ฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบเป็ฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว
แปลงทดลองที่สวี่ตี้ปลูกได้รับการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์
ส่วนข้าวโพด จากการทุ่มเทดูแลของเขา เนื้อจึงแน่นมากทุกฝัก สวี่ตี้เด็ดออกมาทีละฝัก หลังจากเอาไปตากแห้งแล้วก็เก็บเมล็ดข้าวโพดที่คัดออกมาพวกนี้ไว้เป็เมล็ดพันธุ์ มันฝรั่งในดินพวกนั้นก็เติบโตได้ดีมาก หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วสวี่ตี้ก็นำกลับไปที่เรือนหลายหัวเพื่อนำมาทำผัดมันฝรั่งเส้นและเนื้อวัวตุ๋นมันฝรั่ง
ทำกับข้าวออกมาหม้อใหญ่ สวี่ตี้ไม่เพียงจะทำให้คนในครอบครัวของตนเองทานเท่านั้น เขายังนำไปแจกจ่ายให้พวกลุงๆ ป้าๆ ที่อาศัยอยู่เรือนด้านหน้าอีกด้วย ผลสรุปว่าข้าวหนึ่งมื้อแสนอร่อยนี้ทำให้ทุกคนต่างรอคอยพืชผักชนิดใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาหารอร่อยเป็สิ่งที่คนจำนวนมากไม่สามารถต้านทานได้
สวี่ตี้เพาะปลูกเป็ผลสำเร็จ เื่นี้ทำให้จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อดีใจมาก เขาเคยมาดูพวกพืชพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวไปแล้วและที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยตนเอง รู้สึกว่าเื่นี้ไม่ควรที่จะปกปิดเอาไว้ ควรจะส่งสาส์นรายงานไปยังองค์ฮ่องเต้ให้ชัดเจน แต่เื่ราวเช่นนี้หากกล่าวลึกลงไปจะต้องข้องเกี่ยวกับคนของสกุลจางเป็แน่ ในครานั้นสกุลจางถูกคนพวกนี้บีบบังคับถึงได้เดินทางออกไปไกลถึงนอกแคว้น หากเื่นี้ทำให้ต้องลากสกุลจางมาเกี่ยวข้องด้วย เกรงว่าจะไม่ดีต่อสกุลจาง ดังนั้นจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อจึงมอบเื่นี้ให้สวี่เหราเป็คนจัดการ
ภายในสาส์นเขียนเนื้อความเอาไว้ว่า สวี่เหราค้นพบเมล็ดพันธุ์พวกนี้ในตลาดแลกเปลี่ยน ด้วยนึกถึงความสำคัญของเมล็ดพันธุ์พวกนี้ที่มีต่อต้าเหลียงและประชาชนของแคว้น ดังนั้นเขาจึงได้มาขอเข้าพบจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อแล้วขอใช้ที่ดินส่วนหนึ่งมาทำแปลงทดลองปลูก จากการทดลองปลูกพืชชนิดนี้พิสูจน์ได้ว่าสามารถบรรเทาความหิวได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือของพวกนี้ไม่เพียงแต่ได้ปริมาณผลผลิตที่มาก ทั้งยังไม่เลือกดิน สามารถงอกเงยเติบโตได้ทุกที่ ขอเพียงแค่ดูแลให้ดี ถึงแม้จะเป็ดินที่ไม่ค่อยมีคุณภาพก็ยังสามารถเติบโตได้
จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อนำสาส์นฉบับนี้ส่งม้าเร็วไปยังเมืองหลวง ทางด้านสวี่ตี้ก็ยังคงดำเนินการเก็บเกี่ยวของตนเองต่อไป ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ หลังจากเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว เขาจะทำการปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวในที่ดินของตนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เขาได้ทำการพิจารณามานานแล้วว่าจะแบ่งที่ดินออกเป็สองส่วน ส่วนแรกเอาไว้ปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวควบคู่กับข้าวโพด ส่วนที่สองจะปลูกข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาว แต่ไม่ปลูกคู่กับข้าวโพด หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้วก็จะปลูกถั่วเพื่อบำรุงหน้าดิน ความจริงแล้วดินในตอนนี้ขาดแร่ธาตุอยู่มาก ถึงแม้จะใส่ปุ๋ยลงไป แต่หลังจากที่ปุ๋ยพวกนั้นทำให้พืชเติบโตแล้ว ก็จะทำให้ดินไม่แข็งแรงด้วย วิธีการปลูกถั่วลงไปนี้ก็เพื่อปรับปรุงดิน อีกทั้งยังสามารถนำถั่วที่ได้ไปคั้นเป็น้ำมัน และยังสามารถเอากากของถั่วไปเป็อาหารเลี้ยงหมูได้ สวี่ตี้รู้สึกว่าเนื้อวัวเนื้อแพะถึงแม้จะอร่อยเพียงใดก็ยังอร่อยสู้เนื้อหมูไม่ได้
สวี่ตี้รู้สึกว่าตนเองกำลังเดินอยู่ในเส้นทางแห่งการวิจัยการปลูกและเพาะพันธุ์พืชอย่างเต็มตัว แต่พอเขาคิดว่าในอนาคตจะมีของกินดื่มอร่อยๆ มากกว่านี้ทั้งตัวก็เต็มไปด้วยแรงผลักดัน ่นี้งานในสำนักงานเขตมีไม่มาก สวี่ตี้จึงลากบิดาของตนเองมาที่แปลงทดลอง จากนั้นก็ไปที่ไร่ โดยเฉพาะงานดูแลไร่นา เดิมทีสวี่เหรากับจางจ้าวฉือมอบหมายหน้าที่เื่การดูแลไร่นาให้กับสวี่ตี้ สวี่ตี้จึงต้องเดินทางไปมาทั้งสองที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เขาจึงมอบเื่การสร้างเรือนหลังใหม่ให้สวี่เหราช่วยจัดการ ส่วนสวี่เหราน่ะหรือ ถึงแม้เขาจะเป็อาจารย์มาหลายปี แต่ในกระดูกก็ยังมีความโรแมนติกของคนที่เรียนภาษาบวกกับบริเวณโดยรอบบ้านสวนไม่เพียงแต่จะมีูเาลูกเล็กๆ เท่านั้น ยังมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านด้วย และบนูเาเองก็มีตาน้ำพุอยู่แห่งหนึ่ง ทำให้มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา
สวี่เหราพาช่างเดินวนบนยอดเขาสองรอบ จากนั้นจึงตัดสินใจจะสร้างเรือนสี่ประสานสามทางเข้าขนาดใหญ่ไว้หนึ่งหลัง และให้คนงานทำรางน้ำรองน้ำจากน้ำตกบนูเาให้ไหลเข้ามาและสร้างบ่อน้ำเล็กๆ สำหรับรองน้ำเอาไว้ในเรือน
เมื่อกลับเข้าเรือนมาในตอนกลางคืน ยามที่ได้ฟังที่สวี่เหราเล่าเื่ให้ฟัง จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้ก็มองหน้ากัน สวี่เหราเห็นสีหน้าของภรรยาและลูกชายเป็เช่นนั้น ท่าทางตื่นเต้นของเขาก็ลดลง “อันใดกัน พวกเ้าไม่เห็นด้วยที่จะสร้างเรือนเช่นนี้หรือ?”
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “ก็ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วย เดิมทีก็อยากจะสร้างเรือนไว้หลังหนึ่งเพื่อให้พวกพี่ชายมีที่พัก แต่บ้านที่เ้าว่ามีทั้งบ่อน้ำและเรือนขนาดใหญ่ ข้าว่าเ้ากำลังสร้างเรือนพักตากอากาศหนีหน้าร้อนให้ตัวเองเสียมากกว่ากระมัง?”
สวี่เหราหัวเราะแห้งๆ สองที “ข้าก็แค่คิดว่าตาน้ำบนูเาหากไม่ได้ใช้มันก็น่าเสียดายนี่นา อีกอย่าง หากสร้างเรือนเสร็จแล้ว แปลงทดลองของสวี่ตี้ก็ย้ายไปทำที่นั่นแทนได้ ที่นั่นพื้นที่กว้างใหญ่ ต่อไปครอบครัวของพวกเราก็ไปพักกันที่นั่น จือเอ๋อร์เองก็จะได้มีพื้นที่วิ่งเล่น จือเอ๋อร์ลูกว่าดีหรือไม่?”
สวี่จือได้ยินสวี่เหราบรรยายถึงเรือนที่ยังไม่ได้เริ่มสร้าง ในใจก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง เมื่อได้ยินท่านพ่อเอ่ยถามตนเองว่าดีหรือไม่ นางก็อ้าปากตอบไปว่า “ดีเ้าค่ะ”
สวี่เหรายิ้มแล้วเอ่ยสำทับ “ดูสิๆ จือเอ๋อร์ของพวกเรายังพูดว่าดีเลย”
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “เหล่าสวี่เอ๋ย ข้าไม่ได้ห้ามมิให้เ้าสร้างบ้าน แต่เ้าดูสิว่าพวกเราอยู่ที่ใดกัน ที่นี่อยู่ใกล้ชายแดน หากมีา ที่แรกที่จะถูกโจมตีก็คงเป็หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ เ้าว่าสร้างเรือนใหญ่บนูเาเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าทำเพื่อให้เขาโยนะเิใส่หรือ? หรือไม่แล้วพวกเราค่อยๆ คิดกันให้ถี่ถ้วนอีกสักรอบเถิด”
สวี่เหราฟังแล้วก็ลูบปากพลางคิดอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าไม่ได้คิดถึงสถานการณ์ความเป็จริงเสียเท่าไหร่ เอาเถิด เช่นนั้นพวกเราก็สร้างเรือนสองหลังง่ายๆ ให้พวกพี่ชายอยู่ แล้วก็ทำห้องเก็บอุปกรณ์ทางการเกษตร ตัวเรือนไม่ต้องใหญ่มาก สร้างไว้สักห้าห้องให้เข้ากันกับเรือนก็เพียงพอแล้ว”
สวี่จือเห็นบิดาตนเองพูดประโยคนี้ด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดี จึงพูดปลอบใจเขาว่า “ท่านพ่อเ้าคะ พวกเราไม่สามารถสร้างเรือนในฝันของท่านพ่อในตอนนี้ได้ ทว่ารอในอนาคต ตอนที่พวกเรากลับไปที่เมืองหลวง จือเอ๋อร์จะหาเงินมาซื้อเรือนให้ท่านพ่อสักหลัง แล้วก็ซื้อแบบที่มีน้ำตกด้วย เช่นนี้ดีหรือไม่เ้าคะ?”
สวี่เหราฟังแล้วก็กล่าวตอบรับอย่างคนมีที่พึ่งใหม่ “ดีๆๆ จือเอ๋อร์ของพวกเราช่างเป็เด็กดีจริงๆ ต่อไปพ่อจะรอจือเอ๋อร์ซื้อเรือนให้พ่อนะ”
เรือนที่สร้างก็เป็เรือนที่ทำจากอิฐดำง่ายๆ บริเวณใกล้ๆ ไม่มีสัตว์ป่าดุร้าย ดังนั้นกำแพงรั้วจึงไม่ได้สร้างเอาไว้สูงมากนัก ซึ่งตัวเรือนก็สร้างได้รวดเร็วยิ่งนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สร้างเสร็จแล้ว หลังจากนั้นพวกอดีตทหารที่ได้รับาเ็จากาที่ได้จ้างเอาไว้ก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ พวกเขามีหน้าที่ช่วยดูแลไร่นา ซึ่งทางนั้นก็เริ่มการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงกันแล้ว
ข้าวธัญพืชจะต้องเก็บเกี่ยว ตากแห้ง เอาเมล็ดออก ส่วนพืชที่ปลูกในไร่พวกนี้ต่างล้วนจะต้องเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกัน เื่นี้จะต้องกระทำด้วยตนเอง ส่วนที่ดินขนาดใหญ่ก็ให้ชาวบ้านมาเช่า ชาวบ้านที่มาเช่าที่ดินพวกนี้ล้วนเป็คนของหมู่บ้านใกล้ๆ หลังจากเช่าที่ดินปลูกพืชผักแล้ว ทุกปีก็จะต้องส่งมอบพืชพันธุ์ผลผลิตที่ได้มาจ่ายให้พอดีกับค่าเช่าที่ ที่เหลือก็จะเก็บไว้เป็อาหารของตนเอง สองวันนี้ราวกับ์ให้รางวัล ฟ้าฝนช่างเป็ใจ หลังจากเก็บเกี่ยวประจำปีแล้ว ก็ทำการจ่ายค่าเช่าที่ ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ประทังชีวิตในครัวเรือน
สวี่ตี้ทำงานยุ่งอยู่ในไร่นาทั้งวันจนตัวทั้งดำทั้งผอม สวี่เหรากับจางจ้าวฉือไม่ได้รู้สึกอันใด แต่นี่กลับทำให้แม่นมลู่ปวดใจเป็อย่างยิ่ง นางยังทำเหมือนกับตอนฤดูใบไม้ผลิ อาหารสามมื้อของทุกวันก็จะถูกส่งไปยังไร่นา ไม่เพียงแค่ส่งข้าวให้กับสวี่ตี้เท่านั้น ยังเผื่อแผ่ไปถึงเหล่าทหารเก่าพวกนั้นที่มาช่วยดูแลไร่นาอีกด้วย
สวี่จือติดตามแม่นมลู่ทั้งวัน ตอนที่แม่นมลู่ทำอาหารกับป้าเหอในโรงครัวนางก็พยายามหาเื่ที่พอจะช่วยได้ทำ เช่น ช่วยจุดไฟหรือช่วยนวดแป้ง จะอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้ตนเองว่างได้ เพราะว่าตอนนี้คนในเรือนมีน้อย ่นี้แม่นมลู่ก็มิได้เข้มงวดกับการสั่งสอนเหล่าเด็กๆ ของสกุลสวี่มากนัก นางรู้สึกว่าเด็กๆ ทั้งสองของสกุลสวี่ความจริงแล้วเป็เด็กดียิ่ง นางจึงปล่อยให้เป็ไปตามความ้าของพวกเขา อยากทำสิ่งใดก็ให้ทำไป
ในขณะที่พืชผลในที่ดินของสกุลสวี่ยังเก็บเกี่ยวไม่หมด รถม้าขบวนหนึ่งจากเมืองหลวงก็ได้เดินทางมาถึง นำมาโดยเฉินกงกงขันทีใหญ่ข้างกายเหลียงเฉิงตี้ เขาเดินทางตรงไปยังจวนแม่ทัพ หลังจากเข้าพบซื่อจื่อแล้วก็ตามซื่อจื่อไปที่ไร่ของสกุลสวี่
หลายวันนี้สวี่เหราพาคนงานที่จ้างเอาไว้มาเก็บเกี่ยวพืชผลในที่ดินของตน ยามที่ซื่อจื่อพาเฉินกงกงมาถึง ก็พบสวี่เหราที่สวมชุดเก่าทั้งตัวและใส่หมวกฟางกำลังทำงานอย่างแข็งขัน
เฉินกงกงคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นสภาพเช่นนี้ของผู้พิพากษาสวี่ ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างยิ่ง เขาลากมือของสวี่เหรามาใกล้ตัว เขาซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะกล่าวคำใดออกไปดี
สวี่เหรากลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย สองวันมานี้งานที่สำนักงานเขตของเขาก็ไม่ได้มีเื่อันใดให้ทำสักเท่าไหร่ ถึงได้ถูกสวี่ตี้ลากมาช่วยทำงานที่นี่ เขาจึงยกเอาคำกล่าวของสวี่ตี้มาเอ่ยกับเฉินกงกง ความว่า นี่เป็ผลผลิตแรกทางการเกษตร เขาผู้ซึ่งเป็ผู้ปกครองเขตที่อยากจะนำพาประชาชนมากมายให้หลุดพ้นจากความยากจนจึงจำเป็อย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจเื่การปลูกพืชพันธุ์โดยละเอียด
สวี่เหรารีบพาแขกไปยังเรือนที่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่นาน เสี่ยวิเสี่ยวเลี่ยงก็แยกกันไปตระเตรียมของต้อนรับแขก คนหนึ่งไปหากาน้ำชาและถ้วยชา ส่วนอีกคนหนึ่งไปต้มน้ำ เพื่อนเรียนหนังสือทั้งสองคนนี้ เป็คนที่เขาพามาจากจวนใหญ่ จะต้องดูแลแขกอย่างไร พวกเขาย่อมรู้ดี
เพราะว่าเป็เรือนสร้างใหม่ ของตกแต่งในเรือนจึงเป็ของใหม่ทั้งหมด แต่ถึงจะอย่างนั้น ความจริงแล้วเพราะของในเรือนมีน้อย ภาพลักษณ์ที่สะท้อนออกมาจึงดูเรียบง่ายเป็อย่างยิ่ง
สวี่เหรากล่าวขออภัยเป็อย่างแรก “ใต้เท้าทุกท่าน ข้าขออภัยจริงๆ ขอรับ เรือนนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้เก็บกวาดจึงดูรกหูรกตาไปบ้าง หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสานะขอรับ”
เฉินกงกงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กในเรือนรีบกล่าวรับ “ใต้เท้าสวี่พูดเกินไปแล้วขอรับ ข้าเห็นว่าที่นีู่เาสวยลำน้ำใส กลับเป็สถานที่ที่ดีมากเลยนะขอรับ”
สวี่เหรายิ้มแล้วกล่าวตอบ “ข้าอยากจะลองปลูกพืชผักสวนครัว พอดีกับได้สถานที่เหมาะสม ดินดี น้ำมีพร้อม จึงเอาที่ดินตรงนี้มาทำแปลงทดลองเพาะปลูกขอรับ ผ่านไป่หนึ่งก็ว่าจะหว่านข้าวสาลี ปีหน้าค่อยปลูกข้าวโพดในแปลงของข้าวสาลีเป็การปลูกควบคู่กันขอรับ”
กลุ่มคนที่ติดตามอยู่ข้างกายของเฉินกงกงได้ยินคำพูดของสวี่เหราก็มองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นก้าวออกมาแล้วโค้งคำนับให้สวี่เหราหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ใต้เท้าสวี่ ข้าวโพดที่ท่านพูดถึง ก็คือพืชที่ซื่อจื่อรายงานต่อฝ่าาในครั้งนี้ใช่หรือไม่ขอรับ?”
สวี่เหรายิ้มแล้วกล่าวตอบ “ใช่แล้วขอรับ ข้าวโพดนี้ส่งมาจากนอกแคว้น ข้าเองก็ได้มาจากพ่อค้าที่เดินทางมาโดยบังเอิญ ฟังจากที่เขาพูด ทางภาคใต้เองก็เริ่มมีคนปลูกแล้วขอรับ มิรู้ว่าเหตุใดเื่นี้ถึงยังมิได้ถูกเผยแพร่ออกไป”
เฉินกงกงพูดแนะนำคนให้สวี่เหราได้รู้จัก “ใต้เท้าสวี่ ท่านผู้นี้คือใต้เท้าจิน เป็ข้าราชการของกระทรวงพลเรือนในราชสำนักขอรับ ที่พามาในครั้งนี้ก็เพื่อช่วยท่านทำการเพาะปลูกร่วมกันขอรับ”
สวี่เหราฟังแล้วก็รีบโค้งคำนับให้ใต้เท้าจิน ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “ยินดีต้อนรับๆ ความจริงแล้วข้าก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเื่การเกษตรสักเท่าไหร่หรอกขอรับ จึงจ้างเกษตรกรหลายท่านมาช่วยเหลือในครั้งนี้ หลายเื่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไรดี ใต้เท้าจิน ท่านมาได้ทันเวลาพอดิบพอดีเลยขอรับ ต่อไปต้องขอให้ท่านช่วยชี้แนะแล้วนะขอรับ”
ใต้เท้าจินรีบพูดว่ามิกล้า เมื่อพูดจาเป็ทางการกันอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวิกับเสี่ยวเลี่ยงก็ยกน้ำร้อน กาน้ำชา ถ้วยชาและใบชาที่เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้ามา หลังจากชงชาให้กับทุกคนแล้วจึงวางลงบนโต๊ะเล็ก ที่มาของโต๊ะตัวนี้มาจากการที่สวี่ตี้รู้สึกว่าทานข้าวที่นี่ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ เขาจึงได้ให้ร้านช่างไม้ในเมืองทำมาให้ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานจริงๆ
สวี่ตี้ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา เขาเป็เพียงเด็กอายุสิบหนาว ไม่กล้าออกไปแสดงตัวรับความดีความชอบ ขณะนี้จึงเกี่ยวข้าวธัญพืชอยู่กับพวกท่านลุงในไร่นา
สวี่ตี้คิดไม่ถึงว่าราชสำนักจะให้ความสำคัญกับอาหารกันขนาดนี้ เฉินกงกงนั้นสวี่ตี้นั้นรู้จัก เขาเป็ขันทีผู้ติดตามที่มีหน้ามีตาที่สุดของเหลียงเฉิงตี้ อยู่กับเหลียงเฉิงตี้มาั้แ่ยังเยาว์ ติดตามเหลียงเฉิงตี้ั้แ่ยังอยู่ในวังกระทั่งออกไปสร้างตำหนักที่ด้านนอก แล้วติดตามกลับวังเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ มีความซื่อสัตย์เป็อย่างยิ่ง เป็หนึ่งในคนที่เหลียงเฉิงตี้ให้ความสำคัญมากที่สุด
ใต้เท้าจินรับผิดชอบเื่งานเกษตรโดยเฉพาะ เขาให้ความสนใจในการปลูกพืชควบคู่กันอย่างที่สวี่เหราเอ่ยเมื่อครู่เป็อย่างยิ่ง หลังจากจิบชาแล้วก็ลากสวี่เหรามาสอบถามเื่ข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวกับข้าวโพด คนที่เป็ผู้ดูแลรับผิดชอบเื่การเกษตร จึงค่อนข้างหัวไวกับปัญหาด้านนี้มาก หลายเื่ที่สวี่เหราพูดออกมาเขาสามารถทำความเข้าใจได้ อีกทั้งยิ่งฟังสวี่เหราอธิบายก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินกงกงมองเรือนหลังเล็กแสนเรียบง่าย แล้วมองไปยังทุ่งข้าวธัญพืชสีทองรอบๆ ความจริงแล้วอารมณ์ก็ค่อนข้างยุ่งเหยิงพอสมควร ครั้งนี้สวี่เหราทำเื่ที่เหลียงเฉิงตี้รอคอยมาเนิ่นนานได้ ผู้ที่เป็กษัตริย์ของแคว้นแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังเป็กษัตริย์ที่พยายามทุ่มเททรงงานหนัก สิ่งที่เขาหวังมากที่สุดก็คือการที่ประชาชนของตนเองไม่อดอยาก ทว่าการเกษตรในตอนนี้ให้ปริมาณผลผลิตต่ำ เหตุเพราะหลายปีก่อนเกิดาไม่หยุดหย่อน ทุกคนต่างอพยพย้ายถิ่นฐาน ประชากรทั้งแคว้นลดน้อยลงมาก ไม่ต้องพูดถึงที่ดินที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปี
กษัตริย์หลายพระองค์ก่อนจะมาถึงราชวงศ์ต้าเหลียงต่างมุ่งความสนใจไปที่การขุดเหมือง หลังจากเหลียงเฉิงตี้ขึ้นครองราชย์ แคว้นก็สงบสุข ต่อมาจึงเร่งฟื้นฟูในด้านการดำรงชีวิต ทำให้แคว้นที่เคยเกิดาเพราะขาดแคลนอาหารนั้นรีบพลิกฟื้นกลับมาโดยเร็ว ดังนั้นการเพิ่มจำนวนประชากร เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรจึงเป็เื่ที่เร่งด่วนมาตลอด
เมื่อได้รับสาสน์จากจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อ ทำให้เหลียงเฉิงตี้เห็นถึงความหวัง แต่พระองค์ก็รู้สึกไม่พอพระทัยกับตำแหน่งที่สวี่เหราอยู่ในตอนนี้ เหอซีเป็เขตเล็กๆ แถบชายแดน สามารถได้รับการก่อกวนจากพวกเผ่าโยวมู่เหมินที่อยู่ด้านนอกด่านเยี่ยนเหมินได้ตลอดเวลา ถ้าหากพืชผักในแปลงทดลองพวกนี้ถูกคนพวกนั้นแย่งชิงไป นี่ไม่ใช่เป็การใช้ตะกร้าไม้ไผ่ไปตักน้ำ [1] หรอกหรือ?
เหลียงเฉิงตี้ครุ่นคิดอยู่หนึ่งคืน จึงตัดสินใจส่งคนในราชสำนักไป ได้ยินมาว่าข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวและข้าวโพดได้ทดลองปลูกแล้ว เช่นนั้นก็ไปเอาเมล็ดพันธุ์กลับมา แล้วนำไปทดลองปลูกที่แปลงของพระองค์ที่อยู่ใกล้ๆ กับเมืองหลวง ถ้าหากทดลองสำเร็จ เช่นนั้นก็จะรีบเผยแพร่ออกไปให้ทั่วแคว้น แน่นอนว่า ความดีความชอบของสวี่เหราจะต้องจดเอาไว้ให้ดี ปีที่แล้วตอนที่จัดการสอบเตี่ยนซื่อ [2] ซึ่งเป็การสอบที่องค์จักรพรรดิเป็ผู้จัดขึ้นมาเอง ได้ยินว่ายังมีคนจากจวนหย่งหนิงโหวมาเข้าร่วม จึงต้องให้เกียรติเสียหน่อย
ดังนั้นใต้เท้าจินเดินทางมาที่นี่ก็นำภารกิจติดมาด้วย เขาจะต้องเข้าใจวิธีการปลูกพืชทั้งสองอย่างนี้ให้ชัดเจนถึงแก่น จากนั้นก็เอาเมล็ดพันธุ์กลับไป แล้วทดลองปลูกในแปลงขององค์ฮ่องเต้
แน่นอนว่าสวี่เหราเข้าใจว่าเื่ราวเป็มาอย่างไร อย่างไรเื่นี้ก็ทำเพื่อปากท้องของประชาชนในใต้หล้า สวี่เหราเองก็ไม่ได้ปกปิด ตนเองรู้สิ่งใดก็พูดออกไปจนหมด ดูว่าตรงไหนที่ใต้เท้าจินไม่เข้าใจ ก็จะเชิญเกษตรกรที่ช่วยปลูกข้าวสาลีมาชี้แนะอย่างตั้งใจ
จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อได้ให้คนทำตามที่สวี่ตี้สอนเอาไว้ เขาใช้ข้าวโพด มันแกวและมันฝรั่งมาทำอาหารต้อนรับเฉินกงกงรวมถึงคณะ
ข้าวโพดโม่จนกลายเป็แป้ง หลังจากได้แป้งแล้วก็เอาไปทำเป็แผ่นแป้งทอด แล้วใช้แป้งข้าวโพดมาต้มโจ๊ก ส่วนมันแกวก็เอาไปต้ม จากนั้นก็ทำเป็ป้าซือตี้กวา [3] ส่วนมันฝรั่งก็นำมาทำเป็มันฝรั่งเส้น ตุ๋นมันฝรั่ง ผัดมันฝรั่งแผ่น ทำอาหารต้อนรับเสียจนเต็มโต๊ะ
เฉินกงกงคิดไม่ถึงว่าอาหารจะมากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งของพวกนี้เอามาทำเป็อาหารแล้วก็อร่อยมาก เฉินกงกงเริ่มคาดหวังว่าการทดลองปลูกในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ แล้วนำพืชพันธุ์พวกนี้ผลักดันออกไปให้เป็ที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เช่นนี้ก็จะมีคนจำนวนมากได้กินของพวกนี้แล้ว
เชิงอรรถ
[1] เสียแรงเปล่า
[2] เตี่ยนซื่อ เป็การสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ โดยฮ่องเต้เป็ผู้ออกข้อสอบและตรวจข้อสอบด้วยพระองค์เอง ผู้ที่ผ่านการสอบในระดับนี้มีจำนวนจำกัด โดยแบ่งออกเป็ 3 กลุ่มที่ดีที่สุด หรือเรียกว่า "ซานจย่า" ในแต่ละกลุ่มจะมีผู้ได้รับคัดเลือกเพียง 3 คน ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง สองและสามของแต่ละกลุ่มจำนวน 9 คนนี้เรียกว่า "จิ้นซื่อ" ในกลุ่มอีจย่า(กลุ่มที่หนึ่ง) ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งจะได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งจะได้ตำแหน่ง 'จ้วงหยวน' หรือ’จอหงวน’ อันดับสองจะได้ตำแหน่ง 'ปั๋งเหยี่ยน' อันดับสามจะได้ตำแหน่ง 'ทั่นฮวา'
[3] เป็อาหารที่ทำจากมันแกวรสชาติหวานๆ หอมๆ