วันรุ่งขึ้น ฝนยังคงตกและอากาศเย็นกว่าปกติมาก
กู้เจิงกับชุนหงตื่นแต่เช้าก่อนคนอื่นๆ ตอนที่สองสามีภรรยาเสิ่นเดินออกมาจากห้องนอน พวกนางก็เริ่มนวดแป้งเพื่อททำก๋วยเตี๋ยวกันแล้ว
“ท่านแม่ ท่านป้าสามเอาเต้าหู้มาให้ั้แ่เมื่อเช้าตรู่ นางบอกว่าให้ใช้เต้าหู้ผัดกับปลาที่จับมาเมื่อวานเ้าค่ะ” กู้เจิงชี้ไปที่เต้าหู้ก้อนใหญ่บนเตา
“ข้ายังไม่ได้ล้างปลาเลย” นายท่านเสิ่นตบต้นขา “เมื่อวานกลับมาข้าก็ทิ้งไว้ที่ข้างบ่อน้ำแล้วใช้ฟางคลุม ไม่รู้ว่าจะถูกแมวขโมยกินไปหรือยัง” เขารีบวิ่งออกจากห้องครัวไปดู
นายหญิงเสิ่นตามออกไปดู เมื่อเห็นเขาหิ้วปลาออกมาจากข้างบ่อน้ำอย่างโล่งใจ นางจึงกลับเข้ามาในห้องครัวเพื่อช่วยกู้เจิงนวดแป้ง
“ขอบคุณท่านแม่เ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มหวานให้นายหญิงเสิ่น
“พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องเกรงใจกันอีก” นายหญิงเสิ่นโรยเกลือใส่แป้งพลางพูดว่า “พรุ่งนี้จะเป็วันหยวนเซียวแล้ว หลังจากวันหยวนเซียวพวกเ้าก็จะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ เดี๋ยวข้าจะให้เ้าดูอะไร วันหน้าเ้าก็ต้องทำเอาไว้บ้าง”
(*เป็คืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี หรือก็คือหลังเทศกาลตรุษจีน)
กู้เจิงทำหน้าสงสัย นางต้องทำอะไร?
ก๋วยเตี๋ยวในวันนี้อร่อยเป็พิเศษ ทุกครั้งที่ทำก๋วยเตี๋ยวแบบนี้ กู้เจิงจะกินได้มากเป็พิเศษ
“วันนี้นวดแป้งกำลังดีเลย” นายท่านเสิ่นกินไปชมไป “กัดเข้าไปแล้วนุ่มยืดดี”
“่แรกๆ บ่าวเป็คนนวดเองเ้าค่ะ” ชุนหงรีบอวด “คุณหนูอยากจะนวด แต่แรงไม่ค่อยถึง”
“ดูท่าทางภูมิใจของเ้าสิ” กู้เจิงจิ้มหน้าผากชุนหงอย่างหมั่นไส้
ชุงหงทำหน้าทะเล้นใส่
สองสามีภรรยาเสิ่นมองกู้เจิงกับชุนหงหยอกล้อกันอย่างขบขัน
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ สองสามีภรรยาเสิ่นก็เริ่มตุ๋นหัวปลากับเต้าหู้ ตอนกู้เจิงเห็นหัวปลาที่ใหญ่เท่าหม้อก็ร้องอุทานไม่หยุด เพราะเป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นหัวปลาใหญ่ขนาดนี้
ทุกคนทำงานไปจนถึงเที่ยง นายหญิงเสิ่นถึงได้มอบของที่บอกว่าจะให้กู้เจิงเมื่อเช้า ของที่นางให้เป็สมุดเล่มหนึ่ง ที่เขียนเื่ราวทุกอย่างไว้อย่างชัดเจน
“นี่เป็สมุดเล่มที่ห้าของข้าหลังจากแต่งเข้าตระกูลเสิ่น” นายหญิงเสิ่นยิ้มพลางมองลูกสะใภ้ที่มีสีหน้างุนงง“เมื่อเ้าต้องเริ่มดูแลบ้าน สิ่งเหล่านี้เ้าควรจะต้องหัดทำ เ้าควรจะต้องจดทุกอย่างเอาไว้ อย่างเช่นในตอนที่เ้าแต่งงาน เ้าได้ใช้เงินไปเท่าไหร่ แล้วคนอื่นให้มาอีกเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ต้องจดไว้”
กู้เจิงพลิกดูทีละหน้า แต่ละหน้าทำเอานางตะลึงงัน ลายมือแม่สามีประณีตเรียบร้อยมาก “ท่านแม่ ท่านจดไว้ทุกอย่างเลยหรือเ้าคะ?”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่จดเราก็จะลืมได้ง่าย”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้
“ข้าเข้าใจเ้าค่ะ หลังจากย้ายไป ข้าจะจดทุกอย่างเหมือนกับท่านแม่” กู้เจิงไม่ใช่คนที่รอบคอบถี่ถ้วนนัก แม่สามีสอนนางในเื่เช่นนี้ นางก็เห็นดีด้วยที่จะทำตาม
อาหารมื้อกลางวันเป็หน้าที่ของนายท่านเสิ่น เขาเอาปลาอีกตัวออกมาทอด เมื่อทอดปลาเสร็จเรียบร้อย กู้เจิงถึงได้รู้ว่าที่แท้พ่อสามีก็มีฝีมือการทำอาหารเช่นกัน
ตอนเที่ยงทั้งครอบครัวกินปลาไปเพียงครึ่งตัว อีกครึ่งตัวที่เหลือทุกคนรอให้เสิ่นเยี่ยนกลับมากินด้วยกันในตอนเย็น
ฝนตกหนักขึ้นใน่บ่าย และอากาศก็เริ่มเย็นขึ้น
นายท่านเสิ่นออกไปข้างนอกในตอนบ่าย ส่วนพวกผู้หญิงเมื่อไม่มีงานต้องทำแล้ว ทั้งหมดจึงจุดเตาไฟในห้อง และนายหญิงเสิ่นก็เริ่มสอนกู้เจิงปักลายผ้าสองหน้า*
(*คือการปักลายด้วยโครงร่างเหมือนกัน ปักบนวัสดุชิ้นเดียวกัน แต่ลวดลายทั้งสองด้านอาจต่างกัน)
กู้เจิงชอบงานเย็บปักถักร้อยเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว แต่นางไม่ได้มีความอดทนมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อนางพบว่าตัวเองทำได้และก็ทำได้ดีมาก นางก็ตกหลุมรักการเย็บปักผ้าโดยไม่รู้ตัว
“สวยจริงๆ” กู้เจิงมองดอกโบตั๋นที่ตนเองปักตามคำสอนของแม่สามี นางถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ท่านแม่ ใครสอนการปักลายสองหน้านี้ให้ท่านหรือเ้าคะ?”
“ท่านแม่ข้า หรือก็คือท่านยายของพวกเ้า นางเป็หญิงปักผ้า” นายหญิงเสิ่นพูดยิ้มๆ จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อว่า “น่าเสียดาย ที่นางเสียไปตอนข้าอายุได้แค่สิบขวบ”
กู้เจิงไม่คิดจะต่อบทสนทนา อย่างไรเสียแม่สามีก็เคยบอกนางว่าไม่อยากพูดถึงเื่ในอดีต แต่ชุนหงกลับถามขึ้นว่า “ท่านป้าเสิ่น ถ้าท่านเสียแม่ไปั้แ่ยังเด็กขนาดนั้น แล้วท่านโตมาได้ยังไงกันเ้าคะ?”
กู้เจิงแอบใช้เท้าสะกิดชุนหง
ชุนหงทำหน้างง
นายหญิงเสิ่นเห็นการกระทำของลูกสะใภ้ นางยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็ไร พ่อของข้าก็เสียไปั้แ่ยังเด็ก หลังจากแม่เสียไป ข้าก็อาศัยงานฝีมือในการดำรงชีวิต ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไร”
“ท่านป้าเก่งมากจริงๆ เ้าค่ะ” ชุนหงรู้สึกได้ว่าชีวิตของท่านป้าเสิ่นไม่ได้ผ่านมาง่ายๆ เลย “เช่นนั้นข้าก็จะตั้งใจเรียนงานเย็บปักถักร้อยให้ดีเ้าค่ะ หากวันใดคุณหนูไม่้าข้าแล้ว ข้าจะใช้มันเลี้ยงตัวเองเหมือนกัน”
“เ้าวางใจเถอะ ทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่ทอดทิ้งเ้าแน่ๆ” กู้เจิงหยิกแก้มกลมของชุนหง หางตาของนางเหลือบไปเห็นแม่สามีมองชุนหงอย่างตกตะลึง นางจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านแม่ เป็อะไรเ้าคะ?”
“เมื่อนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งเคยพูดประโยคนี้กับข้า นางบอกว่า นางอยากจะตั้งใจเรียนงานปักลายผ้าสองหน้ากับข้า ต่อไปถ้าข้าไม่้านางแล้ว นางจะได้อาศัยการขายงานปักผ้าหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง” นายหญิงเสิ่นนึกถึงอดีตอันน่าเศร้า
“แล้วหลังจากนั้นล่ะเ้าคะ?” ชุนหงถาม
“หลังจากนั้นหรือ หลังจากนั้นนางก็ไล่ข้าไป” นายหญิงเสิ่นตอบ เื่เหล่านี้เป็สิ่งที่นางไม่อยากเอ่ยถึง แต่เมื่อลูกสะใภ้กับชุนหงพูดขึ้นมา การที่นางระบายออกไปบ้าง ความหวาดกลัวและความเ็ปในใจก็ดูเหมือนจะลดลงไปบ้าง
“เกินไปแล้ว” ชุนหงพูดอย่างโมโห “ทำไมนางถึงต้องไล่ท่านป้าด้วยเ้าคะ?”
คนที่ท่านแม่พูดถึงนี่น่าจะเป็น้องสาวของนางกระมัง? กู้เจิงครุ่นคิด
นายหญิงเสิ่นยิ้ม “ไม่พูดเื่พวกนี้แล้ว ข้าจะสอนวิธีปักลายสองหน้าอีกแบบหนึ่งให้”
“เ้าค่ะ”
ตอนมื้อค่ำ เสิ่นเยี่ยนไม่ได้กลับมากินข้าว ทั้งครอบครัวรอจนดึกดื่น กระทั่งหิวจัดถึงได้กินข้าวกันโดยไม่รอเขาอีก
ยิ่งดึกฝนที่ตกลงมาก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าในคืนนี้มืดมิดไร้แสงสว่าง
“คุณหนูข้าว่าฝนต้องตกไปทั้งคืนแน่เ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวต่อว่า “ท่านกับท่านบุตรเขยได้รับเชิญจากองค์หญิงสิบเอ็ดให้ไปฉลองงานเทศกาลโคมไฟที่อุทยานหลวง แต่อากาศเช่นนี้คงหมดสนุกกันแน่เ้าค่ะ”
“ถึงไม่สนุกก็ยังต้องไป เพราะเป็คำเชิญขององค์หญิง” กู้เจิงยังนั่งปักผ้าตามที่แม่สามีสอนอยู่
“ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปักเป็ยังไงบ้าง?” กู้เจิงเอาผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งปักเสร็จชูตรงหน้าชุนหง
ชุนหงอุทานอย่างชื่นชม “ลูกสุนัขที่ท่านปักน่ารักจริงๆ คุณหนูเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือเ้าคะ?” นางถามขึ้นอีกอย่างสงสัยว่า “คุณหนู ทำไมท่านถึงปักลูกสุนัขบนผ้าเช็ดหน้าล่ะเ้าคะ?”
“ไม่สวยหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่สวยหรอกเ้าค่ะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะปักลายดอกไม้หรือไม่ก็ชื่อของตัวเองลงบนผ้าเช็ดหน้า ไม่มีใครปักลายสุนัขกันหรอกเ้าค่ะ”
“ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าใช้เอง ข้าชอบอะไรก็จะปักอย่างนั้น”
พอพูดแบบนี้ ชุนหงคิดไปคิดมาก็นึกไม่ออกว่าคุณหนูไปชอบลูกสุนัขั้แ่เมื่อไหร่กัน
หลังจากชุนหงไปนอนแล้ว กู้เจิงยังอยากจะรอให้เสิ่นเยี่ยนกลับมาก่อนค่อยนอน แต่รออยู่นานเขาก็ไม่กลับมาสักที จนนางเริ่มง่วงเลยคิดจะไปนอนก่อน ก่อนนอนนางพลันคิดได้ว่าถ้าเป็เมื่อก่อน คืนไหนที่เขาจะกลับดึกจะต้องส่งคนมาแจ้งทุกครั้ง แต่ทว่าเหตุใดวันนี้ถึงไม่มีเล่า
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อาการง่วงนอนของกู้เจิงก็มลายหายไป นางลุกขึ้นนั่งพลางพึมพำว่า “คงไม่ได้เกิดเื่อะไรขึ้นกระมัง?” ยิ่งคิดนางก็ยิ่งตาสว่าง จึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
ด้านนอกฝนยังตกหนักอยู่ คืนนี้เป็ค่ำคืนอันเงียบสงัด นางได้ยินเพียงเสียงฝนตกลงสู่พื้นเท่านั้น
ภายในห้องของสองสามีภรรยาเสิ่น แสงเทียนอ่อนๆ ยังคงสว่างวาบ ทั้งคู่ก็คงกำลังรอให้เสิ่นเยี่ยนกลับมาบ้านเช่นเดียวกับกู้เจิง
กู้เจิงนั่งมองสายฝนอยู่นาน ก็ลุกไปปิดหน้าต่างและกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง นางนั่งซุกตัวในผ้าห่มรอสามีกลับมา และเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ นางเหมือนได้ยินเสียงเปิดประตู นางใตื่นขึ้นมา แสงเทียนในห้องดับไปแล้ว ในความมืดสลัวมีบุรุษสวมชุดดำยืนอยู่
กู้เจิงเบิกตากว้างกำลังจะกรีดร้อง เสียงทุ้มต่ำของเสิ่นเยี่ยนก็ดังขึ้น “ข้าเอง”
เสียงกรีดร้องถูกกลืนกลับไป “ท่านพี่?” นางรีบลุกขึ้นและจุดเทียน
เสิ่นเยี่ยนเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังเตียงก่อนออกมา เขาเห็นภรรยากำลังเบิกตากว้างมองดูชุดดำที่เขาเปลี่ยนอย่างสงสัย
“ท่านไปทำอะไรมาเ้าคะ?” กู้เจิงเต็มไปด้วยคำถาม
“ข้าไปสำรวจจวนเสี่ยนอ๋องมา” คำตอบของเขาราวกับกำลังพูดคุยเื่ทั่วไป