เนื่องจากเจียงชิงอวิ๋นกำลังไว้ทุกข์ จวนเจียงจึงไม่มีการจุดประทัด ไม่ประดับโคมไฟและผ้าแถบ ภายในจวนเงียบเหงา แม้แต่เสียงหัวเราะก็ยังไม่มี
ทุกเทศกาลยิ่งหวนคิดถึงบิดามารดา เจียงชิงอวิ๋นกลั้นน้ำตามาได้ตลอดจนถึงตอนไหว้บรรพบุรุษ ยามมองไปยังป้ายิญญาของญาติพี่น้องหลายสิบคนที่วางดำพรืดไปหมด เขาก็อดทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้ม
วันนี้เมื่อปีที่แล้วตระกูลเจียงอยู่ที่สู่ตี้ มีคนมากมาย จัดอาหารส่งท้ายปีสิบกว่าโต๊ะ แต่ปีนี้ตระกูลเจียงย้ายมาที่อำเภอฉางผิง กลับเหลือเพียงเจียงชิงอวิ๋นผู้เดียว
น้ำตาคนเฒ่าเช่นลุงฝูก็นองหน้าเช่นกัน ต้องกล่าวเตือนไปว่า “นายท่านขอรับ ดึกมากแล้วขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นรีบทานอาหารส่งท้ายปีพอให้เสร็จไป และไปที่ห้องหนังสือ มีเพียงยามอ่านหนังสือจึงพอจะลดทอนความทุกข์ในหัวใจของเขาลงได้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะสดใสของเด็กหนุ่มดังมาจากข้างนอก พร้อมกับเสียงพูดด้วยความนอบน้อมยิ่งของลุงฝู
“ท่านอาน้อย ข้าคิดถึงท่านจนกินมื้อส่งท้ายปีไม่ลงเลย”
คนยังไม่มาเสียงมาถึงก่อนแล้ว เป็ท่านชายโจวโม่เสวียนแห่งจวนเยี่ยนอ๋องนั่นเอง
มองไปก็เห็นว่าเขามีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง คิ้วดาบ สันจมูกโด่ง ปากแดงฟันขาว หล่อเหลาเป็ที่สุด สวมหมวกขนสุนัขจิ้งจอกสีดำ เสื้อม่วงกางเกงดำ ที่เอวห้อยหยกประดับสีขาวชั้นเลิศ และคลุมผ้าคลุมสีดำ ดูแล้วสง่างามยิ่งนัก
เจียงชิงอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า เอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “โม่เสวียน ดึกป่านนี้แล้วเ้ายังมาหาอาอีกหรือ”
“ไม่ดึก วันนี้ข้าจะรออยู่ข้ามปี ใครๆ เขาก็ไม่นอนกัน” โจวโม่เสวียนเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเจียงชิงอวิ๋นก็คิดในใจว่า มาครานี้ถูกต้องแล้ว หากข้าไม่มาก็เกรงว่าท่านอาน้อยต้องเสียใจอยู่ทั้งคืนเป็แน่
เจียงชิงอวิ๋นจับผ้าคลุมบนตัวของโจวโม่เสวียน และรู้สึกว่ามันเปียกอยู่ จึงรีบบอกว่า “รีบไปต้มน้ำขิงให้โม่เสวียนดื่มเร็วเข้า”
ลุงฝูกล่าวด้วยความเคารพว่า “สั่งการลงไปแล้วขอรับ”
โจวโม่เสวียนถอดเสื้อคลุมออก เอื้อมมือไปที่เจียงชิงอวิ๋น ถามทั้งที่ยิ้มตาหยีว่า “ท่านอาน้อย ข้าจะมาขอเงินแต๊ะเอีย ท่านเตรียมไว้ให้ข้าแล้วหรือไม่”
“ข้าเตรียมเอาไว้ให้เ้าเรียบร้อยแล้ว” เจียงชิงอวิ๋นให้ลุงฝูไปหยิบมา
อากับหลานสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง โจวโม่เสวียนก็ดึงตัวเจียงชิงอวิ๋นขึ้นรถม้าไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง
ฉินไท่เฟยทานอาหารมื้อส่งท้ายปีเสร็จแล้ว จึงให้บุตรชายและหลานๆ กลับไป บุตรชายโตจนมีภรรยาแล้ว จึงไม่้านางแล้ว
นางกำลังดูงิ้วอยู่ตามลำพัง คนที่มาแสดงเป็ชายวัยกลางคนคนหนึ่งและเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง กำลังร้องงิ้วมีชื่อของแคว้นต้าโจว เื่ ‘บันทึกสืบหาบุพการี’
‘บันทึกสืบหาบุพการี’ เล่าเื่ของชายหนุ่มที่ทำการค้าผู้หนึ่งที่บังเอิญไปมีเื่กับอันธพาล อันธพาลจึงแอบบุกเข้าไปในเรือนของเขาและจับบุตรชายคนเล็กไปขาย
ตอนที่บุตรชายคนเล็กถูกจับไปนั้นอายุได้หกขวบแล้วจึงจำความได้ เมื่อเติบโตขึ้นสอบได้เป็จอหงวน จึงขอราชโองการจากฮ่องเต้ให้ได้กลับไปติดตามหาพ่อแม่ สุดท้ายก็ตามหาพ่อแม่บังเกิดเกล้าจนพบ ครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า และยังจับอันธพาลผู้นั้นไปตัดหัวอีกด้วย
ฉินไท่เฟยเผชิญกับอุปสรรคนานาประการมาทั้งชีวิต ครั้งโอรสของนางยังไม่ได้บรรดาศักดิ์เป็เยี่ยนอ๋อง เรียกได้ว่านางต้องเผชิญกับอันตรายจากทุกทาง ต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว ความรักที่เคยมีต่อเยี่ยนอ๋องผู้เฒ่าล้วนเหือดแห้งไปจนหมดสิ้นในหลายปีนั้น
สิ่งที่ฉินไท่เฟยประสบมาทำให้นางไม่ชอบดูงิ้วที่เกี่ยวกับความรัก ‘บันทึกสืบหาบุพการี’ นี้นางดูมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังคงชอบดูอยู่
คนเล่นงิ้วทั้งสองคนร้องได้ดีมาก ฉินไท่เฟยฟังเสียจนเข้าถึงเป็ที่สุด
บ่าวเข้ามารายงานว่า โจวโม่เสวียนไปรับเจียงชิงอวิ๋นมา ฉินไท่เฟยตื่นเต้นดีใจยิ่ง ไม่ดูงิ้วแล้วและให้บ่าวไปเชิญเจียง ชิงอวิ๋นเข้ามา
“หลานชายข้าผู้นี้คอยนึกถึงผู้อื่นไปเสียทุกเื่ ข้าให้เขามาฉลองปีใหม่ที่จวนเราเรื่อยมา แต่ปีนี้เขาบอกว่า เขากำลังไว้ทุกข์ กลัวจะชงกับลูกสะใภ้ของข้าที่กำลังตั้งครรภ์” ฉินไท่เฟยกล่าวออกมาเป็ชุดด้วยความตื่นเต้นและให้คนไปจัดเตรียมอาหารที่ห้องครัว และยังให้บ่าวรีบไปกวาดหิมะที่เรือนของเจียงชิงอวิ๋นด้วย
“โปรดวางพระทัยเพคะ บ่าวไปจัดการเื่เหล่านี้เรียบร้อยแล้ว”
ครู่หนึ่งเจียงชิงอวิ๋นก็มาถึง และเข้ามาโขกศีรษะไหว้ปีใหม่ฉินไท่เฟย เมื่อทั้งสองคนได้พบกันต่างก็น้ำตาริน โจวโม่เสวียนเห็นแล้วะเืใจนัก เหตุที่เขาไปรับเจียงชิงอวิ๋นมา ก็เพื่อให้ฉินไท่เฟยดีใจ และไม่ให้เจียงชิงอวิ๋นต้องเอาแต่หงอยเหงาเพียงลำพัง
โจวโม่เสวียนปรายตาไปคราวหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปดึงแขนฉินไท่เฟย และออดอ้อนว่า “เสด็จย่า ในสายตาท่านมีแต่ท่านอาน้อย หลานอิจฉาแทนเสด็จพ่อของหลานแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยเอื้อมมือไปลูบผมของโจวโม่เสวียน “เสด็จพ่อเ้า มีเสด็จแม่ของเ้าและมีพวกเ้าพี่น้องแล้ว ข้าเอ็นดู ชิงอวิ๋น เสด็จพ่อของเ้าจะมาอิจฉาเื่ใด”
“เสด็จย่า ท่านอาน้อยของหลานให้เงินแต๊ะเอียหลานแล้ว ท่านก็จะประทานให้หลานด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดูเขาสิ เห็นแก่เงินเสียจริงๆ” ฉินไท่เฟยสนทนากับเจียงชิงอวิ๋น และหันไปสั่งบ่าวให้ไปหยิบหีบออกมา
เจียงชิงอวิ๋นได้เงินสองร้อยตำลึง โจวโม่เสวียนได้หนึ่งร้อยตำลึง
โจวโม่เสวียนเหลือบมองจำนวนเงินบนตั๋วเงินในมือของเจียงชิงอวิ๋นคราวหนึ่ง พลันร้องลั่นว่า “หลานว่านะเสด็จย่า ท่านทรงลำเอียง”
ฉินไท่เฟยจึงกล่าวว่า “เด็กโง่ นี่ย่าแค่แอบให้เ้า วันพรุ่งยังมีให้เ้าอีกส่วน”
วันพรุ่งเป็วันปีใหม่ โอรสและธิดาของโจวปิงล้วนต้องมาโขกศีรษะไหว้ปีใหม่ฉินไท่เฟย ซึ่งไม่ว่าจะเป็บุตรจากภรรยาเอกหรือจากอนุ เฉินไท่เฟยจะให้เงินแต๊ะเอียเท่ากันทั้งหมด
ฝ่ายโจวปิงเมื่อรู้ว่าโจวโม่เสวียนตั้งใจขี่ม้าฝ่าหิมะไปรับเจียงชิงอวิ๋น จากอำเภอฉางผิงมาที่จวนอ๋อง ก็รู้สึกว่าโจวโม่เสวียนเป็คนที่มีจิตใจดีรู้จักตอบแทนบุญคุณคน
โจวปิงจึงอยู่กับเยี่ยนหวังเฟยอีกครู่หนึ่งแล้วไปพบกับเจียงชิงอวิ๋น พอไปถึงก็เห็นว่าฉินไท่เฟย เจียงชิงอวิ๋น และโจวโม่เสวียน กำลังทานอาหารรอบดึกกันอยู่ หนำซ้ำยังเป็ฮุ่ยเมี่ยนเส้นใหญ่ที่เขาชอบอีกด้วย จึงเข้าไปทานฮุ่ยเมี่ยนเนื้อแพะหนึ่งชาม
เจียงชิงอวิ๋นกำลังไว้ทุกข์จึงทานฮุ่ยเมี่ยนเจ น้ำแกงเป็น้ำแกงเห็ดหอม โรยหน้าด้วยเห็ดหลายชนิด ถั่วงอก และอื่นๆ ถูกปากอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเป็คนที่ชอบทานข้าวไม่ชอบทานอาหารจำพวกเส้นก็ยังทานไปสองชาม
พอพ้นยามจื่อ[1]ไปก็ถึงปีใหม่แล้ว มีเสียงประทัดจากทั้งในและนอกจวนอ๋องดังไม่ขาดสาย เลื่อนลั่นจนหูแทบหนวก ครึกครื้นอย่างยิ่ง
จากนั้นโจวโม่เสวียนก็ไปส่งเจียงชิงอวิ๋นกลับไปพักผ่อนที่เรือน
โจวปิงอยู่กับฉินไท่เฟยตามลำพัง หลังจากสนทนากันครู่หนึ่งฉินไท่เฟยก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ชิงอวิ๋นไว้ทุกข์ห้าปี นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เขากลับไม่มีคนอยู่ด้วยแม้สักคน ช่างโดดเดี่ยวนัก”
โจวปิงกล่าวว่า “ทูลเสด็จแม่ คราก่อนท่านเคยตรัสกับลูกว่า จะช่วยลูกผู้น้องตามหาคนตระกูลเจียง ลูกได้สั่งการลงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีจริงๆ เ้าช่างมีน้ำใจนัก ข้าต้องขอบใจเ้าแทนชิงอวิ๋นด้วย” ฉินไท่เฟยแค่พูดออกไปส่งเดชประโยคหนึ่งเท่านั้น แต่โจวปิงกลับเก็บมาใส่ใจและลงมือจัดการเรียบร้อย โอรสเช่นนี้มีเพียงผู้หนึ่งก็เพียงพอแล้ว
“ขอบพระทัยอันใดพ่ะย่ะค่ะ สำหรับลูกแล้วนั่นเป็เื่ที่ง่ายดายดังแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น แต่เสด็จแม่อย่าเพิ่งตรัสกับลูกผู้น้องนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกกลัวว่าถ้าหาคนไม่พบ เกรงว่าลูกผู้น้องจะดีใจเก้อพ่ะย่ะค่ะ”
“ตกลง ข้าจะไม่พูด” ฉินไท่เฟยย่อมรู้ว่าการตามหาคนนั้นมิใช่เื่ง่ายดายเลย โดยเฉพาะตระกูลเจียงที่เผชิญทั้งภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือคน
“เสด็จแม่ ท่านหมอเทวดาน้อยที่ลูกผู้น้องไปหามานั้นไม่เพียงช่วยชีวิตโม่เสวียนเอาไว้ แต่ยังช่วยลูกได้อย่างมากด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยสอบถามอย่างใคร่รู้ว่า “เช่นนั้นหรือ ท่านหมอเทวดาน้อยช่วยเ้าอย่างมากเื่ใดกัน?”
“จิ่งวั่งให้แพทย์หลวงตรวจสอบใบสั่งยาขับพยาธิที่ท่านหมอเทวดาน้อยทิ้งเอาไว้ หลังตรวจสอบผ่านแล้วจึงให้กองกำลังแห่งเมืองเยี่ยนดื่ม และได้ผลที่ดีอย่างยิ่ง ลูกจึงสั่งให้ทหารในกองทัพเมืองเยี่ยนดื่มยาทุกคน หลังจากแม่ทัพข้างกายลูกหลายนาย ทั้งหม่าไห่ หลินเหลียง ตู้ฉวนเฟิง จ้าวหลิน ได้ดื่มยาไปแล้ว วานนี้ก็ล้วนขับพยาธิออกมา ลูกคิดในใจว่าหากมิได้ยาขับพยาธิ ในยามที่เหล่าแม่ทัพใหญ่เข้าทำศึกและล้มเจ็บขึ้นมา ผลที่จะตามมาย่อมยากเกินจะคาดเดาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยรู้จักแม่ทัพใหญ่เ่าั้ พวกเขาล้วนเป็แม่ทัพคู่ใจของโจวปิง คนเหล่านี้เป็ผู้นำกองทัพเยี่ยน หากเกิดเจ็บป่วยยามทำศึกย่อมเป็เื่ใหญ่ เมื่อนึกได้เช่นนั้นนางถึงกับตบอกตนเองด้วยความรู้สึกหวั่นใจ และกล่าวไปว่า “เ้าทำดีแล้ว พวกเขาคงซาบซึ้งในน้ำใจเ้ายิ่งนัก”
โจวปิงยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ วานนี้พวกเขาล้วนมาคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณลูก” ยาขับพยาธิตำรับหนึ่ง นอกจากจะช่วยขับพยาธิให้เหล่าทหารแห่งทัพเยี่ยนแล้ว ก็ยังทำให้ได้ใจของกองทัพด้วย เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งมาจากหัวใจที่เจียงชิงอวิ๋นพาหมอเทวดาน้อยมาที่จวนอ๋อง
กลางดึกหิมะหยุดตกแล้ว ทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่
ทันใดนั้นเองสุนัขก็เห่าดังมาจากลานหลังเรือนสกุลหลี่ เสียงเห่าดังขึ้นเรื่อยๆ ทำลายความเงียบสงบแห่งรัตติกาลไปสิ้น
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามจื่อ (子时) คือ เวลา 23.00-01.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้