แต่มายารัตติกาลไม่ได้หวาดเกรงแม้เพียงนิดซูฉางอันเหลือพลังอีกเพียงไม่มาก เพราะพลังิญญาของเขาถูกใช้เสียจนหมดทั้งร่างกายก็ยังได้รับาเ็หนักอีก นางไม่ได้กลัว เพียงแต่รู้สึกไม่ชอบเหตุการณ์เช่นนี้เท่านั้น
ทว่านางไม่อาจฆ่าซูฉางอันได้ เพราะเขายังมีโลหิตเทพแท้อยู่ในร่างเขาเป็ความหวังในการฟื้นคืนชีพของโลหิตเทพแท้ซึ่งถือเป็สิ่งที่ได้รับอย่างไม่คาดคิดในแผนการครั้งนี้ นางข่มรังสีสังหารในจิตใจเอาไว้แล้วส่งลำแสงอันแสนเย็นะเืหลายระลอกออกไปจากร่างกาย
ซูฉางอันรู้สึกว่าร่างเบาหวิวลงในพริบตาจากนั้นก็มีเืพุ่งกระฉูดออกมาจากที่แขนและขาอย่างฉับพลัน ร่างของเขาเซถลาไปเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ซูฉางอันก็ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นดินอีกคราเขานอนอยู่บนนั้นราวกับสุนัขตัวหนึ่งขณะที่เืก็ไหลออกมาจากข้อมือและข้อเท้าอย่างไม่ขาดสาย
เขาพยายามกระชับดาบในมือให้มั่นที่สุด หยัดกายลุกยืนขึ้นอีกครั้งแต่เพิ่งจะยืนได้สำเร็จ าแที่ข้อเท้าพลันฉีกทำให้เขาร่วงลงไปนั่งอยู่บนพื้นดินอีกครั้ง และเืสดก็ไหลทะลักออกมามากกว่าเดิมพื้นเบื้องล่างถูกเืของเขาย้อมจนกลายเป็สีแดงฉานไปหมด วินาทีนี้ ราวกับกายนี้ไม่ได้มีเขาเป็เ้าของอีกต่อไปเพราะยิ่งเขาพยายามมากขึ้นเท่าไร ก็รังแต่จะยิ่งเ็ปมากขึ้นเท่านั้น
“ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าเ้าข่มโลหิตเทพในร่างเอาไว้ได้เยี่ยงไร แต่ตอนนี้พลังิญญาของเ้าหมดสิ้นลงแล้วยิ่งเืไหลออกมามากเท่าไหร่ ร่างกายของเ้าก็จะค่อยๆ อ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น และก่อนที่เ้าจะตายเทพแท้ต้องฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยร่างของเ้าเป็แน่” มายารัตติกาลกล่าวขึ้นจากนั้นก็ไม่แม้แต่จะชายตามองซูฉางอันอีกต่อไป นางก้าวขึ้นไปในอากาศหนึ่งก้าว เพียงเท่านั้นร่างบางก็ไปหยุดอยู่บนแท่นศิลาเสียแล้ว
กู่เซี่ยนจวินยังคงหลับใหลอยู่บนแท่นศิลา แต่เพราะเสียเืไปมากใบหน้างามจึงซีดเผือดมากขึ้นทุกขณะจิต
มายารัตติกาลยื่นมือเข้าไปหากู่เซี่ยนจวินอย่างเชื่องช้า จากนั้นกริชคมที่เปล่งประกายไปด้วยแสงเย็นะเืก็ประกายออกมาจากมือของนางอย่างอ้อยอิ่ง จนปลายแหลมของกริชไปจ่ออยู่ที่ลำคอของกู่เซี่ยนจวินในที่สุด
ซูฉางอันมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เขาอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดเหตุการณ์ตรงหน้าแต่บัดนี้ เขาไม่อาจควบคุมร่างกายได้อีกต่อไปได้เพียงะโใส่มายารัตติกาลเสียงดัง “เ้าจะทำอะไรน่ะ?”
มายารัตติกาลหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่จมอยู่ในกองเืจากนั้นจึงกล่าวขึ้น “มีเมืองอีกเมืองซ่อนอยู่ใต้ที่แห่งนี้ที่นั่นเป็ตำหนักของเทพเ้า นามว่าเฟิงตูในเฟิงตูมีเส้นทางสายหนึ่งซึ่งมีนามว่าเส้นทางแห่งความตายอยู่ ณ จุดสิ้นสุดของเส้นทางมีศิลาอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่าศิลาสามภพ ข้า้าสิ่งนั้น”
“ั้แ่เทพองค์นั้นสิ้นชีพลงเมืองเฟิงตูก็ซ่อนอยู่ในใต้ดินมาโดยตลอดต้องใช้เืจากทายาทของเขามาเป็ของเซ่นไหว้เท่านั้นจึงจะอัญเชิญเมืองเฟิงตูกลับขึ้นมาได้และนางก็คือทายาทของเทพแท้องค์นั้นที่ข้าพูดถึง”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ มายารัตติกาลก็ยักยิ้มมุมปากขึ้นจากนั้นก็มองไปที่ซูฉางอันอย่างสนใจ พลางกล่าวถามขึ้น “เพราะฉะนั้น ไหนลองบอกมาซิว่าข้ากำลังจะทำอะไร?”
ซูฉางอันไม่รู้ว่าเมืองเฟิงตู เส้นทางแห่งความตาย กับศิลาสามภพที่มายารัตติกาลพูดถึงหมายถึงสิ่งใดกันแน่แต่เขารู้ว่าหากกริชนั่นถูกปักลงไปในลำคอของกู่เซี่ยนจวินล่ะก็นางที่เดิมก็มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้วย่อมตายอย่างแน่นอน
แน่นอน เขารู้ดีว่าตนเองก็มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่นานเช่นกันเืของเขาไหลออกมามากขึ้นทุกขณะ ทำให้รู้สึกเวียนหัวมากขึ้นไม่หยุดหย่อนแต่เขาไม่ปรารถนาให้กู่เซี่ยนจวินตายอย่างน้อยก็ไม่อยากทนเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าต้องกระทำอะไรบางอย่าง
“เ้าทำแบบนั้น มันไม่ถูกต้อง” เขาเอ่ยขึ้นดังนี้ ซูฉางอันพยายามจะพูดกับสตรีผู้นี้ด้วยเหตุผลนั่นเอง
นี่ไม่ใช่เื่ที่น่าภาคภูมิใจสักเท่าไรนักอย่างน้อยซูฉางอันก็คิดเช่นนั้น เมื่อครู่ยังบอกว่าจะฆ่านางอยู่เลยแต่เพียงไม่นานก็เปลี่ยนมาคุยด้วยเหตุผลกับนางเสียแล้ว ซูฉางอันคิดว่านักดาบอย่างมั่วทิงอวี่และฉู่ซีฟงไม่มีทางทำเื่ที่น่าอับอายเยี่ยงนี้เป็แน่
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ เขาก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เพราะแม้นกำลังจะตายลงไปแล้วตนก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเป็นักดาบดั่งเช่นพวกเขาได้อยู่ดี
แต่ในเมื่อกำลังจะตายอยู่แล้ว เื่ที่ว่าจะเสียหน้าหรือไม่จะยังมีประโยชน์อันใดอีกเล่า? ซูฉางอันปลอบใจตัวเอง แค่ให้กู่เซี่ยนจวินได้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพียงพออย่างไรเสีย การมีชีวิตอยู่ย่อมเป็เื่ดีอยู่แล้ว
มายารัตติกาลมองดูเด็กหนุ่ม ดวงตาคู่งามกะพริบอยู่หลายครั้งราวกำลังรอให้ซูฉางอันพูดต่อ
ซูฉางอันรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะเขาครุ่นคิดอยู่สักพักจึงกล่าวต่อ “หากทำเช่นนั้น นางจะตาย”
มายารัตติกาลชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมา นางหัวเราะร่วนแล้วมองไปที่ซูฉางอันอย่างตั้งใจแวบหนึ่ง ราวกำลังไตร่ตรองคำพูดของเขาอย่างจริงจังหลังผ่านไปนาน จึงพูดขึ้นในที่สุด “เ้าช่างเป็เด็กที่น่าสนใจไม่เบาทีเดียว”
นางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า บนห้วงเวหาอันแสนมืดมิด บัดนี้ดวงจันทร์เสี้ยวสีแดงดวงนั้นค่อยๆกลายมาเป็จันทร์เต็มดวงั้แ่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น มายารัตติกาลจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง“การสนทนากับเ้า ช่างเป็เื่เพลิดเพลินเสียจริง เพียงแต่ข้าไม่มีเวลาอีกแล้ว”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ นางก็ส่ายหน้าไปมาคล้ายกำลังรู้สึกเสียดายกับเื่นี้ ทันใดนั้นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าก็หายวับไปอย่างฉับพลัน นางหันกลับไปมองกู่เซี่ยนจวินที่นอนอยู่บนแท่นศิลาอีกครั้งจากนั้นก็แทงกริชแวววาวที่แสนคมกริบตรงไปที่ลำคอของนางอย่างรวดเร็ว
ซูฉางอันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้เขารีบร้องห้ามขึ้นทันที แต่ในครั้งนี้ มายารัตติกาลกลับทำราวกับไม่ได้ยิน เพราะนางไม่ไยดีเขาเลยสักนิดกริชแหลมกำลังจะแทงเข้าไปในลำคอของกู่เซี่ยนจวินแล้ว
“บังอาจ!!!”
เสียงหนึ่งดังกึกก้องมาจากทั่วทุกสารทิศ
ราวกับเสียงนั้นจะแฝงไปด้วยพลังอันแสนเร้นลับบางอย่างมายารัตติกาลสะดุ้งใ กริชที่ยื่นออกไปก็ชะงักลงไปด้วยเช่นกัน
จู่ๆท้องนภาเบื้องบนที่ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากดวงจันทร์ก็ประกายแสงสีม่วงขึ้น ดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วผืนดิน
“นักรบแห่งดาราจักรงั้นรึ?” มายารัตติกาลมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที แม้พลังของนางยังไม่ได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์เต็มร้อยแต่พลังกดดันอันแสนมหาศาลราวว่าสามารถแหวกทะเล ทลายูเาลงได้ซึ่งกำลังถาโถมเข้ามาหาก็ทำให้นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเ้าของพลังนั้นแข็งแกร่งมากถึงเพียงไร
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียงกล่าวสายฟ้าสีม่วงก็พุ่งตรงเข้ามาหาราวกับจอมอสรพิษเสียแล้ว
อสนีบาตส่งเสียงคำรนแสนแสบแก้วหูขึ้นดังสนั่น และเข้าประชิดร่างบางในเสี้ยววินาทีมายารัตติกาลสะดุ้งใ พลางร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจ นางรีบส่งกริชจำนวนมหาศาลออกมาครอบคลุมร่างกายเอาไว้ทันที
เสียงะเิที่ดังสนั่นปะทุขึ้น
มายารัตติกาลลอยถลาออกไปไกลหลายจ้างกว่าจะตั้งหลักได้เืสีแดงซึมออกมาจากมุมปาก เห็นได้ชัดว่านางได้รับาเ็สาหัสไม่ใช่น้อยเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหว นางก็รีบขับเคลื่อนพลังิญญาภายในร่างกายขึ้นเพื่อเตรียมจะหลบหนีออกไปทันที
แต่ดาบและร่างของใครคนหนึ่งกลับพุ่งลงมาจากท้องนภา แล้วเข้าประชิดตัวด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็ใคร นางก็เบิกตากว้างอย่างบ้าคลั่ง
“นี่มัน...”
นางเตรียมจะกล่าวบางอย่างออกมาแต่ก็รู้สึกราวลำคอถูกบางอย่างอุดอยู่ จึงไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ ทันใดนั้นจู่ๆ นางก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาอย่างประหลาดรู้สึกคล้ายร่างของตนกำลังหมุนวนเป็วงกลม นางััได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจึงพยายามจะลืมตาให้กว้างมากที่สุดเพื่อจะสำรวจอาการของตนเอง ทว่าสิ่งที่เห็นกลับเป็เพียงร่างไร้หัวที่กำลังล้มลงบนพื้นดินอย่างช้าๆ
นางกระจ่างแจ้งในเสี้ยววินาที ที่แท้ตนก็ถูกใครบางคนตัดหัวไปแล้วนั่นเอง
ตู้ม!
เสียงกระทบดังขึ้นอย่างแ่เบา หัวของมายารัตติกาลร่วงลงบนพื้นดินก่อนจะกลิ้งออกไป และไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าฝูงุ์ที่ยังคงเลียเืของกู่เซี่ยนจวินที่ไหลมาตามพื้นดินในที่สุดในตอนนั้นเองทีุ่์เ่าั้ดึงสติออกมาจากอาหารรสเลิศสำหรับพวกมันได้พวกมันมองไปยังบุรุษที่ยืนหันหลังมาให้จากนั้นก็ก้มมองศีรษะที่ยังไม่ยอมปิดตาลงที่เท้า และแล้ว พวกมันก็ะเิเสียงโหยหวนที่ดังสนั่นขึ้นอย่างหวาดกลัวแล้ววิ่งสี่เท้าเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากกระทั่งเสียงของสัตว์ประหลาดที่วิ่งพล่านอยู่กลางป่าดังถี่กลับมาซูฉางอันจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง
เขามองไปยังบุรุษที่ถือบางอย่างเอาไว้ในมือและยืนหันหลังมาให้อย่างอึ้งๆ แล้วบางอย่างก็ปะทุออกมาจากดวงตา
แต่เขากลับไม่กล้าเรียกชื่อนั้นออกมา เพราะจู่ๆก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นอย่างประหลาด เขาเกรงว่าหากคนตรงหน้าหันกลับมา ใบหน้าที่ตนพบเห็นจะไม่ใช่ใบหน้าที่คาดหวังเอาไว้
บุรุษผู้นั้นเพียงสะบัดดาบในมือเบาๆ เท่านั้นเืที่เปื้อนอยู่บนนั้นก็ร่วงลงมาจนหมด ตัวดาบกลับมาแวววับดังเดิมมันสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์และดวงดารา และประกายแสงคมเฉียบที่น่าสยดสยองออกมา
ชิ้ง!
บุรุษผู้นั้นเก็บดาบกลับเข้าไปในฝักที่แบกอยู่ด้านหลังจากนั้นก็ทาบฝ่ามือลงบนาแที่มีเืไหลออกมาอย่างต่อเนื่องของกู่เซี่ยนจวินเมื่อแสงสีม่วงฉายประกายวาบขึ้น าแนั้นสมานเข้าด้วยกันทันที บุรุษผู้นั้นช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนร่างจะกะพริบวาบมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของซูฉางอันในพริบตา
วินาทีนั้น ในที่สุดบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในดวงตาซึ่งซูฉางอันพยายามจะเก็บกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ก็ไหลทะลักออกมาเขามองดูเส้นผมอันแสนยุ่งเหยิงที่หน้าผากมองดูเคราสั้นที่ขึ้นอย่างไม่เป็ระเบียบของคนตรงหน้าจากนั้นจึงร้องเรียกด้วยเสียงแ่อย่างอดไม่ได้อีกต่อไป “ผู้าุโฉู่”
บุรุษผู้นั้นผุดประกายรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าที่เย็นะเือย่างยากจะได้เห็น จากนั้นก็วางกู่เซี่ยนจวินลงเปลี่ยนจากการอุ้มมาเป็พิงแทน เขาประคองร่างของนางเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งจากนั้นก็ประคองร่างของซูฉางอันด้วยมืออีกข้าง “ข้าจะพาพวกเ้ากลับบ้านเอง” เขากล่าวเช่นนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้