เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ต่งจือเงียบขรึม หลังจากเงียบขรึม เขาก็ส่ายหน้าแล้วพยักหน้า “ใช่ และไม่ใช่”
“คำพูดของท่านต่งหมายความว่าอย่างไร?” ยามนี้เป็กู้จวิ้นเฉินบ้างที่ฉงน
“ท่านอ๋อง” เสียงของจวิ้นอีลอยมาจากประตู “คุณชายต้านมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้มาถึงประตูที่สองพ่ะย่ะค่ะ” จวนอ๋องมีทั้งหมดสามประตู เมื่อผ่านประตูที่หนึ่งจึงเป็ด้านในของจวนฉีอ๋อง
เมื่อหลี่ต้านมาถึงประตู องครักษ์เงาจะมารายงานล่วงหน้า
กู้จวิ้นเฉินทำราวกับไม่ได้ยิน “เชิญท่านต่ง”
“นายท่านได้เตรียมยาพิษไว้จริง แต่ถูกคนสลับสับเปลี่ยนยาพิษ ยาพิษที่นายท่านเตรียมไว้นั้นรับประกันว่านายน้อยจะเจริญเติบโตอย่างปลอดภัย เื่ของตำแหน่งฮ่องเต้ หลังจากเติบโตแล้วนายท่านให้นายน้อยเป็ผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” อารมณ์ของต่งจือไม่มั่นคงนัก เป็ผู้ใดที่ทรยศหักหลังนายท่าน กระทั่งปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นย่อมหมายความว่ายังมีศัตรูอีกคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่เื้ั
กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง “ก็ใช่ เสด็จพ่อจะให้ข้าไปตายได้อย่างไร” ในสายตาของทุกคน ไท่จื่อเยี่ยนสง่างามปราชญ์เปรื่อง เป็นักวางแผนชั้นยอด แต่มีเพียงแค่ในสายตาของกู้จวิ้นเฉินเท่านั้น ที่คนผู้นั้นเป็บิดาผู้มีความอ่อนโยนและเมตตาปราณี บิดาจูงมือของเขาเดินไปบนเส้นทางอันยาวไกล บิดาจูงมือของเขา สอนเขาขี่ม้า ยิงธนู ฝึกยุทธ์
เมื่อครั้งเขายังเล็ก ร่างกายของบิดาเป็เสมือนชายฝั่งอันมั่นคงยิ่งใหญ่ให้เขาพักพิง เขาคิดมาโดยตลอดว่าตนเองต้องเงยหน้าตลอดกาลจึงจะสามารถมองเห็นบิดาได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อหกปีก่อนเขาเพิ่งจะกระจ่างแจ้งในเื่หนึ่ง มนุษย์นั้น...ต้องตาย ต่อให้มนุษย์ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็หนีไม่พ้นการเพรียกหาของยมทูต
นับั้แ่นาทีนั้นเป็ต้นมา หัวใจของเขาก็ได้ถูกแช่แข็งอย่างแท้จริงไปแล้ว
แต่อยู่มาวันหนึ่งกลับมีมือเล็กๆ คู่หนึ่งปรากฏขึ้น ยื่นเข้ามาในร่างกายของเขาโดยไม่ได้เจตนา ทำให้หัวใจของเขาที่ถูกแช่แข็งมาเนิ่นนานค่อยๆ ถูกบีบจนแตกสลาย เ้าของมือคู่นั้นมีรอยยิ้มที่สดใสสว่างไสวราวกับแสงแดด ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหาและกระจ่างใสในเวลาเดียวกัน ยามที่เขาฉลาดเฉลียวทำให้กู้จวิ้นเฉินคิดว่ากำลังพูดคุยกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ยามที่เขาออดอ้อนฉอเลาะ กลับเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอยู่มาวันหนึ่ง ฝ่าาจะให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน กู้จวิ้นเฉินยอมรับได้อย่างสบายๆ เขายินที่จะตามใจหลี่ลั่วตลอดไป จวนอ๋องกว้างใหญ่พอ และว่างพอ จะอย่างไรเขาก็ปฏิบัติต่อหลี่ลั่วเสมือนน้องชายอยู่แล้ว แต่งเขาเข้ามาเอ็นดูเหมือนน้องชายย่อมไม่กระไร
“หลังจากที่หลี่เสี่ยวโหวเหฺยปรากฏกายขึ้น ข้าน้อยจึงรู้ว่ายาพิษถูกสลับสับเปลี่ยน” ต่งจือเอ่ยขึ้นอีก “หกปีก่อนที่เมิ่งเต๋อหลางกล่าวว่านายน้อยต้องพิษ ข้าน้อยยังคิดว่าเป็แผนการของนายท่าน จึงไม่ได้ใส่ใจตลอดมา จนกระทั่งหลี่เสี่ยวโหวเหฺยปรากฏกายขึ้น เขาถอนพิษของนายน้อย ข้าน้อยจึงรู้สึกว่าเื่นี้มีความไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงไปหาหมอเทวดาเมิ่งเพื่อทำความเข้าใจ ในเวลานั้นจึงเพิ่งจะทราบว่าพิษที่นายน้อยได้รับนั้นอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปีจริงๆ และเป็เวลานั้นเองที่ข้าน้อยมั่นใจว่ายาพิษของนายน้อยถูกคนสลับสับเปลี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ถ้าหากเป็การสลับสับเปลี่ยนยา จะเป็ผู้ใดได้เล่า?
“หากพูดเช่นนี้ การวางยาพิษเกิดขึ้นหลังจากที่เสด็จพ่อต หลังจากเสด็จอาขึ้นครองราชย์” กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิด “เช่นนั้นที่ฝ่ายตรงข้ามวางยาพิษ เพราะเกรงว่าข้าจะทำให้ตำแหน่งฮ่องเต้ของเสด็จอาสั่นคลอน หรือเกรงว่าเสด็จอาจะยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับข้ากัน”
“ไม่ว่าจะเป็เช่นใด ล้วนมีความเกี่ยวพันกับตำแหน่งฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ต่งจือลังเลใจอยู่อึดใจหนึ่ง ยังคงพูดถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ของตนออกมา “หากเป็อย่างแรก นายน้อยทำให้ตำแหน่งฮ่องเต้ของฝ่าาสั่นคลอน เช่นนั้นผู้ที่สลับสับเปลี่ยนยาก็อาจจะเป็ฝ่าา...”
‘ปัง’...กู้จวิ้นเฉินวางถ้วยน้ำชาลง “ความคิดเช่นนี้ของท่านให้กลืนมันลงท้องไปเสีย”
ต่งจือหัวใจหดเกร็ง ลุกขึ้นคุกเข่าลง “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น” กู้จวิ้นเฉินตักเตือน “คำพูดสุดท้ายของเสด็จพ่อก่อนที่จะต คือให้เปิ่นหวางอย่าได้แคลงใจต่อเสด็จอาตลอดไป”
ต่งจือยืนขึ้น “ฝ่าาและนายท่านเป็พี่น้องดั่งแขนขา ข้าน้อยกระจ่างแจ้ง ข้าน้อยอยากจะพูดถึงประการที่สอง ผู้ที่วางยานั้นหากไม่ปรารถนาให้ฝ่าายกตำแหน่งฮ่องเต้ให้นายน้อย เช่นนั้น...”
“เช่นนั้น ก็มีเพียงเสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง และเสด็จพี่สาม มีความเป็ไปได้หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินคิดแล้วกลับส่ายหน้า “หกปีก่อน เสด็จพี่สามเพิ่งจะเก้าขวบ ตัดเขาออกไปได้”
“เช่นนั้นเหลือเพียงองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง” ต่งจือพูดแล้วกลับเงียบขรึม แต่ระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง เป็ผู้ใดกันเล่า?
“จวิ้นเฉิน” เสียงอันดังของหลี่ต้านลอยเข้ามาในห้องหนังสือ จากนั้นผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นต่งจือเขากลับคาดไม่ถึงเล็กน้อย “ไม่ได้พบท่านต่งนานแล้ว” หลี่ต้านและต่งจือต่างรู้จักกัน ทว่าไม่คุ้นเคยกัน เมื่อก่อนครั้งที่ไท่จื่อเยี่ยนยังไม่ต ดูเหมือนว่าหลี่ต้านไปยังวังบูรพาทุกวัน ในฐานะสหายเรียนของกู้จวิ้นเฉิน หลี่ต้านมีห้องส่วนตัวของเขาเองอยู่ในวังบูรพา และพักค้างแรมที่วังบูรพาอยู่เป็ประจำ ด้วยเหตุนี้จึงมีวาสนาได้พบกับต่งจือหลายครา แต่เพิ่งจะมาคุ้นเคยกันจริงๆ ก็คือที่จวนฉีอ๋องในปัจจุบัน
หลี่ต้านเป็สหายเรียนของกู้จวิ้นเฉิน จวนจงกั๋วกงอยู่ฝ่ายไท่จื่อเยี่ยน ต่อมาจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ จวนจงกั๋วกงอยู่ฝ่ายจ้าวหนิงฮ่องเต้
ทว่าจวนจงกั๋วกงนั้นั้แ่รุ่นบรรพบุรุษมีความดีความชอบในการศึก หลังจากที่ได้รับพระราชทานยกเว้นโทษตายด้วยมีความดีความชอบในการร่วมก่อตั้งราชวงศ์แล้ว ตลอดมาไม่มีความโดดเด่นอันใด กระทั่งมาถึงในรุ่นของหลี่ซวี่ หนึ่งครอบครัวมีท่านโหวถึงสองคน เื่นี้สั่นะเืไปทั้งเมืองหลวง
และยามนี้ หลี่ซวี่เสียชีวิต สกุลหลี่จึงกลับไปเงียบสงบดังเดิม
นับแต่เริ่มรัชสมัยจนมาถึงรัชสมัยปัจจุบัน แม้สกุลหลี่จะเรียบๆ เรื่อยๆ ไม่มีความโดดเด่นอันใด ทว่าเกียรติยศที่ราชสำนักพระราชทานให้นั้นไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว สำหรับขุนนางที่ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงแล้วนั้น ฝ่าาชมชอบยิ่งนักเช่นกัน
เมื่อเอ่ยถึงราชวงศ์และสกุลหลี่ ยังเป็ความสัมพันธ์ในแบบของพระญาติห่างๆ อีกด้วย มารดาผู้ให้กำเนิดของจงกั๋วกงรุ่นที่สองนั้นเป็องค์หญิงของราชวงศ์ หลังจากที่บรรพบุรุษรุ่นแรกของจงจั๋วกงช่วยให้ไท่จู่[1]ก่อตั้งราชวงศ์ ไท่จู่จึงยกธิดาของตนให้แต่งกับบุตรชายรุ่นแรกของจงกั๋วกง สกุลหลี่ยอมวางมือจากอำนาจทางทหาร ั้แ่นั้นมาจนถึงบัดนี้ นอกจากหลี่ซวี่แล้ว สกุลหลี่ไม่เคยถืออำนาจทางทหารเอาไว้ในมืออีก
ขุนนางที่มีความดีความชอบในการก่อตั้งราชวงศ์ในครั้งนั้น นอกจากสกุลหลี่แล้วก็ยังมีอีกแปดสกุลด้วยกัน มาบัดนี้เหลือเพียงสามสกุลเท่านั้น ส่วนอีกห้าสกุลได้ตกต่ำไปเนิ่นนานแล้ว มีบางสกุลหลังจากที่ไท่จู่ขึ้นครองราชย์ก็ได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว บางสกุลมาตกต่ำหลังจากเหตุการณ์ก่อฏเมื่อหกปีก่อน อำนาจทางทหารและผลประโยชน์คือยันต์เร่งเอาชีวิตจากความทะเยอทะยานในใจของขุนนาง เป็หนามยอกอกในใจขององค์ฮ่องเต้
การกระทำของคนฉลาดกับคนธรรมดาสามัญย่อมแตกต่างกัน
บรรพบุรุษของสกุลหลี่ สติปัญญาสูงส่ง
“ไม่ได้พบกันนานยิ่ง” ต่งจือลุกขึ้น หันไปยิ้มบางๆ ให้กับหลี่ต้าน “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านต่งค่อยๆ เดินนะขอรับ” หลี่ต้านหลีกทางให้ต่งจือ
รอจนกระทั่งต่งจือเดินจากไปแล้ว หลี่ต้านจึงมานั่งลงบนตำแหน่งที่ต่งจือนั่ง เขาเลิกคิ้วพร้อมกับยกยิ้มมองหน้ากู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินดื่มน้ำชาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เ้ายิ้มราวกับว่าได้สาวงามอย่างไรอย่างนั้น ดีใจอันใดรึ?”
หลี่ต้านมุมปากกระตุกเล็กน้อย คำพูดนี้... “กำลังจะถามว่าเ้าจะเป็น้องเขย? หรือว่าเป็น้องสะใภ้ของข้าดีเล่า?”
กู้จวิ้นเฉินย้อนถามกลับเรียบๆ ว่า “แล้วเ้าคิดว่าเขาเป็พระชายาเอก หรือว่าเป็น้องชายเล่า?”
หลี่ต้านส่งเสียงฮึ แล้วกลับมามีท่าทีจริงจังขึ้นมา “ไฉนฝ่าาจึงยกน้องหกมาพระราชทานสมรสให้เ้า? เป็ไปได้หรือไม่ว่า...” หลี่ต้านไม่ได้พูดครึ่งประโยคหลัง มีคำพูดบางคำพูดที่ไม่พูดก็รู้ในความหมายนั้น เขาและกู้จวิ้นเฉินเติบโตมาด้วยกัน เขาซื่อสัตย์ภักดีต่อกู้จวิ้นเฉิน แม้จะบอกว่าเป็สหายเรียน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า องค์ชายเป็เ้านายของสหายเรียน
“อย่าคิดมากเกินไป” กู้จวิ้นเฉินรู้ว่าหลี่ต้านใส่ใจในตนเอง
“ได้ เ้านี่นะกลายเป็ว่าฮ่องเต้ไม่ร้อนใจแต่ขันทีกลับร้อนใจเสียเอง” หลี่ต้านเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “แต่น้องหกเป็จงหย่งโหว ฝ่าาจัดการเช่นนี้มันหมายความอย่างไรกันแน่?” เมื่อเป็เช่นนี้ จวนจงหย่งโหวจะทำเช่นใดเล่า?
ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงหลี่ต้าน คนในจวนโหวทั้งหมดต่างล้วนคิดเช่นนี้ นับั้แ่จ้าวหนิงฮ่องเต้มีพระราชโองการลงมา พวกเขาก็ต่างคาดเดาพระทัยของฝ่าา ฝ่าาตบหน้าจวนโหวหรือ? เป็ไปไม่ได้ หากฝ่าา้าตบหน้าจวนโหว ย่อมไม่มีฉีอ๋องติดไปด้วย
อีกอย่าง หลี่ซวี่นั้นตายเพราะฝ่าา ฝ่าาไม่มีทางใจจืดใจดำเช่นนี้ เช่นนั้นทุกคนต่างแปลกใจถึงจุดประสงค์เื้ัของฝ่าา
หากในยามปกติแล้วชายหนุ่มสองคนมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันอย่างไร ในเมืองหลวงต้องเป็ที่โจษจันกันระลอกใหญ่ แต่บัดนี้ฝ่าาพระราชทานสมรส จึงดูเหมือนต่อให้เป็ความรักในเพศเดียวกันก็ดูจะเป็เื่ปกติทั่วไป
ดังนั้นในบางครั้งระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว หรือชายหนุ่มกับชายหนุ่ม ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ที่ขาดไปคือเหตุผลที่ดูสมเหตุสมผล อย่าพูดถึงว่าในยามนี้หลี่ลั่วยังเยาว์ ต่อให้หลี่ลั่วอายุมากขึ้นแล้ว ผู้ใดจะกล้าพูดว่ากู้จวิ้นเฉินและหลี่ลั่วน่าสะอิดสะเอียนเล่า? เช่นนั้นคือไม่้าศีรษะแล้วใช่หรือไม่?
หลี่จงิใจร้อนดั่งไฟสุมมาถึงจวนฉีอ๋อง เมื่อได้รับแจ้งว่าหลี่ลั่วยังไม่ตื่น เขาจึงเดินกลับไปกลับมานอกลานบ้าน เขาไม่เคยร้อนใจเช่นนี้มาก่อน ฉีอ๋องรักและเอ็นดูคุณชาย เขาซาบซึ้งยิ่งนัก แต่...แต่ว่า...ยิ่งคิด ใจของเขาก็ยิ่งสับสนว้าวุ่น
“ท่านพ่ออย่าได้เป็กังวลไปเลยขอรับ” หลี่ฉางเฉิงดูจะสงบนิ่งและใจเย็นกว่าหลี่จงิ
“เ้าไม่เข้าใจ” หลี่จงิพูด แต่อยู่ในจวนฉีอ๋อง ที่นี่เป็เรือนของฉีอ๋อง เขาบุกเข้าไปเรียกคนไม่ได้ องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูบอกว่า “ฝ่าามีพระบัญชา เสี่ยวโหวเหฺยเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทางมาทั้งวัน ห้ามรบกวนเขา”
หลี่ลั่วนอนหลับครั้งนี้ยาวนานนัก การเร่งเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืน แม้เขาจะซุกตัวหลับอยู่ในอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน ทว่าไม่ใช่ว่าตลอดทางจะไม่รู้สึกอันใด ม้าวิ่งมาตลอดทาง หากนอนหลับสนิทจึงจะแปลกประหลาด เมื่อเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้นก็เป็เวลาเก้าโมงแล้ว
“เสี่ยวโหวเหฺยตื่นแล้ว” เยียนเซ่อเข้ามาปรนนิบัติหลี่ลั่วล้างหน้าหวีผม “ใต้เท้ารองแม่ทัพหลี่รออยู่ที่ประตู ้าพบเสี่ยวโหวเหฺยเ้าค่ะ”
รองแม่ทัพหลี่? ท่านอาหลี่น่ะหรือ? “ให้เขาเข้ามาเถิด”
หลี่จงิก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าหลี่ลั่วสุขสบายดีและท่าทางสดใสดีเขาจึงถอนใจด้วยความโล่งอก แต่ความหนักใจนั้นยังวางไม่ลง “คุณชาย เมื่อหกวันก่อนและก็คือวันที่ฉีอ๋องออกจากเมืองหลวงไปรับท่านในวันนั้น ฝ่าาทรงมีพระราชโองการ พระราชทานสมรสท่านและฉีอ๋อง ท่านรู้เื่นี้หรือไม่ขอรับ?”
อะไรนะ
ถูกพระราชทานสมรส?
เขากับกู้จวิ้นเฉินน่ะหรือ?
นี่เป็ของดีที่ตกลงมาจาก์หรือไร?
หลี่ลั่วในใจนั้นพลิกคว่ำไปรอบหนึ่ง สุดท้ายไม่ได้ผลลัพธ์อันใด “แน่ใจนะว่าเป็ราชโองการ”
“ข้าได้นำราชโองการมาด้วยขอรับ” หลี่จงิยื่นราชโองการ
หลี่ลั่วรับราชโองการมาดู หลังจากที่เขาอ่านรายละเอียดในราชโองการจบแล้วจึงยกยิ้มบางๆ ขนมชิ้นนี้ช่างดีเสียจริง หลี่ลั่วนั้นอยากจะหาสามีสักคนแล้วใช้ชีวิตในยุคสมัยโบราณให้ดี คิดไม่ถึงว่าฝ่าาจะยกกู้จวิ้นเฉินมาพระราชทานสมรสให้กับเขา มีเงินมีอำนาจทั้งยังมีรูปเป็ทรัพย์ ผู้ชายเช่นนี้เขาย่อมไม่ปฏิเสธ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...เขานั้นชมชอบคนหน้าตาดี
ข้าวหลี่ลั่วก็ไม่อยากกินแล้ว คิดจะไปพบกู้จวิ้นเฉินก่อน มีความสุขยิ่ง แต่เหตุใดฝ่าาจึงพระราชทานสมรสให้กู้จวิ้นเฉินเล่า? นี่เป็การตัดเส้นทางในการ่ชิงบัลลังก์ัใช่หรือไม่? หากเป็เช่นนี้ กู้จวิ้นเฉินก็จะหมดโอกาสได้ขึ้นครองราชย์เป็ฮ่องเต้ตลอดกาล หรือว่าฝ่าาลงมือป้องกันกู้จวิ้นเฉิน?
เมื่อเป็เช่นนี้...ชีวิตน้อยๆ ของตนย่อมตกอยู่ในอันตรายแล้วสิ
แย่แล้ว วีรบุรุษไม่อาจผ่านด่านหญิงงามไปได้
“คุณชายขอรับ?” หลี่จงิดูอย่างไรก็ให้รู้สึกว่าหลี่ลั่วนั้นยินดีปรีดายิ่งนัก “เื่นี้มีความเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของคุณชายและผู้สืบทอดตำแหน่งของจวนโหวนะขอรับ”
เมื่อเอ่ยถึงชาติกำเนิด หลี่ลั่วก็สงสัยมาโดยตลอด “เกี่ยวพันกับมารดาผู้ให้กำเนิดข้าใช่หรือไม่?” เขาจำได้ว่าเมื่อยามที่หลี่จงิมาหาเขานั้น ได้เคยพูดเอาไว้ว่าเขามีลูกประคำพระยูไลที่มารดาผู้ให้กำเนิดมอบให้ไว้ นั่นเป็สิ่งที่มารดาผู้ให้กำเนิดขอไว้ก่อนจะตั้งครรภ์ ผู้ออกบวชได้ทำการเบิกเนตรแล้ว ดังนั้นหลี่จงิน่าจะรู้จักมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา
[1] ไท่จู่ (太祖) หมายถึง บรรพบุรุษ หรือปฐมกษัตริย์ หรือฮ่องเต้พระองค์แรกของรัชสมัย