยลากไปที่จังหวัด จะได้ประหยัดค่าวัสดุ”
เพราะถึงอย่างไรก็เป็ดินในที่ดินของตนเอง เพียงแค่ออกค่าแรงเล็กน้อย แล้วก็ค่าเกวียนวัว
หลิวสี่กุ้ยรีบค้าน “ท่านแม่ เช่นนั้นจะไกลเกินไป หากว่าฝนตก แล้วอิฐเปียกฝน อิฐอาจจะไม่เป็ไร แต่กลัวว่าคนจะลำบาก อีกทั้งวัวก็อาจจะาเ็ เพราะอิฐที่เปียกฝนจะหนักเกินไป”
หลิวฉีซื่อคิดดูและรู้สึกว่าที่บุตรชายคนโตพูดมาก็มีเหตุผล
“เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าเงินในมือคงจะไม่พอ”
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าการอาศัยอยู่รอบนอกตัวจังหวัดนั้นสะดวกสบาย เมื่อใดที่้าเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองก็ทำได้ เมื่อนึกถึงว่าบุตรสาวตนเองอายุเจ็ดขวบแล้ว ก็จะได้ย้ายไปในจังหวัดเพื่อเชิญหญิงชรามาสอนกฎระเบียบให้นาง จากนั้นจะได้มีคู่ครองที่ดี
หลิวสี่กุ้ยกำลังจะหาทางบอกให้หลิวฉีซื่อขายที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้
แต่ใครจะคิดว่าหลิวต้าฟู่ที่อยู่ด้านข้างกลับไม่พอใจและหน้าดำคร่ำเครียด
“เฮอะ อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ย้ายอะไรกัน?”
หลิวต้าฟู่ที่ฟังอยู่นานเพิ่งจะแน่ใจว่าภรรยาของตนได้ซื้อที่ดินในจังหวัดแล้วจริงๆ เมื่อฟังจากที่ทั้งสองคนพูดก็ได้ความว่าเตรียมจะย้ายถิ่นฐานเช่นนั้นหรือ?
“ข้าไม่เห็นด้วยที่จะไป!” บิดามารดาของเขายังฝังอยู่ในสุสานหลังเชิงเขา
หลิวต้าฟู่เกิดที่หมู่บ้านสามสิบลี้ หลายสิบปีมานี้ก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในหมู่บ้านนี้ สถานที่ที่เขาไปไกลสุดก็คือตำบลเหลียนซาน
หลังจากฉีหรุ่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา ตระกูลฉีก็เคยมาค้างคืนที่ตระกูลหลิวตอนส่งขบวนเ้าสาวไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลหลิว
“ท่านพ่อ อันที่จริงการที่เราย้ายไปก็เป็เื่ดี” หลิวสี่กุ้ยอยากโน้มน้าวเขา
แต่ท่าทีของหลิวต้าฟู่นั้นยืนกรานอย่างหนักแน่นมากในครั้งนี้ “ถ้าจะไปพวกเ้าก็ไปเอง ถึงตายข้าก็จะตายอยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้”
สำหรับเขา อายุปูนนี้แล้วการจะย้ายออกจากผืนดินที่เป็แหล่งกำเนิดช่างเป็เื่ยาก
“ท่านแม่!” หลิวสี่กุ้ยหันไปมองหลิวฉีซื่ออย่างอ้อนวอน เขาคือผู้าุโน้อยกว่า จึงไม่คิดอยากมีปากเสียงกับผู้เป็บิดา
ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงในครอบครัวนั้นยิ่งใหญ่เกินไป หากว่าถูกบรรดาพี่น้องหาช่องโหว่ได้ คงถูกสวมคราบให้เป็คนอกตัญญู เกรงว่ามรดกกว่าครึ่งที่เขาควรได้รับสืบทอดจะหายไปมาก
ดังนั้นก่อนที่หลิวสี่กุ้ยจะกลับมาที่บ้านเกิด จึงปรึกษาหารือกับภรรยาแล้วว่าจะไปขอความเห็นจากแม่ยายก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่บ้านด้วยความดีอกดีใจ
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือครอบครัวฝั่งพวกเขาห้ามทำให้เกิดเื่กับผู้ใหญ่ในบ้าน รวมไปถึงหลิววั่งกุ้ยและหลิวเสี่ยวหลัน นี่เป็สิ่งที่ได้รับการกำชับมา
-----
