“ตาเฒ่า เหตุใดมันเทศในบ้านเราจึงเหลือน้อยเช่นนี้?” หลิวฉีซื่อมองเห็นในหลุมดินโล่งไปมาก ถึงกับโมโห
หลิวต้าฟู่มองนางอย่างสงสัย “เ้าไม่ได้ขายมันหรือ?”
“ตาข้างไหนของเ้าเห็นข้าขายมันเทศหรือ? กองใหญ่เพียงนั้น จะไม่เห็นความเคลื่อนไหวเลยหรือ?” หลิวฉีซื่อเห็นหลิวต้าฟู่ไม่ได้มีท่าทีเสแสร้ง เพียงแต่ยังไม่วางใจจึงถามต่อ “ไม่ใช่เ้าจริงหรือ?”
“ไยเ้าจึงน่ารำคาญเช่นนี้? ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ข้า”
หลิวต้าฟู่ถูกเค้นถามจึงรู้สึกหงุดหงิด
หลิวฉีซื่อะโใส่เขาว่า “ใครจะรู้ว่าเ้าขายมันเทศเพื่อเอาไปแลกเงินหรือไม่ แล้วเอาไปอุ้มชูใครหน้าไหน เื่เช่นนี้ใช่ว่าเ้าจะไม่เคยทำ”
“เ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ตอนนั้นข้าบอกกับเ้าแล้ว เราสองคนบริสุทธิ์ เ้าก็รั้นไม่เชื่อ แล้วข้าจะทำอย่างไรได้?” หลิวต้าฟู่พูดจบก็ก้าวเท้าหนี
หลิวฉีซื่อมองเงาด้านหลังของเขาแล้วพึมพำ หรือว่าไม่ใช่เขา?
ผ่านไปเพียงสิบนาที ในลานบ้านก็มีเสียงอันแหลมปรี๊ดของนางะโด่า
“หลิวชิวเซียง ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
หลังจากะโเสร็จ นางก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือของเด็กคนนี้
หลิวชิวเซียงมีนิสัยอ่อนแอ ดูเหมือนน่าจะเป็เื่ที่นางตัวดีหลิวเต้าเซียงทำมากกว่า
หลิวเต้าเซียงกำลังใช้ผ้าที่ตัดออกมาจากเสื้อผ้าขาดๆ ชุบน้ำอุ่นและเช็ดทุกมุมในบ้าน แม้ว่าบ้านของนางจะทรุดโทรม แต่ก็ไม่ได้ทำให้นิสัยรักความสะอาดของนางนั้นหายไป
“ท่านย่า ะโอะไรแต่เช้าหรือ พี่ข้าไปให้อาหารหมูหลังบ้านแล้ว” นางกำลังถือผ้าชะเง้อมองออกมาทางหน้าต่าง
หลิวฉีซื่อเหลือบมองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะแผดเสียงดุอย่างโกรธเคือง “ะโแล้วจะอย่างไร เ้าเป็คนตายหรือ ข้าะโอยู่นานครึ่งค่อนวันถึงเพิ่งออกมา ข้าถามเ้าหน่อย มันเทศในหลุมดินหายไปไหน?”
มันเทศเป็ของตกต่ำ ไม่สามารถเป็เสบียงได้อย่างแท้จริง
แต่ก็ยังสามารถแลกเป็เงินได้
หลิวฉีซื่อเป็คนที่ตระหนี่เช่นนี้แล
“ก็ยังอยู่ในหลุมไม่ใช่หรือ? ท่านย่าไม่ได้ไปดูหรือ?”
หลิวเต้าเซียงหยิบเศษผ้าและเช็ดกรอบประตูด้านนอกแบบลวกๆ ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว วันนี้แดดดี นางจึงทำความสะอาดบ้าน
ท่าทางที่ไม่ใส่ใจของนางยิ่งไปกระตุ้นความโกรธเคืองของผู้เป็ย่า
หลิวฉีซื่อคํารามอย่างโกรธจัด ขณะที่หลิวเต้าเซียงมองนางอย่างสงบนิ่ง
“ท่านย่า ท่านมีเื่อะไรหรือ? หากไม่มีอะไร ข้าจะกลับไปทำความสะอาดห้องแล้ว”
นางไม่้าเสียเวลากับคนที่ไร้เหตุผล และมีนิสัยขวางโลกเช่นนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้ ใครอนุญาตให้เ้าไป?” หลิวฉีซื่อโมโหอย่างเดือดดาล รู้สึกเพียงว่าทรวงอกมีแต่ไฟแห่งความโกรธปะทุออกมา นางมองไปทางหลิวเต้าเซียงด้วยความโเี้ สายตาชิงชังคู่นั้นอยากจับเด็กสาวตอกกับแผ่นไม้เสียให้ได้
“ท่านย่า เช่นนั้นก็บอกมาว่าท่านมีเื่อะไรอีก?”
หลิวเต้าเซียงยังคงมองนางด้วยท่าทีนิ่งเฉย ยิ่งทำให้ความโกรธของหลิวฉีซื่อเหมือนกระแทกเข้ากับปุยนุ่น
“ข้าถามว่า เหตุใดมันเทศในหลุมดินจึงลดหายไปมากนัก?”
หลิวฉีซื่อยังคงเหลือสติสัมปชัญญะที่จะเอ่ยถามนางให้เข้าใจ
หลิวเต้าเซียงได้ยินคําพูดนั้น ใบหน้าก็รับรู้ได้ทันที “อ้อ ท่านย่า ท่านก็บอกให้เร็วสิว่ามันเทศน้อยลง ทำเอาข้าคิดว่าบ้านเรามีขโมยเข้าเสียอีก จนตอนนี้ข้ายังคิดว่า ใครเล่าช่างตาบอดเช่นนี้ เงินที่อยู่ในห้องท่านย่ากลับไม่ขโมย ดันมาขโมยของที่มีราคาต่ำเช่นนี้”
หลิวฉีซื่อโมโหจนแทบหงายหลัง รู้สึกว่าจุกที่อก พูดเสียงดังขนาดนั้น กลัวว่าโจรจะไม่รู้หรืออย่างไร
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าใบหน้าของนางเริ่มเขียวปั๊ด ในใจก็ยิ่งมีความสุข
“อ้อ ลืมบอกกับท่านย่าว่า มันเทศที่หายไปนั้นเอาไปให้อาหารหมู”
“เ้าว่าอะไรนะ?”
หลิวฉีซื่อฉีไม่อยากเชื่อสิ่งที่นางพูด รู้สึกเพียงว่าตอนนี้สมองมีแต่เสียงอื้ออึง
หลิวเต้าเซียงมองนางด้วยใบหน้าที่สับสนมึนงง “ข้าบอกว่าเอาไปให้อาหารหมูแล้ว”
ให้อาหารหมู ให้อาหารหมู…
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าคำเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมอง!
“เ้า… เ้า… ใครอนุญาตให้เ้าเอาไปเลี้ยงหมูกัน?”
เมื่อนึกถึงเงินที่เข้าไปอยู่ในท้องหมูทั้งหมด หลิวฉีซื่อก็จุกในอกอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านย่า ท่านเองก็ไม่เคยบอกว่าเอามันเทศให้เป็อาหารหมูไม่ได้นี่นา!”
หลิวเต้าเซียงมองนางอย่างไร้เดียงสา สายตานั้นกำลังบอกกับหลิวฉีซื่อโดยตรงว่า ท่านย่าเป็คนโง่เขลา
หลิวฉีซื่อรู้สึกจุกอยู่ในอกอย่างแท้จริง นางชี้นิ้วไปที่หลิวเต้าเซียงนานครึ่งค่อนวันแต่พูดอะไรไม่ออก
“ท่านย่า บ้านเราร่ำรวย ถึงกระทั่งมีคนรับใช้ ไม่เห็นต้องใส่ใจของไม่มีมูลค่าเช่นนี้เลย ชาวบ้านก็บอกแล้วว่าของเหล่านี้ไม่มีราคา ท่านย่าคงไม่มีทางเหลียวแล อืม ใช่แล้ว ท่านย่าคงไม่เหลียวแลอยู่แล้ว”
หลิวเต้าเซียงกำลังยั่วโมโหนาง อีกทั้งยังสวมหมวกอันสูงส่งให้นางด้วยในขณะเดียวกัน
หลิวฉีซื่อโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำกลายเป็ซีดขาว
ด้วยสายตาที่โเี้นั้น แทบอยากจะวิ่งเข้าใส่แล้วจับนางตัวดีนี้ฉีกให้ร่างแหลกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่นางก็ยกขาไม่ขึ้น เพราะหลิวเต้าเซียงบอกว่าคนในหมู่บ้านต่างก็รู้สึกว่าหลิวฉีซื่อนั้นเป็เ้านายที่ร่ำรวยมีเงิน
หากนางทำให้เื่ใหญ่โต ตัวเองก็จะเป็คนขายหน้าเสียเอง?
หลิวฉีซื่อไม่พอใจและโกรธเกลียดหลิวเต้าเซียงเป็อย่างมาก จึงชี้นิ้วแล้วเอ่ย “ก็ได้ คิดไม่ถึงว่าตระกูลหลิวจะมีเ้าที่ฝีปากคมคายเช่นนี้ ฮึ เ้าคิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะไม่โกรธหรือ?”
ชุ่ยหลิวเดินมาเวลานี้พอดี จึงเอื้อมมือออกมาพยุงแขนของหลิวฉีซื่อราวกับกำลังปลอบประโลม แต่อันที่จริงเป็การสาดน้ำมันลงบนกองเพลิง
“ฮูหยิน ท่านอย่าโกรธเคืองจนทำให้ร่างกายย่ำแย่ หลานสี่อายุยังน้อย แล้วก็ไม่เคยได้รับการสั่งสอนจากฮูหยิน นิสัยจึงแก่นแก้วเช่นนี้”
นางกำลังบอกว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้รับการสั่งสอนทางอ้อม
หลิวเต้าเซียงเพียงแค่ใช้สายตาเ็าจ้องมองไปที่ชุ่ยหลิว นางเองก็อยากเห็นว่าปากสุนัขของชุ่ยหลิวจะพ่นอะไรออกมาบ้าง
ชุ่ยหลิวถูกจ้องมองด้วยสายตานั้นถึงกับขนลุกซู่ ในใจเกิดความระแวงสงสัยว่าเหตุใดหลานสี่ถึงมีสายตาที่น่าใเช่นนี้?
ไม่เหมือนสายตาของเด็กอายุเจ็ดขวบแม้แต่น้อย
“นายของเ้าไม่ได้สั่งสอนหรือ? คนเป็นายพูดคุยกัน เ้าเป็แค่ข้ารับใช้มีสิทธิอะไรมาพูดแทรก?” หลิวเต้าเซียงเอ่ยเสียงเรียบ
น้าชุ่ยหลิวบ้าบออะไรกัน ชิ!
คำพูดของหลิวเต้าเซียงราวกับกระทุ้งรังผึ้งเข้าให้ เดิมทีหลิวฉีซื่อก็กำเนิดจากชนชั้นต่ำ นางเกลียดชังเป็ที่สุดเวลามีคนเอ่ยถึงเื่นี้ต่อหน้า
หลิวเต้าเซียงไม่ชอบเห็นชุ่ยหลิวมีท่าทีได้ใจ จึงลากหลิวฉีซื่อให้เข้ามาเกี่ยวโดยไม่รู้ตัว
“เ้า…” ชุ่ยหลิวไม่กล้าพูดต่อ จึงมองไปที่หลิวฉีซื่อด้วยความหน่ายใจ “ฮูหยิน ท่านควรสั่งสอนหลานสี่ให้ดี การไม่เคารพผู้าุโเช่นนี้ ต่อไปหากเกิดก้าวออกจากประตูบ้านไป คนรอบข้างจะหัวเราะเยาะเอาได้”
คําพูดของชุ่ยหลิวทำให้หลิวเต้าเซียงไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คือตัวกวนน้ำให้ขุ่น
อย่างไรก็ตาม คำพูดของสาวรับใช้ไม่ได้ทำให้หลิวฉีซื่อเปลี่ยนความคิด
เพียงเพราะ การมีอยู่ของซูจื่อเยี่ย!
หลิวฉีซื่อ้าเลี้ยงดูหลิวเต้าเซียงให้เป็หญิงสาวที่ป่าเถื่อนและไม่รู้กาลเทศะ จึงจะไม่อยู่ในสายตาของบุตรในท่านอ๋อง
หากถามว่าซูจื่อเยี่ยหมายถึงสิ่งใดหรือ?
ในสายตาของหลิวฉีซื่อ เขาคือความมั่งคั่งจาก์
ดังนั้นนางจะไม่มีทางเสียแรงสั่งสอนหลิวเต้าเซียง แต่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อไปจะยิ่งปล่อยให้เด็กคนนี้ทำตัวเสเพลไปทั่ว
เพียงแต่ความโมโหในตอนนี้ก็ยากที่จะสงบลงได้!
ชุ่ยหลิวเห็นว่าท่าทีของหลิวฉีซื่อเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้ตกปากรับคำเื่ที่นางเสนอ จึงมีการคิดวางแผนในใจ
“ฮูหยิน ด้านนอกลมเย็น เรากลับเข้าห้องก่อน อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะตุ๋นน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายให้ท่าน”
ดวงตาของหลิวฉีซื่อเป็ประกาย ก่อนจะหันไปด่าหลิวเต้าเซียง “ในเมื่อเอามันเทศไปให้อาหารหมูโดยที่ข้าไม่ได้อนุญาต เสบียงเหล่านี้ก็จะตัดจากเสบียงของครอบครัวฝั่งเ้า”
หลิวเต้าเซียงยิ้มให้นางอย่างใจเย็น
ใครเหลียวแหลอาหารเ่าั้กัน?
“ได้ยินหรือไม่?” น้ำเสียงของหลิวฉีซื่อค่อนข้างชั่วร้าย ราวกับว่าหากหลิวเต้าเซียงไม่ตอบรับ นางก็จะพุ่งไปตบหน้าสักฉาด
คนดีไม่ควรปล่อยให้เสียเปรียบ
หลิวเต้าเซียงคิดว่าแขนเรียวเล็กของตนเองคงสู้ท่อนขาใหญ่ไม่ได้ กระนั้นจึงตอบตกลงอย่างว่าง่าย
ตอบตกลงนั้น ใช่
เมื่อใกล้จะถึงเวลาอาหารเที่ยง จางกุ้ยฮัวจัดการแปลงผักเสร็จเรียบร้อยและกลับมา
หลิวเต้าเซียงกําลังอุ้มหลิวชุนเซียงและนั่งอยู่ใต้ระเบียงเพื่ออาบแดด
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
นางโบกมือให้จางกุ้ยฮัวและมองไปที่เรือนใหญ่ครู่หนึ่ง
จางกุ้ยฮัวเดินมาด้วยสีหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูก ก่อนจะวางจอบไว้ตรงใต้บันได
นางก้มลงและเอื้อมมือออกไปอุ้มหลิวชุนเซียงไว้ในอ้อมอก พร้อมกับลูบศีรษะของบุตรสาวคนรอง “เป็เด็กดีอยู่ที่บ้านหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงมองนางด้วยใบหน้าที่มืดมน “ท่านแม่ ท่านบอกให้ข้าดูแลน้องสาม แล้วข้าจะออกไปไหนได้?”
จางกุ้ยฮัวปลอบโยนนาง “อากาศหนาวเกินไป ถนนบนูเาลื่น แม่กลัวว่าจะเกิดเื่กับเ้า เื่ไข่ไก่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว งานในบ้านก็มากมายก่ายกอง ป้าหลี่เองก็กลับมาแล้ว จะได้สอนพี่สาวเ้าเย็บปักถักร้อยมากกว่านี้”
แต่พอคิดดู ไม่ใช่สิ!
“ข้าว่าลูกรัก เ้าก่อเื่ใช่หรือเปล่า?”
ผู้เป็แม่มักรู้ใจลูก!
“ท่านแม่ ไม่ใช่สักหน่อย ท่านย่าถามข้าว่าเหตุใดมันเทศในหลุมดินจึงลดลง ข้าก็ตอบนางอย่างตรงไปตรงมาว่าให้อาหารหมูแล้ว ข้าไม่เหมือนป้ารองที่ชอบโกหก!”
นางเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมาแล้วทำสีหน้าเหมือนกำลังรอคำชม!
จางกุ้ยฮัวทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ นี่คงทำให้ท่านย่าผู้ตระหนี่นั้นโมโหจนกระอักเืได้เลย!
“ข้าเคยบอกกับเ้าแล้วว่าท่านย่าต้องโมโหเป็แน่”
หลิวเต้าเซียงพยักหน้าและตอบอย่างเฉยเมย “โกรธก็โกรธไป นางยังไม่ให้ครอบครัวเรากินข้าวอีกด้วย เฮอะ เหตุใดจึงไม่บอกให้ครอบครัวข้าย้ายออกไปกัน!”
นางรู้สึกว่าไฟที่ตนเองเติมเข้าไปยังไม่มากพอ
อืม ใครกันที่เคยกล่าวไว้? คนเติมฟืนเปลวไฟก็ยิ่งสูง?
นางยึดมั่นกับการตัดสินใจนี้
“ท่านแม่ เราไม่ฟังคำพูดของท่านย่าได้หรือไม่? ข้าหิวมาก เราจะไม่กินข้าวได้หรือ? เช่นนั้นเราก็หิวตาย?”
ดวงตาของจางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็เผยความเ็าออกมา
ชุ่ยหลิวและอิงเอ๋อร์เป็เพียงแค่สาวรับใช้ แต่กลับได้รับการเลี้ยงดูดีกว่าบุตรสาวของตน กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็มีราคามากกว่า!
ไม่ต้องให้คนอื่นมาเอ็นดู บุตรสาวตนเองก็ขอรักใคร่เอ็นดูด้วยตัวเอง
“ท่านย่าของเ้าพูดด้วยอารมณ์ แม่จะไปทำอาหารให้พวกเ้า ลูกรักอยากกินอะไร?”
“ข้าเห็นท่านย่าหิ้วหมูสามชั้นกลับมาชิ้นใหญ่ ท่านแม่ เรานึ่งกินเถิด ทำเนื้อหมูเค็มนึ่งหอมอร่อยที่สุด”
หลิวเต้าเซียงอยากกินเนื้อหมูเค็มชิ้นนั้นจะแย่แล้ว
จางกุ้ยฮัวคิดในใจ เนื้อหมูเค็มหากไม่ทำกินตอนนี้ เกรงว่าต่อไปคงหลุดมือ ไม่ไปถึงของครอบครัวนาง ถึงอย่างไรก็ต้องถูกอีกสองครอบครัวแย่งกันไปหมด
จะไม่กินก็เสียประโยชน์ จางกุ้ยฮัวตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปจะพยายามเติมเต็มความ้าของบุตรสาวให้มากกว่านี้
แม่สามีของตนชอบด่าก็ปล่อยให้ด่าไป หากจะด่าไม่หยุดจริง ก็แค่ให้คนในครอบครัวหลบออกไป
จู่ๆ จางกุ้ยฮัวก็รู้สึกว่าตนเองในอดีตช่างโง่เขลาเหลือเกิน!
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ความคิดของมารดาว่ากำลังตัดสินใจบางอย่างที่จะทำให้หลิวฉีซื่อโมโหแทบบ้า
ไม่นานนัก ในครัวก็มีเสียงหั่นผักดังขึ้น ขณะนี้เนื้อหมูเค็มก็ส่งกลิ่นหอมโชยออกมายั่วยวนผู้คน
หลิวต้าฟู่ซึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหนมองเห็นหลิวเต้าเซียงกำลังเล่นกับหลิวชุนเซียงอยู่ใต้ระเบียง
เขาเดินเข้าไปแล้วมองดูหลิวชุนเซียงที่น้ำลายไหลเยิ้มอย่างมีความสุข และหยอกเล่นกับนางให้เรียกท่านปู่
“หลิวเต้าเซียง วันนี้แม่ของเ้าทำอะไรกิน?”
“นึ่งเนื้อหมูเค็ม ท่านย่าซื้อกลับมาก่อนหน้านี้”
มีเนื้อหมูเค็มให้กินเป็เื่ดี อย่างไรก็ดีกว่าเสียเปรียบให้บ้านลุงใหญ่กับลุงรอง
หลิวต้าฟู่ก็มีความสุขมากเช่นกัน มีเนื้อหมูเค็มให้กิน อืม ไปซื้อสุราในหมู่บ้านมาสักหน่อยดีกว่า
เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็เดินออกไป
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าเขาเดินออกไปนอกประตู แต่นางคิดตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าท่านปู่หมายถึงอะไรที่เพิ่งบอกว่าดีๆ เมื่อครู่ เพียงพริบตาเดียวเขาก็ออกจากบ้านไปเสียแล้ว
-----
