หลังจากทุกอย่างสงบลง แม้ว่าอิ้งหลีจะปวดเมื่อยตามตัวและชาส่วนล่างเขาก็ไม่อยากขยับ ความมึนเมาได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว บรรยากาศและรสััที่ยังคงหลงเหลืออยู่ร้องบอกอย่างชัดเจนว่าเขากับเฟิงจิ้งอี้ได้ทำอะไรลงไป
“พอหรือยัง? ้าอีกหรือไม่?”
เฟิงจิ้งอี้จูบแก้มสีแดงก่ำของคนที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วถามเบา ๆ น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยการหยอกล้อ น้ำเสียงมีเสน่ห์หลังจากผ่านพ้นความพึงพอใจทางอารมณ์ เมื่อได้ยินดังนั้นอิ้งหลีก็ส่ายหัวอย่างเขินอาย
“ไม่เอาแล้ว...”
นี่เป็ครั้งแรกของเขา เข้าวังสองครั้ง[1]ก็เพียงพอแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาฝึกวิทยายุทธ์เขาจะทนการทำซ้ำ ๆ อย่างนี้ได้เช่นไรกัน
เฟิงจิ้งอี้จูบที่หลังคอของเขาด้วยความรัก “ได้ เช่นนั้นไปล้างตัวกัน”
เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นไปแต่งตัว จากนั้นจึงเข้ามาอุ้มคนขึ้นมาพร้อมม้วนผ้าห่ม อิ้งหลีกัดริมฝีปากเงียบๆ อยู่ในอ้อมแขนของเขา
เฟิงจิ้งอี้ไม่จำเป็ต้องพูดมาก หยางเหิงก็เตรียมน้ำร้อนในห้องสรงน้ำภายในห้องบรรทมไว้ให้แล้ว ทั้งยังขับไล่ข้ารับใช้คนอื่นๆ ออกไปอีกด้วย หลังจากเห็นเฟิงจิ้งอี้อุ้มอิ้งหลีออกมาก็ก้มศีรษะลงด้วยความเคารพพร้อมทั้งคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้าง เฟิงจิ้งอี้พอใจมากกับไหวพริบของเขา ระหว่างทางจึงพูดออกไปคำหนึ่งว่า
“รางวัล”
หยางเหิงรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง “ขอบพระทัยในความเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
ตี้จวินทรงมีเมตตาต่อท่านราชครูมานานแล้ว สุดท้ายยามนี้จึงอดไม่อยู่ที่จะรับคนมา ตระกูลอันดับหนึ่งของแคว้นเทียนซูในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากตระกูลเหยียน
เขาทั้งโกรธเคือง หงุดหงิด ตื่นตระหนก เขินอาย ประหม่า และหวาดกลัว... อารมณ์ต่างๆ ผุดขึ้นในใจมากมาย และความสงบในยามปกติของอิ้งหลีก็ได้หายไปแล้ว
แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายคือตี้จวิน แต่ก็ยังปล่อยให้เขาดูแลตนในการชำระร่างกาย และคนที่ในยามปกติมักเอาแต่ใจอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม[2]และทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในยามนี่ที่้าเอาใจเขากลับอ่อนโยนจนถึงที่สุด ทุกสิ่งทำให้เขาไม่สามารถโต้ตอบได้...
จนกระทั่งเฟิงจิ้งอี้ล้างตัวและอุ้มคนกลับไปยังแท่นบรรทมแล้ว อิ้งหลีที่นอนอยู่บนหน้าอกของเขาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ตี้จวิน...”
“ในยามนี้อย่าเรียกข้าเช่นนั้น เรียกชื่อข้าสิ ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เรียกได้ดีแล้วหรือ อิ้งหลี ข้าชอบเ้า”
เฟิงจิ้งอี้ขัดจังหวะเขา แม้แต่การแทนตนก็ยังเปลี่ยนไป นี่เป็ครั้งแรกที่เขาหวังให้คนในอ้อมแขนเรียกชื่อของเขา
ในยามที่มีสติแน่นอนว่าอิ้งหลีไม่อาจเรียกมันออกมาได้ เขาเม้มปากและพูดว่า “ข้าต้องออกจากวัง”
เฟิงจิ้งอี้ก้มศีรษะลงจูบเขา “ไม่ได้ คืนนี้เ้าต้องอยู่ในวัง ข้าจะนอนกอดเ้า”
อิ้งหลีมองดูเขา พบกับดวงตาคู่หนึ่งที่ละทิ้งอำนาจและเหลือไว้เพียงความอ่อนโยน
เฟิงจิ้งอี้ก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากบวมแดงของเขาพร้อมกระซิบว่า “ขอโทษ ที่ข้าฉวยโอกาสเอาเปรียบในตอนที่เ้ากำลังมึนเมา”
แม้ว่าทุกคนจะดื่มเหล้าเพื่อทำให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ เขาก็ต้องยอมรับว่าการใช้เหล้าเพื่อล่วงละเมิดผู้อื่นยังเป็เื่น่าละอายมากอยู่ดี
อิ้งหลีเหลือบมองเขาแล้วหลับตาลง นึกขึ้นได้ว่าต้องเป็เขาแน่ที่ดึงตนจากด้านหลังจนล้มลง แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเื่นี้ หากเป็คนอื่นเขายังสามารถทุบตีได้ ในด้านหนึ่งของเฟิงจิ้งอี้เป็ถึงเ้าแผ่นดิน นอกจากนี้เขาต้องยอมรับว่าหัวใจของเขามันเต้นรัวยามต้องมนต์เสน่ห์
เขากัดริมฝีปากบังคับตนเองพูดอย่างสงบว่า
“หากคืนนี้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเหตุวุ่นวายมากเพียงใด ให้ข้าได้อยู่อย่างสงบ ส่งข้าออกจากวังเถอะ”
“อิ้งหลี...”
เฟิงจิ้งอี้เพิ่งเปิดปาก อิ้งหลีกลับรีบขัดจังหวะเขา
“ท่านคือเ้าแผ่นดิน ไม่รู้หรือว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่อยาก... เป็หนานฉ่ง[3] ของท่าน”
ไม่ว่าคืนนี้เฟิงจิ้งอี้จะวางแผนอะไรไว้หรือจะเป็เื่กะทันหันที่เกิดจากฤทธิ์เหล้า แต่เื่นี้ไม่ควรแพร่กระจายออกไป เขาฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการจนได้เป็จวงหยวน ต้องกลายมาเป็สัตว์เลี้ยงตัวผู้[4] ผู้ดูแลรับใช้ฮ่องเต้จะนับเป็อะไรได้ ทั้งหน้าตาของตระกูลเหยียนยังต้องถูกเหยียดหยาม
“ข้าไม่เคยคิดจะให้เ้าเป็หนานฉ่ง ข้าเพียงแค่...”
เฟิงจิ้งอี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อพูดออกมา เขาลดเสียงลงพร้อมพูดออกมาอย่างรีบร้อนว่า
“นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับคนที่ถูกใจ เ้าอย่าโกรธเคืองเลย ข้ารู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
เขาแค่้าแสดงความรักต่อใครสักคนอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกัน
“…” อิ้งหลีกัดริมฝีปากและพยายามลุกขึ้นแต่งตัว เขาอยากโกรธ แต่ก็ไม่กล้า เขาทนเก็บคำพูดมากมายที่อยากจะโพล่งออกจากปากของเขาเอาไว้ อารมณ์ของเขายังไม่คงที่อาจทำให้พูดสิ่งที่ผิดพลาดออกไปได้ง่าย ควรให้เวลาเขาได้สงบสติอารมณ์ก่อน
เมื่อเห็นเช่นนี้เฟิงจิ้งอี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมเขา แต่เขายังยืนกรานที่จะรั้งอีกคนไว้แน่นเพื่อใส่ยาให้เขาก่อนจะรอเขาแต่งตัว ซึ่งทำให้อีกคนหน้าแดงหูแดงขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าด้วยความไม่สบายตัวแล้ว เฟิงจิ้งอี้ก็ตบลงที่หน้าอกของตนอย่างแรงและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า
“อิ้งหลี อย่าผลักไสข้าเพียงเพราะข้าเป็เ้าแผ่นดิน ข้ามีความสุขกับเ้าจริงๆ”
พูดจบก็อุ้มเขาขึ้นมา พาออกไปทางประตูข้างเหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา ระหว่างทางเขาไม่พูดอะไรสักคำ
ในคืนที่มืดมิด เซียวอวิ๋นมู่รออยู่ข้างรถม้ามาเป็เวลานานแล้ว
“ตี้จวิน นี่คือ...”
มองดูบุคคลที่ถูกตี้จวินอุ้มเข้ามา การแสดงออกของเซียวอวิ๋นมู่ดูผิดปกติเล็กน้อย นี่เป็ครั้งที่สองที่ตี้จวินอุ้มอิ้งหลี ในอดีตเขายังเคยตำหนิอิ้งหลีที่ทำตัวแย่ ๆ ใส่ตี้จวิน แต่ตอนนี้อิ้งหลีกลับดูน่าสงสาร คืนนี้ออกมาช้ากว่าเดิมมาก และเขาดูเมามากกว่าครั้งก่อน
“อืม” เฟิงจิ้งอี้ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำจากนั้นจึงขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับคนในอ้อมแขน ออกคำสั่งง่าย ๆ อีกหนึ่งคำสั่ง
“ไป ท่านราชครูไม่ค่อยสบาย คืนนี้เจิ้นจะส่งเขากลับจวนด้วยตนเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวอวิ๋นมู่รู้ว่าตี้จวินเป็คนที่รักษาคำพูด จึงไม่มีการโน้มน้าวใจแต่อย่างใด รถม้ามุ่งจากประตูด้านข้างออกไปนอกพระราชวัง
อิ้งหลีรู้สึกอายเกินกว่าจะลืมตา เฟิงจิ้งอี้ยังคงกอดเขาไม่ปล่อยหลังจากขึ้นมาบนรถม้า เขาดิ้นรนเล็กน้อย ชายผู้แข็งแกร่งจึงกระชับอ้อมแขนขึ้นเพื่อไม่ให้เขาขยับ
“หลับพักผ่อนให้สบายเถอะ ข้าจะกอดเ้าไว้”
นึกถึงเขาที่เป็เ้าแผ่นดิน ได้เห็นลมพายุมานับไม่ถ้วน แต่เขากลับรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นการตอบสนองอย่างเฉยเมยของอิ้งหลี
เมื่ออิ้งหลีลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเขากำลังมองตนเองอยู่ ดวงตาสี่ดวงประสานกัน[5] หัวใจที่กำลังเต้นอย่างแ่เบาก็กลับมาเต้นไม่เป็จังหวะอีกครั้ง
เฟิงจิ้งอี้มองคนในอ้อมแขนของเขา ก็เกิดอาการใจสั่นจากนั้นจึงพูดโพล่งออกมา
“อิ้งหลี เจิ้น... ข้าจะรักเ้าดั่งที่เว่ยซูหานรักเหยียนชิง เ้า้าสิ่งใดข้าจะพยายามทำให้เต็มที่เพื่อมอบมันให้กับเ้า... ในส่วนอื่น ๆ ข้าก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเช่นกัน คืนนี้ข้าผิดต่อเ้า ไม่อาจมีความสุขกับเ้าได้ก็ยัง้าเ้า หากเ้าไม่พอใจก็จงระบายออกมา จะโกรธจะด่าข้าก็ไม่เป็ไร แต่เ้าควรรู้ไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะการถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์เหล้า”
มันไม่ใช่เื่ราวความรักอันแสนหวาน เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดในอดีตมันก็ออกจะเ็าเกินไป แต่อิ้งหลีผู้มีประสบการณ์ในการป้อนคำหวานเื่ความรักมานับไม่ถ้วนกลับฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เพราะเขาเชื่อว่าฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ การพูดด้วยเหตุด้วยผลอย่างสงบเมื่อเทียบกับการพูดจาหว่านล้อมด้วยคำหวานมากมายมันดีกว่ามากจริงๆ
เขาไม่ใช่สตรี และควรรู้ว่าชายตรงหน้าเขาแตกต่างจากคนทั่วไป เฟิงจิ้งอี้มีสามตำหนักหกหมู่เรือน[6] ต้องรับผิดชอบดูแลแคว้นและแผ่นดิน เป็ไปไม่ได้ที่จะผูกขาดความรู้สึก เขาชื่นชมความซื่อตรงและความใจเย็นของเฟิงจิ้งอี้ ดังนั้นเขาจึงต้องใจเย็น ๆ
“เช่นนั้นแล้วข้าล่ะ?” อิ้งหลีถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “หลังจากนี้ข้าควรทำอย่างไร? ข้าสามารถสร้างครอบครัวได้หรือไม่? สามารถมีสามภรรยาสี่สนม[7]ได้ไหม?”
ั้แ่ละเลยข้อปฏิบัติระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางจึงปฏิบัติต่อเขาไปเช่นนี้ ไม่คิดว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ จริงๆ …
“ไม่ได้” ปฏิเสธไปตรง ๆ “เ้ามีข้าได้เพียงผู้เดียว”
เชิงอรรถ
[1] เข้าวังสองครั้ง (二进宫) เป็การล้อเลียนหมายถึงการถูกกระทำเป็ครั้งที่สองหรือกักขังจำคุกเป็ครั้งที่สอง
[2] มีเล่ห์เหลี่ยม ในต้นฉบับใช้คำว่า (腹黑) ซึ่งแปลตรงตัวว่าท้องสีดำ หมายถึง คนที่ภายนอกดูเป็คนที่คนที่ใจดีและอ่อนโยน แต่กลับมีความคิดชั่วร้ายหรือมีอุบายในใจ มักใช้เรียกคนที่มีเล่ห์เหลี่ยม เ้าเล่ห์ คนที่มีรอยยิ้มเชือดเฉือน
[3] หนานฉ่ง (男宠) หมายถึงผู้ชายที่รับใช้ผู้อื่นด้วยหน้าตา ความสวย และดูเหมือนผู้หญิง แต่จะแตกต่างจากนางสนมและมีอำนาจต่ำกว่ามาก
[4] สัตว์เลี้ยงตัวผู้ (脔宠) เป็คำอุปมาถึง ชายหนุ่มที่มีรักร่วมเพศที่ถูกซื้อโดยเ้าหน้าที่ระดับสูงและขุนนางเพื่อความบันเทิง
[5] ดวงตาสี่ดวงประสานกัน (四目相对) หมายถึง คนสองคนมองตากัน
[6] สามพระตำหนักหกหมู่เรือน (三宫六院) เป็คำที่ใช้บรรยายจำนวนอาคารและหมู่พระสนมของฮ่องเต้ โดนเรียกเต็มๆ ว่าสามพระตำหนักหกหมู่เรือน ๗๒ พระสนม (三宫六院 七十二妃)
[7] สามภรรยาสี่สนม (三妻四妾) หมายถึงการมีภรรยาหลายคน
