เมื่อเห็นคนจากสองข้างทางต่างมองตนเองด้วยความสงสัย โม่เสวี่ยิ่ก็เห็นท่าไม่ดีแล้ว มือบีบผ้าเช็ดหน้า หัวใจเต้นแรงผิดปรกติ ทว่าทำได้เพียงยืนมองการเคลื่อนไหวของบ่าวเ่าั้
บ่าวหญิงาุโทั้งสองท่าทางคล่องแคล่ว พวกนางขึ้นไปบนรถจับชายผ้าม่านแล้วกระชากออกอย่างแรง ในที่สุดม่านบังตาสีน้ำเงินก็ปลิวร่วงลงมากองที่พื้น
ชาวบ้านต่างจ้องมองตาโต ภายในรถมีแต่ความว่างเปล่า เสียงฮือฮาดังขึ้นเบาๆ ภายในใช่มีของรกรุงรังเสียที่ไหน มีแต่รถโล่งๆ ไม่มีอะไรเลยต่างหาก
"ข้าเดินทางไกลมาจากอวิ๋นเฉิง ต้องให้สาวใช้กับมามานั่งเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน แต่กลับปล่อยให้รถอีกคันว่างเปล่าอยู่หลังสุด พี่หญิงใหญ่คิดว่าข้าโง่งมนักใช่หรือไม่" โม่เสวี่ยถงรอคอยละครฉากนี้มาโดยตลอด จึงกล่าวด้วยความคับแค้นใจ "หรือพี่หญิงใหญ่คิดว่าข้าเข้าเมืองหลวงมาครานี้ ก็เพราะมีเจตนามาทำร้ายคน ก่อเื่สร้างปัญหาเป็การเฉพาะ ดังนั้นพอมาถึงยังไม่ทันเห็นอย่างแจ่มชัดว่าอะไรเป็อะไรก็ชี้ว่าเป็ความผิดของข้าผู้เป็น้องสาวแล้ว"
รูปการณ์แบบนี้ยังจะมีอะไรไม่ชัดเจนอีกเล่า เห็นอยู่แจ่มชัดว่าคนบังคับรถมีเจตนาให้ร้ายคุณหนูสามสกุลโม่ผู้นี้
นอกจากนี้การกระทำของคุณหนูใหญ่ก็ดูไม่ปรกติ เหล่าคุณหนูที่อยู่ในรถคันอื่นๆ ที่เงี่ยหูฟังต่างนิ่งใคร่ครวญถึงเบื้องลึก
ผู้คนในที่นั้นไม่กล่าวโทษโม่เสวี่ยถงอีก ในทางกลับกันสายตาทุกคู่พุ่งมาทางโม่เสวี่ยิ่ ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
โม่เสวี่ยิ่เองยังมองดูรถที่ว่างเปล่าอย่างไม่อยากเชื่อ ภายในใจก่นด่าฟางอี๋เหนียงว่าโง่งมนัก แทนที่จะใส่หีบอะไรก็ได้เข้าไปสักสองสามใบ โยนข้าวของให้ดูรกรุงรังสักหน่อย กลับปล่อยให้รถว่างเปล่าเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับเป็การเผยพิรุธออกมาให้คนเห็นอย่างชัดเจนหรอกหรือ
"น้องสาม..." สีหน้าของโม่เสวี่ยิ่เผยความอับอายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองปฏิกิริยาของผู้คนแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดจะพูดแก้ต่าง
"เฉินมามา กฎหมายในเมืองหลวงเป็อย่างไรบ้าง ที่เมืองอวิ๋นเฉิง หากเกิดเหตุการณ์สร้างเื่หลอกลวงประชาชนในที่สาธารณะ ทำลายชื่อเสียงของธิดาขุนนางให้ได้รับความเสียหาย จะต้องถูกยึดทรัพย์สินเข้าหลวง รับโทษโบยห้าสิบไม้" โม่หลันหันมากะพริบตาถี่ๆ กับเฉินมามา แล้วลั่นวาจาเอ่ยถาม
ชายชราผู้ถูกรถม้าชนยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าลนลานขึ้นมาโดยพลัน ดวงตากลอกกลิ้งไปสองรอบ มองซ้ายมองขวาสำรวจทางหนีทีไล่
เฉินมามาตระหนักรู้ในทันที แล้วก็ตอบคำถามเสียงดังกลับไปเช่นเดียวกัน "กฎหมายในเมืองหลวงย่อมยิ่งเคร่งครัดกว่าเมืองอวิ๋นเฉิง ใต้เบื้องยุคลบาทของโอรส์ ยังกล้าสร้างเื่หลอกลวงต่อหน้าผู้คนเยี่ยงนี้ โทษโบยแค่ห้าสิบไม้ไม่พอ ยังต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยการทำ 'ฝู่สิง' ทั้งเด็กและคนแก่ภายในบ้านจะต้องตกไปเป็ทาสรับใช้ผู้อื่น ไม่อาจเงยหน้าอ้าปากได้อีกเลย"
‘ฝู่สิง’ ของต้าฉินก็คือการสักอักษรบนใบหน้า หากใบหน้าของผู้ใดมีตัวอักษรถูกสักไว้ ก็เท่ากับเป็การประจานความผิดชั่วชีวิต แม้แต่บุตรหลานก็ต้องถูกลงบัญชีว่าเป็ลูกหลานของคนโฉด โดนลดชั้นไปเป็ทาสไม่อาจคืนสถานะได้อีกตลอดไป
คนบังคับรถหน้าถอดสีในชั่วพริบตา ส่วนชายชราที่ถูกรถชนได้รับาเ็ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งใบหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดสลับไปมา ขาที่เจ็บอยู่นั้นอ่อนยวบทรุดตัวลงกับพื้นทันใด หากมองสังเกตให้ดีจะพบว่ามีอาการสั่นเล็กน้อย
"น้องสามกล่าวล้อเล่นแล้ว พี่สาวผิดเอง เห็นรถคล้ายกับรถของบ้านเราจึงเข้าใจผิด ไม่คิดว่ากลับเป็การปรักปรำเ้า" โม่เสวี่ยิ่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนนี้นางสงบจิตใจลงได้แล้วจึงรีบอธิบายไม่ให้เกิดช่องโหว่ แล้วเดินเข้ามากุมมือโม่เสวี่ยถงด้วยท่าทางเอาใจใส่อย่างยิ่ง กล่าวด้วยวาจาอ่อนหวานเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น "น้องสามเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เกิดเื่แบบนี้ขึ้นช่างเคราะห์ร้ายโดยแท้ หากเื่นี้แพร่ออกไป แม้คนผู้นี้จะได้รับโทษ แต่น้องสามก็ต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล ผู้คนอาจจะนำไปซุบซิบนินทาว่าน้องสาวชอบหาเื่คน อาจทำให้ท่านพ่อไม่พอใจได้"
เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องไปขึ้นศาล คนบังคับรถกับชายชราก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง แอบสบตากันลับๆ ต่างฝ่ายต่างรู้สึกยินดี
โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่กล้าให้ตนเองไปขึ้นศาลแน่ ต้าฉินสถาปนาแคว้นมากว่าร้อยปี ยังไม่เคยได้ยินว่ามีธิดาของขุนนางผู้ใดไปขึ้นศาลโดยไม่เห็นแก่สถานะของตนเอง โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะในใจ น่าเสียดายวันนี้โม่เสวี่ยิ่ตัดสินใจพลาดแล้ว
"ชนคนแล้วยังคิดจะหลบหนีความผิด คิดว่าต้าฉินไร้กฎหมายหรืออย่างไร หรือว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไร้บทลงโทษไปแล้ว" เสียงหัวเราะใสกังวานดังลอยมา
ทันทีที่โหยวเยวี่ยเฉิงเห็นรถม้าหรูหราคันนั้น ความสนใจของเขานอกจากจ้องมองโม่เสวี่ยถงอยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งเป้าไปที่นั่น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพิจารณารถม้าคันนั้นอย่างละเอียดด้วยความสงสัย บัดนี้เมื่อได้ยินเสียงเ้าของรถ สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน สมองฉุกคิดขึ้นในบัดดล ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าคนผู้นี้คือผู้ใด
"ทหาร! จับคนไปส่งทางการ ข้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง แค่ไปเป็ประจักษ์พยานแทนคุณหนูสามสกุลโม่จะเป็ไร ขึ้นโรงขึ้นศาลสักครั้งก็ไม่ใช่เื่ลำบากอะไร" ผู้ที่อยู่บนรถไม่รอให้นางมีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ก็กล่าวพลางหัวเราะเสียงใส
ด้านหลังรถม้าของเขามีองครักษ์ถือดาบสองคนปรากฏตัวขึ้นฉับพลัน เคลื่อนไหวรวดเร็วพุ่งเข้าหาคนบังคับรถและชายชราราวกับเหาะเหิน
ชายชราและคนบังคับรถที่หลบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เห็นสถานการณ์ไม่ดีก็รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชน ทั้งสองแยกซ้ายขวาหนีไปคนละทาง
องครักษ์ทั้งสองแยกกันตามจับ แต่คนที่มามุงดูเยอะเกินไป ชั่วพริบตาเดียวสองคนนั้นก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เมื่อเห็นชายชรากับคนบังคับรถต่างวิ่งตามกันไปแล้วหนีหายไปในฝูงชน ยังจะมีใครไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีก
พอนึกถึงหญิงสาวที่ร่วมกับผู้อื่นปรักปรำคน ทุกคนต่างมีท่าทีเป็เดือดเป็แค้นแทนผู้ที่ได้รับความไม่เป็ธรรม โม่เสวี่ยิ่พูดให้ความช่วยเหลือชายชรากับคนบังคับรถ เป้าหมายดูสอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ คำติฉินของชาวบ้านยิ่งพูดไปยิ่งไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้โม่เสวี่ยิ่ทำได้เพียงกัดฟันทน แต่ไหนแต่ไรมานางเป็คนลุ่มลึก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ตอนนี้จึงไม่อาจแสดงความโกรธออกมาได้ ดังนั้นจึงทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดติฉินนินทาของชาวบ้าน ยังคงกล่าวกับโม่เสวี่ยถงอย่างสนิทสนมด้วยวาจาอ่อนหวาน "ที่แท้มีคนคิดปรักปรำน้องสามนี่เอง วันนี้เป็พี่สาวที่ทำไม่ถูก ทำให้เ้าต้องได้รับความไม่เป็ธรรม หากน้องสามยังโมโหอยู่ก็มาลงที่ข้าเถิด ข้าจะไม่พร่ำบ่นเลยแม้แต่น้อย และจะไม่บอกกับท่านพ่อด้วย เพราะว่าข้าสมควรจะได้รับโทษแล้ว พวกเราควรจะรักใคร่กลมเกลียว ไม่อาจให้เื่นี้มาสร้างความหมางใจระหว่างพี่น้อง"
คำพูดนี้ฟังดูจริงใจ ไม่เพียงแต่เผยข้อบกพร่องของตนเองเท่านั้น แต่ยังยอมรับผิดของตน ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีด้วย
ดวงตาและใบหน้าที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนของโม่เสวี่ยิ่ยังเจือไปด้วยความละอายใจ แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของพี่สาวที่ให้ร้ายน้องสาวเพราะความเข้าใจผิดของตนเอง เสียงซุบซิบที่ชี้ว่าโม่เสวี่ยิ่ลอบทำร้ายน้องสาวของตนเองจึงค่อยเบาบางลง
โม่เสวี่ยิ่ช่างเป็คนที่รับมือไม่ง่ายโดยแท้ แต่ในเมื่อลงแรงแสดงละครฉากใหญ่ขนาดนี้แล้ว โม่เสวี่ยถงหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ
"คำพูดของพี่หญิงใหญ่ทำให้ข้าผู้เป็น้องสาวรู้สึกละอายใจนัก เพราะข้าไม่ดีเอง ไม่รู้ว่าไปทำสิ่งใดให้ใครเคืองแค้นริษยา ถึงได้คิดร้ายด้วยั้แ่เพิ่งย่างเข้าเมืองหลวง ทำให้พี่สาวผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยต่อน้องสาวเข้าใจผิด ข้าทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องวิตกกังวลแล้ว" เมื่อโม่เสวี่ยิ่แสดงกิริยาชดช้อยเช่นนี้ได้ โม่เสวี่ยถงย่อมไม่น้อยหน้า เอ่ยถ้อยวาจาแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจกึ่งหนึ่ง ละอายใจกึ่งหนึ่ง
นางวางท่าให้ดูอ่อนน้อมกว่าโม่เสวี่ยิ่ ท่าทางอ่อนหวานละมุนละไม เมื่อรวมกับเื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความเห็นอกเห็นใจ
แม้ว่าชาวบ้านจะไม่พูดอะไร แต่คุณหนูและคุณชายจากตระกูลผู้ดีเ่าั้ต่างมองเห็นชัดเจน แค่สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งเท่านั้นเอง จะไปหาเื่ผู้อื่นได้อย่างไร อีกฝ่ายใช้รถที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ รอจนนางเข้าเมืองมาถึงก็พุ่งรถชนคนแล้วป้ายความผิดให้ เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีผู้ที่เป็พี่สาวปากก็พร่ำพูดว่าจะช่วยจัดการให้ แต่ไม่มีการแก้ต่างให้กับน้องสาวของตนเองเลย ส่อให้เห็นเจตนาของการกระทำอย่างแจ่มชัด
มีบ้านไหนที่ไม่มีปัญหาความขัดแย้งของเรือนหลังกันบ้าง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่สกุลโม่ผู้เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมจะเป็สตรีที่จิตใจลึกล้ำ ปากอย่างใจอย่างเช่นนี้ ภายนอกที่แสดงความใจกว้างอ่อนโยนให้ผู้อื่นเห็น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย คุณหนูบางคนที่คบหากับโม่เสวี่ยิ่อยู่ก็เริ่มมีทีท่าระวังตัว
"พี่น้องกันเองไยจึงต้องแสดงความเกรงใจถึงเพียงนั้นด้วย น้องสามกลับจวนพร้อมกับพี่สาวเถิด ที่นี่คนเยอะ ไม่ใช่สถานที่พูดคุย เมื่อมาเจอน้องสามที่นี่แล้ว ข้าก็ไม่ออกไปไหนแล้วล่ะ ต้องขออำลาพี่หญิงหรงกับคุณชายคุณหนูทุกท่านแล้ว พี่สาวจะกลับบ้านพร้อมเ้า ท่านพ่อรอเ้ากลับมาอยู่ที่บ้านนานแล้ว"
คำพูดนี้ครึ่งหนึ่งก็เพื่อให้ตนเองปลีกตัวออกมาได้ ทั้งยังกล่าวอย่างสนิทสนม ทุกการกระทำล้วนแสดงออกถึงความจริงใจ ทำให้ความคิดของผู้คนบนท้องถนนหวั่นไหวอีกครั้ง รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนผู้นี้น่าจะไม่รู้เื่ราวด้วยจริงๆ
กลุ่มคนที่พูดตำหนิโม่เสวี่ยิ่ก็มี คนที่พูดแก้ต่างให้นางก็มาก โม่เสวี่ยิ่จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าวันนี้จะพ่ายแพ้ แต่ยังไม่นับว่าเลวร้ายมากนัก รอกลับถึงจวนก่อนค่อยสะสางรวบยอดกับนางแพศยาน้อยนี่ทีเดียว
โม่เสวี่ยิ่พูดจบก็หมุนตัวไปอำลาเหล่าคุณหนูคุณชายอย่างนุ่มนวลทีละคน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทำให้เหล่าคุณหนูและคุณชายต่างแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่ถึงกับเ็า แต่ก็ไม่อบอุ่นเป็กันเองเหมือนเดิม ทั้งยังคุยกับนางแบบถามคำตอบคำ ดูเฉยชาอย่างยิ่ง คุณหนูบางคนถึงกับปลดม่านลงปิดหน้าต่าง ไม่สนใจและไม่พูดอะไรอีก
โม่เสวี่ยิ่ย่อมรู้ว่าที่พวกเขาเกิดกินแหนงแคลงใจขึ้นเพราะคำพูดของโม่เสวี่ยถงก่อนหน้านี้ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนกรามแทบป่นด้วยความคับแค้นใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มให้คารวะอำลาอย่างมีมารยาท
ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกันไป ถนนใหญ่พลันโล่งขึ้นทันที คนบังคับม้าที่อยู่หน้ารถคันใหญ่หรูหราเตรียมหวดแส้ม้าหมายจะออกเดินทาง โหยวเยวี่ยเฉิงรีบก้าวเข้าไปทันที แล้วประสานมือคำนับต่อรถม้าที่งดงามอลังการแล้วเอ่ยถาม "ผู้ที่อยู่ในรถคือองค์ชายรัชทายาทใช่หรือไม่"
"เป็ข้าเอง ผู้อยู่ด้านนอกคือิกั๋วกงซื่อจื่อใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าท่านรั้งข้าไว้มีสิ่งใดจะชี้แนะ" ผู้อยู่ในรถหัวเราะเสียงต่ำ น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน
"มิกล้าๆ แต่องค์ชายเสด็จมาในครานี้ก็เพื่อมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาใช่หรือไม่ กระหม่อมมีความคิดเห็นบางประการ ไม่ทราบว่าองค์ชายจะโปรดให้กราบทูลได้หรือไม่" โหยวเยวี่ยเฉิงกล่าว
"เวลาไม่เช้าแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าเถิด หลังจากได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว ข้าจะเชิญซื่อจื่อมาร่วมสนทนาแน่นอน ตอนนี้ต้องขอตัวก่อน" เสียงหัวเราะใสกังวานประดุจหยกน้ำแข็งของบุรุษที่อยู่ในรถตอบกลับมา ฟังรื่นหูอย่างยิ่ง
ครานี้โหยวเยวี่ยเฉิงไม่เหนี่ยวรั้งอีกต่อไป ถอยห่างออกมาสองก้าว ประสานมือคำนับ "วันหน้ากระหม่อมจะต้องไปคารวะองค์ชายถึงหน้าประตูแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"
"ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี อยู่ที่นี่เรียกข้าว่าคุณชายก็พอ" รถม้าเคลื่อนตัวออกไป เสียงพิณไพเราะนุ่มนวลดังมาระลอกหนึ่ง เส้นเสียงใสกังวานราวกับน้ำพุกลางหุบเขา พลิ้วไหวราวกับเมฆาเคลื่อน ให้ความรู้สึกเหมือนมาจากที่สูงและห่างไกล แต่กลับลึกซึ้งและเรียบง่ายอย่างบอกไม่ถูก ผู้ที่ได้ยินล้วนไม่อาจเหนี่ยวรั้งสายตาที่มองตามรถม้าคันนั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างรู้สึกหลงใหลชื่นชม...
โม่เสวี่ยถงฉวยโอกาสขณะที่โม่เสวี่ยิ่เดินผละจากไป ประคองตัวด้วยการจับมือโม่หลันกลับขึ้นไปบนรถ นางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากตู้หนังสือใบเล็กที่อยู่หลังรถส่งให้โม่หลัน โม่หลันซุกเก็บไว้ในแขนเสื้อแล้วลงจากรถ อาศัย่จังหวะที่รถม้าคันที่อยู่ด้านข้างวิ่งตัดผ่าน ส่งหนังสือเล่มนั้นเข้าไปในห้องโดยสารรถ มือราวกับหยกชั้นดีของสตรีผู้หนึ่งยื่นออกมารับไว้ หยิบขึ้นมาพลิกดูก่อนจะวางลงไปในกล่องที่ประณีตงดงามใบหนึ่ง
ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางบนรถม้าคันหรู ชายหนุ่มรูปงามอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีนั่งเอกเขนกอยู่บนตั่ง น้ำเสียงสุขุมนุ่มนวล เสียงหัวเราะใสกังวานราวกับหยกน้ำแข็งกระทบกัน หล่อเหลาคมสัน ดวงตาสีเข้มดำขลับราวกับแต้มหมึก หยิบม้วนฎีกาบนโต๊ะขึ้นมาพลิกอ่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ราศีกลางหว่างคิ้วดูผ่อนคลายไร้กังวล ท่วงท่าเป็อิสระราวกับเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่บนท้องนภาหมื่นปีก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง งามวิจิตรประหนึ่งแสงแรกของดวงตะวันที่ทอทาบบนผืนฟ้า นุ่มนวลดั่งท่วงทำนองของวารีไหล ทั้งดูสงบนิ่งและเข้าถึงง่าย อาภรณ์จันทราทรงกลดสีเงินยวงตัวยาวพลิ้วไหวงามละเมียดมะไม ใบหน้าขาวใสหล่อเหลาประหนึ่งแสงจันทร์สุกสกาว
เสียงพิณหยุดบรรเลง นางกำนัลผู้งดงามพริ้มเพราคุกเข่าลง ทูนกล่องแพรงามวิจิตรขึ้นเหนือศีรษะ มือเรียวทรงพลังยื่นมารับไปพลิกดู ใบหน้าหล่อเหลาคมคายไร้ที่ติเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า