โจวเฉิงกำลังสืบว่ามือของเซี่ยเสี่ยวหลานาเ็ได้อย่างไร
การขี่จักรยานชนกับคนอื่นจนล้มและกระดูกข้อมือร้าวก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานปิดบังเขา โจวเฉิงจึงคิดว่าอาจมีความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้
เขาไม่อยากมีปัญหากับเซี่ยเสี่ยวหลาน และทำใจบีบคั้นภรรยาของเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงค่อยๆ สืบหาด้วยตนเองแล้วกัน สิ่งที่ทำให้โจวเฉิงห่อเหี่ยวคือ วันลาครึ่งวันที่เขาขอเมื่อวานถือเป็การ ‘แสดงความเมตตาเหนือกฎเกณฑ์’ ของผู้บังคับบัญชาแล้ว พอวันนี้อยากออกไปอยู่กับภรรยาอีกครั้ง หัวหน้าก็เตือนเขาด้วยความจริงใจ “เราจะออกไปข้างนอกทุกวันได้ที่ไหนกัน เวลาอยู่ในหน่วยต้องระวังพฤติกรรมหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
ระวังพฤติกรรมอะไร?
ตอนแรกโจวเฉิงยังไม่เข้าใจ เนื่องจากหัวหน้าพูดจาคลุมเครือ พอโจวเฉิงถามถึงได้รู้ เขาถูกผู้ไม่เปิดเผยนามรายงานต่อเบื้องบนแล้ว!
ไม่จำเป็ต้องพูดก็เข้าใจว่า ‘บุคคลนิรนาม’ นี้คือใคร โจวเฉิงและฟางซื่อจงไม่สามารถรักษาแม้แต่ความสามัคคีผิวเผินไว้ได้อีกต่อไป
โจวเฉิงหมดคำพูดกับคนใจแคบนี่ เมื่อวานภรรยาเพิ่งพบพ่อแม่ของเขา ทว่าวันนี้เขาส่งเธอไปสนามบินไม่ได้ด้วยซ้ำ!
เซี่ยเสี่ยวหลานรับโทรศัพท์แล้วคิดว่าไม่ใช่เื่ใหญ่
“ไม่เป็ไรหรอก ปลายเดือนสิงหาคมฉันก็เข้ามาปักกิ่งได้แล้ว ฉันซื้อของนิดหน่อยฝากไว้ที่บ้านพัก เธอให้คนมารับเถอะ เป็ของสำหรับพวกน้องเฉิงิ่น่ะ”
รับอั่งเปามาสามซองแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้เอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว เฉิงิ่บอกว่าเสื้อของเธอสวย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถเสกแบบเดียวกันออกมาได้ เธอซื้อให้พวกน้องชายน้องสาวของโจวเฉิงคนละหนึ่งชุด เพียงแต่เธอไม่ซื้อให้โจวอี๋ อย่างไรเสียโจวอี๋ก็ดูแคลนคนชนบท คิดๆ ดูแล้วคงไม่เห็นชอบรสนิยมของคนบ้านนอกเหมือนกันสินะ!
กู้เจิ้งชิงยังอยากสนทนากับนักเรียนดีอีกสักหน่อย เขาคิดว่าในเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถพัฒนาจากสี่ร้อยกว่าคะแนนของการสอบเข้าเรียนจนสามารถสอบเกาเข่าได้ 616 คะแนนในท้ายที่สุด วิธีเรียนของเธอย่อมควรค่าแก่การเผยแพร่ใช่หรือไม่? ในเทปบันทึกการสัมภาษณ์ก็บอกแล้วนี่นา เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยเหล่าเพื่อนนักเรียนพัฒนาผลคะแนนอย่างกระตือรือร้น จำนวนคนผ่านเกณฑ์เข้าเรียนระดับปริญญาตรีของอันชิ่งเซี่ยนอีจงประจำปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่าสามเท่า! การสัมภาษณ์จะมีความเกินจริงระดับหนึ่ง พอบีบน้ำออกก็มีความจริงอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่กู้เจิ้งชิงสนใจคือเนื้อหาในส่วนนี้นี่เอง
ทว่าเมื่อเขาอยากพบเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ได้ออกจากปักกิ่งไปเสียแล้ว
เด็กคนนี้ไม่มีความคิดจะตีสนิทกับคนตระกูลโจวแม้แต่น้อย เธอมาเพื่อพบหน้าเท่านั้นจริงๆ
เหล่าลูกหลานตระกูลโจวต่างได้รับเสื้อผ้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้ กู้ซือเหยียนลูกสาวคนโตของกู้เจิ้งชิงลองสวมกระโปรงตัวใหม่พร้อมส่องกระจก ก่อนที่จะโดนอาหญิงเล็กตีไปทีหนึ่ง “มีความสุขเชียวนะ ทำไมแม่ได้ยินแม่ของเหอเจียเขาบอกว่าจะส่งเหอเจียไปเรียนพิเศษแล้ว วันหยุดฤดูร้อนยังเหลืออีกหนึ่งเดือน ลูกก็ว่างอยู่บ้านเฉยๆ รึ?”
กู้ซือเหยียนพยักหน้ารับอย่างไม่แปลกใจ “นั่นเพราะเหอเจียไม่มีใครดูแลหรอก แต่หนูมีพ่อนะ จะเข้าชั้นเรียนกวดวิชาอะไรอีก หนูไม่เชื่อหรอกว่าคนพวกนั้นจะสอนดีเท่าพ่อ!”
กู้เจิ้งชิงยังไม่กล้าโอ้อวดเื่นี้จริงๆ เขาห่างหายจากงานสอนมานานหลายปี สิ่งที่เขาศึกษาในปัจจุบันคือความรู้เชิงนโยบาย ลืมเนื้อหาในหนังสือเรียนแทบเกลี้ยงแล้ว ได้ยินว่าตอนนี้มีคนจัดชั้นเรียนกวดวิชา กู้เจิ้งชิงเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
พอถามรายละเอียด กลับจัดโดยนักเรียนกลุ่มหนึ่งจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ทว่าประกาศคำโฆษณากึกก้องทีเดียว เช่น ‘บุกพิชิตเกาเข่า’ หรือ ‘ศึกชี้ขาดเกาเข่า’
กู้เจิ้งชิงอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าจะส่งลูกสองคนของเขาไปเข้าชั้นเรียนประเภทนี้ ปล่อยให้เด็กทั้งสองอยู่บ้านตั้งใจทำการบ้านปิดภาคเรียนฤดูหนาวที่อาจารย์สั่งให้เสร็จเสียดีกว่า เื่อื่นกู้เจิ้งชิงไม่สามารถ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีตำแหน่งงานในฝ่ายวางแผนพัฒนาประจำกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนโรงเรียนที่ลูกของเขาเรียน แม้จะไม่ใช่โรงเรียนมัธยมต้นที่ดีที่สุด ทว่าก็สามารถไต่เต้าจนติดสามอันดับแรกของปักกิ่งได้อย่างไม่มีปัญหา!
การที่กู้เจิ้งชิงตื่นเต้นเมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลาน นั่นเป็เพราะว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือยอดนักเรียนตัวจริงนั่นเอง
ข้อสอบเกาเข่าประจำปีนี้ยากมาก ทำคะแนนรวมสูงกว่า 600 คะแนนได้ ถือว่ามีข้อได้เปรียบด้านสติปัญญาอย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นคือเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อันดับสามจากผู้เข้าสอบกว่าหนึ่งล้านคน! รวมส่วนหนึ่งที่ถูกคัดออกจากการสอบคัดเลือกรอบแรก ควรเป็สามอันดับแรกจากเกือบสี่ล้านคนถึงจะถูกต้อง
ส่วนวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง... กู้เจิ้งชิงได้แต่ถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็สถาบันการศึกษาระดับปริญญาตรีของปักกิ่งด้วย
แต่เขาทำงานทางด้านการศึกษามาครึ่งชีวิต ส่งลูกชายหญิงเข้าหนึ่งในโรงเรียนมัธยมต้นที่ดีที่สุดของปักกิ่ง อีกทั้งยังมีความได้เปรียบด้านการพิจารณารับนักศึกษาในพื้นที่ของปักกิ่ง ถ้าอนาคตจะเข้าวิทยาลัยฝึกหัดครู กู้เจิ้งชิงคิดว่าชีวิตของตนก็คงล้มเหลวพอสมควร จะกำหนดแนวทางการศึกษาอะไรได้อีกเล่า หากแม้แต่ลูกของตัวเองยังเลี้ยงได้ไม่ดี!
เอาแค่โรงเรียนมัธยมต้นที่กู้ซือเหยียนเรียนอยู่ ทุกวันนี้บัณฑิตเกียรตินิยมของวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งก็ไม่สามารถเข้าไปได้ อาจารย์ที่ถูกบรรจุใหม่ต้องจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่งเป็อย่างน้อย กู้เจิ้งชิงคงบ้าถึงส่งจะกู้ซือเหยียนไปเรียนกวดวิชา... ขอเพียงตั้งใจฟังอาจารย์ในโรงเรียนสอนก็พอแล้ว พวกเขาล้วนคืออาจารย์ชั้นนำผู้ยอดเยี่ยม ทำงานในหน่วยงานแนวหน้าของการศึกษามาหลายปี แม้เป็แค่โรงเรียนมัธยมต้น ทว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อบ่มเพาะศักยภาพในการแข่งขันสอบเกาเข่าของเหล่านักเรียนทุกคน
อาหญิงเล็กโจวพูดถึงเื่นี้โดยไม่ใส่ใจ พอกู้เจิ้งชิงสืบเสาะเกี่ยวกับอาจารย์ของชั้นเรียนกวดวิชาแล้ว เื่จะส่งลูกไปเข้าเรียนจึงไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
การส่งลูกหลานไปโรงเรียนที่ดีไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า ย้อนกลับถึงยุค 80 ยังถือว่าช้าเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับการสอบคัดเลือกขุนนางของสังคมศักดินาเก่า ก็มีความแตกต่างระหว่างโรงเรียนราษฎร์ในชนบทและสำนักศึกษาที่โด่งดังเหมือนกัน นักเรียนที่สั่งสอนโดยถงเซิง [1] เฒ่าผู้สอบหลายครั้งก็ยังไม่ผ่านจะเหมือนนักเรียนที่จวี่เหริน [2] ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้หรือจิ้นซื่อ [3] สอนเขียนปากู่เหวิน [4] มากับมือหรือ?
ความแตกต่างของทรัพยากรด้านการศึกษามีอยู่มาตั้งนานแล้ว
เมื่อทรัพยากรครูไม่เพียงพอ สำหรับครอบครัวที่จ่ายเงินไหว แรงดึงดูดเท่านี้ยังไม่พอ!
และชั้นเรียนกวดวิชานี้ คือชั้นเรียนที่เซี่ยจื่ออวี้จัดตั้งขึ้นนั่นเอง
เซี่ยจื่ออวี้เตรียมการไว้ั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนแรกเธอ้าลองรับสมัครนักเรียนกวดวิชาในวันหยุดสุดสัปดาห์ อุตส่าห์รอจนปิดภาคเรียนฤดูร้อนมาเยือน เซี่ยจื่ออวี้กำลังจะเริ่มงานใหญ่ กลับถูกโทรเลขของจางชุ่ยเรียกกลับมณฑลอวี้หนานเสียก่อน
สิ่งที่รอเซี่ยจื่ออวี้อยู่ในอวี้หนาน คือเซี่ยฉางเจิงผู้ถูกตัดมือออกหนึ่งข้าง คือจางชุ่ยที่หวาดกลัวจนหวัญหนีดีฝ่อ และคือข่าวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อันดับหนึ่งประจำมณฑลอวี้หนานในการสอบเกาเข่า!
เซี่ยจื่ออวี้นั้นงมงายในโชคเล็กน้อย
ก่อนปีนี้ โชคอยู่ข้างเธอ ไม่ว่าจะเป็การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือจะเป็การแย่งหวังเจี้ยนหัว ล้วนทำให้เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกภาคภูมิใจ
ทว่าพอเข้าสู่ปี 84 เหมือนโชคจะเอนเอียงไปทางเซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่า แผนการเล่นงานเซี่ยเสี่ยวหลานหลายต่อหลายครั้งของเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานหลายหลบหลีกได้ทั้งหมด กลายเป็บัณฑิตเกาเข่าประจำมณฑลอวี้หนาน ยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหัวชิงซึ่งดีกว่าวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง... จากความประมาทเพราะมั่นใจว่าอยู่เหนือกว่าของเซี่ยจื่ออวี้ กลายเป็การให้ความสนใจและหวั่นกลัวต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน จนถึงวันนี้และเวลานี้ เธอจำต้องหลบหลีกการปรากฎตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานชั่วคราว!
มิอาจอยู่ในซางตูได้อีกต่อไปแล้ว จางชุ่ยไปตั้งแผงด้วยตนเองสองวัน มีคนมาก่อกวนติดกันทั้งสองวัน
จับคนที่ทุบมือของเซี่ยฉางเจิงจนแหลกไม่ได้ ธุรกิจของจางชุ่ยก็ไปไม่รอด เซี่ยจื่ออวี้ทำได้แค่กัดฟันพาทั้งสองเข้าปักกิ่ง อันที่จริงเธอไม่อยากอยู่ใกล้พ่อแม่เช่นนี้ ถ้าไม่มีระยะห่าง ต่อไปเธอจะทำอะไรพ่อแม่ย่อมรู้ ลูกสาวคนเดียวอย่างเธอนั้นไม่เป็ไร ทว่าเธอยังมีน้องชายอีกคน!
พาเซี่ยจวิ้นเป่ามายังปักกิ่งไม่ได้แน่นอน เซี่ยจื่ออวี้ไม่สามารถจัดการเื่การศึกษาเล่าเรียนของเซี่ยจวิ้นเป่าได้
หลังพาเซี่ยฉางเจิงกับจางชุ่ยกลับเข้าปักกิ่ง เซี่ยจื่ออวี้มุดศีรษะเข้าสู่ธุรกิจชั้นเรียนกวดวิชา ธุรกิจนี้มีช่องว่างในตลาดขนาดใหญ่มาก ่แรกผ่านไปได้ด้วยดียิ่งนัก ทว่าก็ไม่ง่ายดายอย่างที่เซี่ยจื่ออวี้คิด
สิ่งที่รอเซี่ยจื่ออวี้อยู่คือความโกลาหลต่างๆ นานา!
ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ผู้ปกครองที่เสนอว่าจะเข้าเรียนก่อนจนคะแนนพัฒนาแล้วค่อยจ่ายค่าเรียนให้ เซี่ยจื่ออวี้อยากโยนชอล์กทั้งกล่องใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแก่
หน้าไม่อายขนาดนี้ เวลาไปกินข้าวในร้านอาหาร จะบอกว่ารับประทานก่อนกลับไปไม่ท้องเสียค่อยจ่ายเงินได้หรือ?
เชิงอรรถ
[1]童生 ถงเซิง คือ ผู้เข้าสอบที่ไม่ผ่านการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค (乡试)
[2]举人 จวี่เหริน คือ ผู้เข้าสอบที่ผ่านการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค
[3] 进士 จื้นซื่อ คือ ผู้เข้าสอบที่ผ่านการสอบระดับสำนักพระราขวัง (殿试)
[4]八股文 ปากู่เหวิน หรือ ความเรียงแปดส่วน คือ รูปแบบการเขียนประเภทหนึ่งที่ใช้ในการสอบคัดเลือกขุนนาง เนื้อหาแบ่งแยกเป็แปดส่วน ต้องเขียนโดยอ้างอิงจากสี่ตำราห้าคัมภีร์เท่านั้น (四书五经)