ทั้งฟันและแก้มรู้สึกเ็ป ดวงตาทั้งสองข้างของอวี๋ฉี่เจ๋อพร่าไปด้วยหยาดน้ำบางๆ ขนตางามเย้ายวนผู้คน อวี๋เจียวเอ่ยอย่างไม่เป็ธรรมชาติว่า “ท่าน...ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อส่ายหน้า เขามองเส้นผมอ่อนนุ่มบนศีรษะของอวี๋เจียว ใจพลันอ่อนยวบ เขาเอื้อมมือออกไปลูบผมบนศีรษะของนาง ถามขึ้นเสียงเบาว่า “เจ็บหรือไม่?”
การกระทำใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้อวี๋เจียวรู้สึกกระอักกระอ่วนนัก ใบหน้าของนางเห่อร้อน ไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อ นางเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแล้วพูดตะกุกตะกักว่า “ไม่...ไม่เจ็บ”
อวี๋ฉี่เจ๋อกดสายตาลง พบว่าพวงแก้มของนางขึ้นสีชมพูจางๆ อากัปกิริยาดูโง่งมต่างจากท่าทางปราดเปรียวเฉลียวฉลาดในยามปกติลิบลับ เขากลับรู้สึกว่านางน่าเอ็นดูเป็พิเศษ มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่เจ็บก็ขึ้นเตียงไปพักผ่อนเถิด ข้าจะดับไฟ”
อวี๋เจียวตอบกลับเสียงต่ำก่อนจะก้มหน้าฝืนเดินไปที่เตียง ระหว่างที่กำลังเดินไป่ระยะไม่กี่ก้าวนั้น ในใจคิดทบทวนหลายตลบ ก็แค่นอนร่วมเตียงกันไม่ใช่หรือ? คนป่วยเช่นอวี๋ฉี่เจ๋อยังจะทำอะไรนางได้ แต่ก่อนล้วนแต่เป็นางเย้าแหย่เขา เหตุใดยามนี้ถึงกลับกันเสียแล้ว?
ทันใดนั้นภายในหัวของนางมีความคิดหนึ่งวูบผ่าน คาดว่าคงเป็เพราะนางเผยพิรุธจนอวี๋ฉี่เจ๋อดูออก ดังนั้นเขาถึงได้ใจกล้ากลั่นแกล้งนางเช่นนี้
เมื่อเดินมาถึงอยู่ขอบเตียง อวี๋เจียวหันกลับไปมองอวี๋ฉี่เจ๋อ ดวงตารูปผลซิ่งวาววับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มิสู้ไม่ต้องแยกฟูกแล้ว ในเมื่อท่านมาอยู่กับข้า กินร่วมกันพักร่วมกันแล้วก็ควรจะนอนร่วมกันถึงจะถูก”
อวี๋ฉี่เจ๋อกำลังเป่าเทียนเพื่อดับแสงไฟในห้อง อวี๋เจียวชายตามองด้วยความเสน่หาท่ามกลางความมืด อวี๋ฉี่เจ๋อมองไม่เห็นแม้แต่นิด เขาอาศัยแสงจันทร์เลือนรางนอกหน้าต่างเดินมาอยู่ข้างเตียง แม้จะมองเห็นใบหน้าของอวี๋เจียวไม่ชัด ทว่าสายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่บนร่างของนาง
“ได้” เขานั่งลงบนขอบเตียง น้ำเสียงทุ้มต่ำท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่างน่าดึงดูดกว่าปกติ
ใบหูของอวี๋เจียวเห่อร้อน นางรีบปีนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ตามด้วยสอดกายเข้าในผ้าห่มฝั่งด้านในเตียงอย่างคล่องแคล่ว
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอวี๋ฉี่เจ๋อดังขึ้น เขาเลิกผ้าห่มออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงฝั่งด้านนอก
เตียงในห้องด้านข้างหลังนี้ที่สกุลเหอเตรียมไว้ให้อวี๋เจียวไม่นับว่าใหญ่ เมื่อคนสองคนเอนกายลงนอน ตรงกลางมีพื้นที่ว่างเพียงหมอนหนึ่งใบเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน คล้ายกับจมูกล้วนได้กลิ่นบนกายของอีกฝ่าย อวี๋เจียวแข็งเกร็งไปทั้งร่าง นางพยายามปล่อยสมองให้โล่ง ทำให้ตนเองปราศจากความคิดยุ่งเหยิง
หลังจากเอนกายนอนไปแล้วราวครึ่งชั่วยาม อวี๋เจียวยังคงนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมา คิดว่าหากนอนหันหลังให้อวี๋ฉี่เจ๋ออาจรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง
“นอนเถิด เลิกคิดอะไรเพ้อเจ้อได้แล้ว” จู่ๆ คนที่นอนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาตลอดก็พูดขึ้นมา
อวี๋เจียวถอนหายใจแ่เบาเฮือกหนึ่ง ที่แท้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียวที่นอนไม่หลับ นางปิดเปลือกตาลง นึกไม่ถึงว่าจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าตรู่วันต่อมา ครั้นอวี๋เจียวลืมตาตื่น ข้างกายกลับไม่มีผู้ใด เหลือไว้เพียงไออุ่นบนที่นอน
เมื่ออวี๋เจียวเงยหน้าขึ้นถึงพบว่าอวี๋ฉี่เจ๋อนั่งอ่านตำราอยู่ข้างโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง นางสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วลงจากเตียง น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยเพราะพึ่งตื่นนอน “อรุณสวัสดิ์”
อวี๋ฉี่เจ๋อเงยหน้ามองนาง แสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างสาดส่องลงบนใบหน้าของเขา ทำให้ใบหน้าหล่อเหลางดงามถูกปกคลุมด้วยแสงสลัวยามเช้า
“หิวแล้วหรือไม่?” อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยถาม
อวี๋เจียวพยักหน้า หญิงรับใช้นอกห้องยกอ่างน้ำเข้ามา เอ่ยว่า “ห้องครัวเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ข้าจะไปยกมาให้แม่นางประเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
อวี๋เจียวเอ่ยขอบคุณ หลังจากล้างหน้าบ้วนปาก นางนั่งทานอาหารอยู่ตรงโต๊ะด้านข้างร่วมกับอวี๋ฉี่เจ๋อ
คนทั้งสองพักอาศัยอยู่ในจวนสกุลเหอเช่นนี้ และเพราะเหอตงเซิงกำชับเอาไว้ ผู้คนในจวนสกุลเหอจึงไม่มารบกวนพวกอวี๋เจียว อีกทั้งตลอดหลายวันมานี้ยังปรนนิบัติรับใช้ให้นางอยู่ดีกินดี
ครั้นล่วงเลยถึงวันที่สาม แผลพุพองของนายท่านผู้เฒ่าเหอตกสะเก็ดหมดแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะลุกลามอีก นายท่านผู้เฒ่าเหอสามารถลงจากเตียงมาอาบแดดนอกห้อง สีหน้าเปล่งปลั่งขึ้นไม่น้อย เมื่อเป็เช่นนี้เหอตงเซิงจึงยิ่งปฏิบัติต่ออวี๋เจียวเป็อย่างดี
