ชาที่หอพระจันทร์คือชาชั้นเลิศ ส่วนการแสดงที่นั่นก็ชั้นยอดเช่นกัน
ได้ยินคำแนะนำจากหลี่อี้ หลินฟู่อินก็รู้สึกว่าสถานที่ดังกล่าวฟังดูน่าสนใจดี นางยกขนมในมือขึ้นมา “นี่คือขนมฝีมือปรมาจารย์เถี่ยแห่งภัตตาคารหลิวจี้ หากได้ไปลิ้มรสที่หอพระจันทร์ต้องอร่อยขึ้นเป็แน่”
เมื่อหลี่อี้เห็นเด็กสาวตอบตกลงก็ดีใจ ยิ่งเห็นนางพูดเช่นนี้เขาจึงอดหัวเราะอย่างยินดีไม่ได้ “เช่นนั้นข้าขอน้อมรับพรวิเศษจากเ้าไว้แล้วกัน”
หลินฟู่อินยิ้มรับโดยไม่กล่าวอะไร
หลี่อี้ให้หลินฟู่อินรออยู่ที่บ้าน ส่วนตัวเขากลับโรงหมอสกุลหลี่เพื่อไปเอารถม้ามารับนางอีกที
สกุลหลี่มีรถม้าสองคัน หนึ่งคันสำหรับหลี่ฮูหยิน อีกหนึ่งคันสำหรับหมอหลี่
รถม้าของหลี่ฮูหยินพานางไปชิงเหลียน หลี่อี้จึงใช้รถม้าของหมอหลี่
หลินฟู่อินคุ้นเคยกับรถม้าของหมอหลี่เป็อย่างดี “พี่หลี่อี้ ท่านนำรถม้าของท่านหมอหลี่มาเช่นนี้ แล้วท่านหมอจะเดินทางไปโรงหมออย่างไรเล่า”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองรถม้าที่กำลังมาถึงก่อนยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์ออกไปกับท่านลุงตอนนี้ ท่านไปกับรถม้าของท่านลุง”
เด็กสาวพยักหน้ารับพร้อมคิดในใจว่าสกุลหลี่มากด้วยเมตตาและน้ำใจ บ้านเก่าของท่านหมอนั้นยินดีให้ที่พำนักพักพิงแก่แเื่เสมอขณะเ้าตัวไปเยือนเมืองชิงหยาง น่าชื่นชมยิ่งนัก
หลี่อี้ประคองหลินฟู่อินขึ้นรถม้าพร้อมบอกให้คนขับมุ่งหน้าไปยังหอพระจันทร์
บนรถม้า หลี่อี้ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะหันไปพูดกับหลินฟู่อินว่า “ฟู่อิน ข้าเกรงว่าเ้าจะรู้แล้วว่าข้านั้นสกุลหลี่”
ชายหนุ่มเปิดใจพูดตรงๆ ทำให้หลินฟู่อินหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ยังสงวนท่าทีด้วยการพยักหน้าเป็คำตอบ “ข้าพอจะเดาได้ แต่เมื่อพี่หลี่ไม่พูดข้าก็ไม่คิดจะถาม”
หลี่อี้ชะงัก เขาคิดอยู่แล้วว่าเด็กสาวฉลาดเฉลียวเช่นหลินฟู่อินคงเดาได้ไม่อยาก พลันใบหน้าหล่อเหลาก็แดงระเรื่อ
หลินฟู่อินรู้ดีว่าหลี่อี้หาเวลาว่างวันนี้เพื่อมาบอกนางเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา ใจหนึ่งนางรู้ว่าควรระมัดระวังตัว หากแต่ใจหนึ่งค้านเอาไว้ว่าไม่จำเป็
สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของหลี่อี้ที่แสดงให้เห็นว่านางสำคัญกับเขามากเพียงใด
“ฟู่อิน ข้าคือบุตรชายคนโตของบ้านสกุลหลี่ ทั้งยังเป็หลานชายคนแรก ท่านปู่จึงตั้งชื่อให้ว่าหลี่อี้” ชายหนุ่มมองไปยังหลินฟู่อินด้วยดวงตาเป็ประกาย
หลินฟู่อินรู้เพียงว่าเขาเป็ทายาทสกุลหลี่ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีศักดิ์เป็ถึงบุตรชายคนโตของตระกูล รู้เช่นนี้แล้วลองคิดดูอีกครั้ง ใบหน้าของหลี่อี้และหมอหลี่นั้นดูคล้ายคลึงกันพอสมควร
“แล้วเหตุใดท่านจึงมาที่เมืองชิงหยาง แล้วเรียกท่านหมอหลี่ว่าอาจารย์เล่า?” เด็กสาวถามอย่างสงสัย
ทันใดนั้นหลินฟู่อินก็นึกขึ้นได้ว่าตนถามเกี่ยวกับเื่ส่วนตัวของอีกฝ่ายมากเกินไป เด็กสาวหัวเราะแก้เก้อก่อนพูดว่า “หากพี่หลี่อี้ไม่สะดวกใจ ท่านไม่จำเป็ต้องเล่าก็ได้เ้าค่ะ”
หลี่อี้ส่ายหัว เขาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
“ที่จริงแล้วข้าหนีออกจากตระกูลหลี่เอง” ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อหวนนึกถึงเื่เหลวไหลเมื่อสองสามปีก่อนที่เขาไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรแล้ว
“ข้าอายุเพียงสิบห้าในปีนั้น แต่ท่านปู่กลับจับข้าดูตัวพร้อมหมั้นหมายให้เรียบร้อย หญิงสาวนางนั้นคือบุตรสาวสกุลจาง ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงที่สกุลหลี่ของข้ามีความสัมพันธ์ปรองดองกันมานานหลายปี…” หลี่อี้ถอนหายใจให้กับอดีตที่ผ่านมาของเขา
ตระกูลจางแห่งทะเลสาบซีไห่มีชื่อเสียงในใต้หล้ายิ่งกว่าสกุลหลี่ ซ้ำยังสืบทอดวิชาแพทย์ในสำนักจากรุ่นสู่รุ่น และยังควบกิจการเปิดโรงหมอไท่จื่อ นับว่าก้าวหน้ากว่าสกุลหลี่หลาย่ตัวนัก
ในปีที่หลี่อี้อายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ หลานชายของตระกูลจางมีบุตรสาวคนรองนามว่าเหนียนฟาง อายุสิบสี่ปี นางคือเด็กสาวที่ติดตามฮูหยินจางไปยังจวนสกุลหลี่แล้วตกหลุมรักหลานชายคนโตของอีกฝั่งเข้าอย่างจัง
ด้านหลี่ฮูหยินและจางฮูหยินนั้นสนิทสนมกลมเกลียว บุตรสาวคนที่สองแห่งสกุลจางเองก็เป็ที่ถูกอกถูกใจของท่านปู่ จึงพูดกันเล่นๆ ว่าจะไปสู่ขอเด็กสาวเข้าบ้านสกุลหลี่ในฐานะลูกสะใภ้คนโปรด
หลี่ฮูหยินและจางฮูหยินตกตะลึงไม่ต่างกัน
แต่เมื่อมองไปยังเด็กทั้งสอง พวกเขากลับอยากให้เื่น่ายินดีนี้เกิดขึ้นจริง ซ้ำยังเห็นด้วยอีกว่าหากสกุลจางและสกุลหลี่มีทายาทแต่งงานเกี่ยวดองกันคงดีไม่น้อย
หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดมานาน ชายชราแห่งสกุลหลี่จึงไปหารือกับสกุลจางด้วยตัวเอง ผู้ใหญ่ฝั่งสกุลจางก็เห็นพ้องด้วยอย่างดี ก่อเกิดเป็การตกลงกันเองแบบลับๆ
หลังกลับจากเรียนต่อที่ต่างแคว้น หลี่อี้รับรู้ว่าท่านปู่ของเขาเตรียมจับคลุมถุงชนให้เสร็จสรรพ เวลานั้นเขาเองยังเด็ก ในสายตาของเขาเหนียนฟางเป็ได้เพียงน้องสาว จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงผู้าุโสกุลหลี่ด้วยความเคารพ ก่อนเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วแอบหนีไปอาศัยอยู่ที่บ้านของหมอหลี่ในเมืองชิงหยาง
เผลอไม่นานก็ผ่านมาราวหกปีแล้ว
เท่ากับว่าหลี่อี้อายุย่างเข้ายี่สิบเอ็ดแล้วในปัจจุบัน
หลินฟู่อินมองชายหนุ่มอย่างตะลึงพลันคิดในใจว่า ภายนอกหลี่อี้ดูเป็บุรุษนิสัยอ่อนโยนและเป็บุตรที่ดีของบิดามารดา ใครจะล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาหัวขบถขนาดกล้าขัดความ้าของครอบครัวแล้วหนีออกจากบ้านเช่นนี้
นอกจากนี้เขายังดูเหมือนชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปด แต่กลายเป็ว่าอายุอานามก็เข้าปีที่ยี่สิบเอ็ดไปแล้ว…
บุรุษในแคว้นต้าเว่ยมักแต่งงานกันตอนอายุสิบแปด แต่หลี่อี้กลับสถานะเป็โสดในวัยเช่นนี้
“พี่หลี่อี้ ท่านไม่ถูกสตรีผู้นั้นตำหนิเอาหรือ?”
หลินฟู่อินสงสัย นางไม่ใช่คนช่างคุยหรืออยากรู้อยากเห็น แต่อยากรู้ว่าบุตรสาวคนรองแห่งสกุลจางเป็อย่างไรต่อไป
หลี่อี้เหลือบมองเด็กสาวข้างกาย เห็นเพียงความสงสัยในแววตาของนางไม่แฝงอะไรอื่น ความผิดหวังพลันปรากฏในดวงตาคมของเขา
ใบหน้าหล่อเหลาส่ายอย่างรวดเร็ว “บุตรสาวสกุลจางมีนิสัยตรงไปตรงมา หลังได้รับจดหมาย ได้รู้ความรู้สึกของข้า นางก็ไม่คิดติดใจอะไร ทั้งยังกลับมาเที่ยวเล่นที่บ้านของข้าเหมือนเคย จากนั้นนางได้พบรักและแต่งงานเข้าสกุลใหญ่แห่งไห่ไห่ นางมีความสุขดีแล้วตอนนี้”
ตามที่ได้ยินหลี่อี้เล่ามา การแต่งงานระหว่างสกุลหลี่และสกุลจางเกิดจากการตกลงกันเองระหว่างผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลเท่านั้น จึงไม่มีผลกระทบสักเท่าไร
อีกอย่างคือโชคดีที่เหนียนฟางเป็สตรีนิสัยดี ไม่คิดเล็กคิดน้อย นางไม่เคยถือโทษโกรธหลี่อี้ ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม
นิสัยของหลี่อี้คล้ายกับหมอหลี่มากกว่าผู้เป็ปู่แท้ๆ อาจเป็เพราะอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานานหลายปี ความสัมพันธ์ปู่หลานเองก็ชะงักตามไปด้วย
ส่วนหลินฟู่อินคิดว่าปัญหาระหว่างปู่หลานอาจจบลงไปแล้ว หรืออาจได้พูดคุยทำความเข้าใจกันและกันเรียบร้อย แต่หลี่อี้ยังอยู่ชิงหยางด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
หลินฟู่อินคิดว่าหลี่อี้จะไม่พูดเื่นี้จนกว่าจะไปถึงหอพระจันทร์ แต่เขากลับเลือกคุยกับนางทันทีระหว่างเดินทาง
เช่นนั้นแล้วการที่ชายหนุ่มชวนนางไปดื่มชาอ่านหนังสือนั้น มีจุดประสงค์อย่างอื่นแฝงอยู่อีกหรือ?
หลินฟู่อินเหลือบมองชายหนุ่ม เห็นว่าเขายังคงสง่างามเช่นเคย แต่ก็อดสงสัยอยู่ลึกๆ ไม่ได้
แท้จริงแล้วหลี่อี้ผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นว่าหลินฟู่อินดูไม่ได้สนใจเื่ภูมิหลังและอดีตของเขาสักเท่าไร
นึกไปถึงจดหมายลายมือท่านปู่ที่ลุงแปดฝากมาให้ เขาแค่รู้สึกว่าหากเขาไม่สารภาพความในใจกับหลินฟู่อินในวันนี้ เกรงว่าเขาจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
หลี่อี้หลุบตาลงก่อนเหลือบมองหลินฟู่อินเงียบๆ นางยังเด็กและยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะดีจริงหรือหากเขาแก่กว่านางเช่นนี้?
แน่นอนว่าหลินฟู่อินไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร
นางใช้เวลาในชิงเหลียนร่วมสองสามวัน ร่างกายเหนื่อยล้าพอสมควร บัดนี้นางกลับมาชิงหยาง เห็นกิจการไปได้ดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก็หายเหนื่อย ถึงเวลาแล้วที่นางจะหาความสุขให้ตัวเอง เด็กสาวเห็นหลี่อี้ไม่พูดอะไรต่อ นางจึงคอยเปิดผ้าดูเป็ระยะๆ ว่าเดินทางถึงที่ใดกันแล้ว
เห็นได้ชัดว่านางทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัยเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาก
เมื่อเดินทางมาถึงหอพระจันทร์ที่ว่า หลี่อี้หยุดรถม้า เขาก้าวลงมาเป็คนแรกก่อนหันไปยื่นมือรอประคองเด็กสาวที่มาด้วยกัน
หลินฟู่อินไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย นางก้าวลงตามมาหลังจากจับแขนของชายหนุ่มเอาไว้
ทันทีที่ทั้งสองลงจากรถม้า เด็กหนุ่มวัยประมาณสิบสามสิบสี่หน้าตาสะอาดสะอ้านก็รีบรุดเข้ามาคุยกับคนขับรถม้าแล้วเดินนำไปยังตรอกเล็กๆ
หลินฟู่อินมองตามด้วยความสงสัย
ราวกับอ่านใจออก หลี่อี้ยิ้มแล้วอธิบายว่า “เขาแค่นำทางให้รถม้าไปจอดพักที่ลานกว้างด้านหลัง เพราะด้านหน้าหอพระจันทร์แห่งนี้ไม่มีที่สำหรับจอดรถม้า”
หลินฟู่อินพยักหน้าเข้าใจ
ก็ดูไม่ต่างกับยุคปัจจุบันที่มีบริการจอดรถ
เพียงเท่านี้ก็การันตีแล้วว่าการบริการของหอพระจันทร์คืออีกหนึ่งจุดแข็งของที่นี่
หลี่อี้เดินนำหลินฟู่อินเข้าหอพระจันทร์ ครั้นยังไม่ทันก้าวเข้าไปเด็กสาวก็ได้ยินเสียงผู้คนจอแจเต็มไปด้วยความสุข บ้างก็ปรบมือ บ้างก็ส่งเสียงโห่ร้อง บ้างก็หัวเราะ ส่วนบางคนะโสั่งชาและผลไม้
ช่างมีชีวิตชีวาเสียจนหลินฟู่อินรู้สึกราวกับอยู่ในความฝันนับพันปี
หอพระจันทร์มีไว้สำหรับดื่มชาและอ่านหนังสือโดยเฉพาะ ทั้งโอ่อ่า ทั้งงดงาม มีพื้นที่ให้ผ่อนคลายได้อย่างอิสระ
เวที โรงงิ้ว ศาลเ้า และอัฒจันทร์ตั้งรวมอยู่ในเวิ้งกว้างชั้นล่างโดยเชื่อมติดกันด้วยไม้แกะสลักลายโบราณ ลวดลายตามราวบันไดเองก็งดงามน่ามอง กล่าวคือหอพระจันทร์เป็อาคารสามชั้นทรงแปดเหลี่ยมที่มีการตบแต่งด้วยศิลปะที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน
โต๊ะเก้าอี้ในหอพระจันทร์ออกแบบอย่างหรูหรา ของซื้อของขายเองก็ดูดีมีระดับไม่น้อย
หลินฟู่อินและหลี่อี้มีเสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับพาไปยังมุมเล็กๆ ที่ชั้นสามของหอพระจันทร์ ซึ่งเป็ที่ที่หลี่อี้จองเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้
โต๊ะที่จองไว้ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งเป็แถวอยู่ตรงกลางโดยมีม้านั่งตั้งไว้เคียงคู่ บริเวณนี้มีแขกไม่กี่คนนั่งอ่านหนังสือดื่มชากันอย่างสบายใจ
ผู้มีสถานะสูงส่งเช่นหลี่อี้รวมถึงคนที่บ้านมีฐานะมักจะจองเป็มุมห้องเล็กๆ เอาไว้เช่นนี้
หลินฟู่อินทิ้งตัวนั่งลงพร้อมยื่นใบหน้าสวยมองลงไปข้างล่าง
นางพบว่าพื้นที่ของหอพระจันทร์มีขนาดใหญ่มาก นางสังเกตว่ามีเวทีแสดงงิ้วมากถึงสามฝั่งด้วยกัน
ระหว่างมองสิ่งรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ อารมณ์ของหลินฟู่อินก็เริ่มสนุกไปด้วย
ทันใดนั้น นางได้ยินเสียงของชายร่างท้วมใหญ่สวมชุดผ้าลายจีนที่ลุกขึ้นยืนจากฝั่งโรงละครหุ่นเชิด ะโว่า “เสี่ยวเอ้อร์ ขอเมล็ดแตงโมทางนี้หน่อย หมดอีกแล้ว!”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับวาจาฉะฉาน “นายท่าน เมล็ดแตงโมหมดแล้ว มีแต่ถั่วลิสง ท่านจะรับหรือไม่ขอรับ?”
“งั้นก็เอาถั่วมาหนึ่งจาน!” ชายร่างใหญ่ะโ "ที่โรงงิ้วเมล็ดแตงโมก็หมดเช่นกัน แล้วถ้าถั่วหมดเ้าจะทำเช่นไร? หาขนมอย่างอื่นมาเติมเสียสิ!”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบกลับ “ขนมขบเคี้ยว ขนมอินทผาลัม ถังหูลู่ สาลี่อบกรอบ…”
“งั้นไปเลยไป นั่นมันขนมของพวกสตรี! คิดว่าบุรุษทั้งแท่งเช่นพวกข้าจะกินหรืออย่างไร?!” ชายผู้นั้นหัวเราะไปด่าไป เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างไม่น้อย
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ชายร่างใหญ่คนนี้พูดจะตรงใจของใครหลายคน ลูกค้าหลายคนเริ่มส่งเสียงบ่นตามว่าที่หอพระจันทร์แห่งนี้มีขนมบริการแขกน้อยเกินไป
เสียงบ่นก็แค่เสียงบ่น แต่การพลิกวิกฤติให้เป็โอกาสนี่สิของจริง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หลินฟู่อินก็ได้แต่นึกในใจ หอพระจันทร์แห่งนี้มีของกินขายน้อยอย่างที่ว่าจริงๆ
เหมือนเวลาไปเที่ยวคาราโอเกะ คนนิยมสั่งเครื่องดื่มกับขนมมากินคู่กัน หากนางทำขนมสุดพิเศษมาวางขายที่นี่คงได้กำไรไม่น้อย
หลินฟู่อินยิ้มมุมปาก หัวของนางคิดคำนวณอย่างว่องไว
อย่างแรกที่นางนึกถึงคือถั่วลิสงที่ถ่ายทอดวิธีการทำให้กับภัตตาคารหลิวจี้ นั่นคือรายการที่สามารถกินเป็ของว่างได้เช่นกัน
แต่เมื่อนางบอกเคล็ดลับให้กับภัตตาคารหลิวจี้จนเถ้าแก่หลิวมอบซองแดงเป็ค่าตอบแทนให้แล้ว นางควรเลี่ยงความคิดนั้นเสีย นางต้องเตือนเถ้าแก่หลิวว่าเขาสามารถทำกำไรจากภัตตาคารได้มากกว่า หากเถ้าแก่หลิวนำมาขายที่หอพระจันทร์อาจทำกำไรได้ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะแเื่ที่มาเยือนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีฐานะขนาดนั้น
แต่หากเถ้าแก่หลิวไม่สนใจการค้าขายนี้ นางก็สามารถใช้ถั่วลิสงทำเป็ขนมมาขายได้
อย่างพวกถั่วลิสงอบเกลือ ถั่วลิสงปรุงรส แล้วก็ถั่วลายเสือคลุกแป้งถั่ว
นางจำได้ว่านางมีถั่วปากอ้ากับถั่วลันเตาที่นางเพิ่งเก็บเกี่ยวมา รวมถึงถั่วเหลืองด้วย
ถั่วลันเตาเก็บได้น้อยลง แต่มีชาวบ้านบางคนมาพบหลินเฟินกับหลินฟางเพื่อขอทำงานเก็บถั่วลันเตา เพราะครอบครัวของพวกเขายากจนมาก จึงขอความช่วยเหลือจากสองพี่น้องหลิน
หลินฟางและหลินเฟินเป็คนจิตใจดี ชาวบ้านจึงได้ทำงานกันคนละไม้ละมือ
หลินฟู่อินไม่เคยคิดติดใจเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ในทางกลับกันนางคิดว่าพวกเขาทำถูกต้องแล้ว ดีกว่าเฉยเมยต่อเพืุ่์ด้วยกัน
ในตอนนั้นนางยังคิดไม่ออกว่าจะนำถั่วลันเตามาทำอะไรดี หลังจากเก็บเกี่ยวมาได้หลายร้อยจิน
แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าจะเปลี่ยนถั่วลันเตาให้กลายเป็เงินได้อย่างไร
ถั่วทอด!
ยิ่งพิถีพิถันทอดให้กรอบและหอม ก็เป็อาหารว่างชวนน้ำลายสอแล้ว
สำหรับถั่วเหลืองนั้น ตอนที่นางได้เดินทางไปเยือนเมืองโบราณในอดีต นางชอบกินหน่อไม้แห้งผัดถั่วเหลืองมากที่สุด หากนำถั่วเหลืองนี้มาผัดกับหน่อไม้แห้งแล้วขายก็คงดี
ในส่วนของถั่วปากอ้าตากแห้ง นางจะนำมาทำเป็ถั่วปากอ้าทอดหรือถั่วปากอ้าปรุงรส แต่ก็ต้องไม่ลืมแบ่งเก็บไว้เพื่อใช้ทำถั่วปากอ้าสด
อย่าได้รอช้า นางต้องรีบส่งคนไปเก็บและตากถั่วเอาไว้เลยตอนนี้!
ยิ่งหลินฟู่อินตื่นเต้นมากขึ้นเท่าไร นางก็ยิ่งตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
“ฟู่อิน ปรมาจารย์กังฟูกับชาร้อนๆ มาแล้ว” หลี่อี้เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองลงไปยังชั้นล่าง จึงส่งเสียงเรียกเด็กสาวเสียงดัง
หลินฟู่อินกลับมาได้สติแล้วหันกลับมาดูการแสดงกังฟูพร้อมจิบชาหอมกรุ่นไปด้วย
หลังการแสดงจบ ปรมาจารย์กังฟูก็เดินมาขอชนแก้วน้ำชา หลินฟู่อินยิ้มรับอย่างยินดี ก่อนจะยื่นเงินให้ลูกศิษย์ของปรมาจารย์กังฟูซึ่งเป็เด็กน้อยวัยราวๆ สิบขวบเท่านั้น ทว่าหน้าตาดูฉลาดเฉลียวไม่เบา
เด็กน้อยยกมือขอบคุณหลินฟู่อินและหลี่อี้ จากนั้นก็รีบวิ่งติดตามอาจารย์ของตนไปหาแขกโต๊ะอื่นอย่างมีความสุข
หลินฟู่อินหุบยิ้มไม่ได้
“มีความสุขมากใช่หรือไม่? เ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นหรือ?” หลี่อี้เอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวสนใจอะไรบางอย่างที่ชั้นล่างก่อนหน้านี้
หลินฟู่อินบอกวิธีหาเงินที่คิดไว้ให้ชายหนุ่มฟัง
แม้หลี่อี้จะรู้สึกนับถือและชื่นชมที่หลินฟู่อินมีสายตาเฉียบคมในเื่ทำมาหากิน แต่อีกใจหนึ่งเขาก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าคงจะดีกว่าหากครอบครัวของนางไม่ทำงานหนักมากเกินไป
โลกนี้ช่างอยู่ยาก ลำพังเป็บุรุษก็ทำมาค้าขายยากอยู่แล้ว อย่าว่าแต่สตรีตัวเล็กๆ คนเดียวเลย
ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วขณะพยายามโน้มน้าวใจเด็กสาว “ฟู่อิน ข้ารู้ว่าเ้าฉลาดนัก การค้าขายของเ้าเองก็ไปได้สวย แต่เ้าฟังข้าสักครั้ง เ้ายังสาวและเด็กนัก อีกสักสองสามปีค่อยทำงานหนักก็ไม่สาย” หลี่อี้มองหน้าหลินฟู่อินด้วยสายตาจริงจัง
หลี่อี้โล่งใจเมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่มีอาการขุ่นเคืองอะไร ชายหนุ่มยิ้มอย่างสดใสและพูดว่า “ตัวข้าคิดว่าเ้าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เก่งกาจเื่นรีเวช โดยเฉพาะการผดุงครรภ์ ข้าคิดว่าเ้ามุ่งมั่นจัดการด้านนี้ย่อมดีกว่า”
อาจเป็หลี่อี้ที่เห็นแก่ตัว
แม้เขาจะเป็คนใจกว้าง แต่อีกแง่หนึ่งเขาก็ไม่อยากให้สตรีทำงานหนัก หากต้องเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจยิ่งมิใช่เื่ดี
อีกใจหนึ่งเขารู้ดีว่าหลินฟู่อินไม่ใช่สตรีทั่วไป หากนางเติบโตพร้อมแต่งเข้าเรือน นางไม่จำเป็ต้องพึ่งพาสามีเลยด้วยซ้ำ
การแนะนำให้มุ่งไปทางวิชาแพทย์โดยเฉพาะ เป็ทางเลือกที่เขาสามารถเอาตัวเองเข้าไปช่วยได้ ทั้งยังเป็งานที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับกิจการครอบครัวสกุลหลี่อีกด้วย
หลินฟู่อินฟังหลี่อี้อย่างตั้งใจด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดส่ายหน้าปฏิเสธไม่ได้ “พี่หลี่อี้ ท่านไม่เข้าใจข้า ตอนนี้ข้ามีโอกาสหาเงิน เปิดกิจการ เปิดไร่สวนอีกมากมายที่ข้าสามารถทำได้”
รากฐานทางเศรษฐกิจเป็ตัวกำหนดโครงสร้างส่วนบน นางเข้าใจหลักการนี้ดี เพราะฉะนั้นเป็ไปไม่ได้เลยที่นางจะหยุดหาเงินเข้ากระเป๋าทันที
หลี่อี้ตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว
ใช่แล้ว เขาไม่รู้จักนางดีพอ
“เงินทองมิได้หาง่าย เ้าคือลูกสาวของครอบครัว มันจะหนักหนาเกินไป เ้าค่อยคิดเื่นี้ในภายหลังได้หรือไม่?”
หลินฟู่อินถามหลี่อี้กลับด้วยรอยยิ้มบาง “ยิ่งมีเงินมากเท่าไร ข้ายิ่งมีอนาคตมากเท่านั้น ข้าไม่เข้าใจว่าอนาคตที่พี่หลี่อี้กล่าวนั้นหมายความว่าอย่างไร”
หลี่อี้จ้องเข้าไปในดวงตาของเด็กสาวอย่างจริงจัง แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปว่าอย่างไร
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ทำเื่คล้ายคนเสียสติ ด้วยการเอื้อมมือไปกุมมือเด็กสาวที่จับถ้วยชาเอาไว้อีกที
หลินฟู่อินมองหลี่อี้ที่จับมือด้วยเองเงียบๆ คิ้วสวยขมวดแน่น ก่อนมือเรียวจะวางถ้วยชาในมือลงให้หลุดจากสองมือของหลี่อี้ นางจับแก้มทั้งสองข้างก่อนถามด้วยสีหน้าที่สลดลงเล็กน้อย “พี่หลี่อี้ ท่านมีอะไรจะบอกข้าหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้