“เจินจู ให้ข้าช่วยอะไรไหม?”
ชุ่ยจูยิ้มแล้วเดินเข้ามา มือหนึ่งข้างจูงเด็กน้อยหนึ่งคน
“พี่รอง ฮ่าๆ ไม่เป็ไร นี่เป็ชาดอกไม้ที่ฮูหยินกั๋วกง้า ข้าจะนำไปมอบให้เซี่ยวเว่ยเหยาน่ะ” เจินจูส่งยิ้มไปทางนาง ไม่ได้เจอกันเดือนเดียวพี่รองของนางสีหน้าไม่เลวเลย คนก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วย ดูท่าสตรีที่อยู่ในสถานที่ทำอาหารหมักเ่าั้ คงไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นอีก
“ผิงซั่น อีกเดี๋ยวพี่สามจะให้ลูกกวาดเ้าทาน เ้าเป็เด็กดีเชื่อฟังล่ะ”
ผิงซั่นอายุสามปีกว่าร่างกายแข็งแรงเป็อย่างมาก บนใบหน้าจ้ำม่ำประดับไว้ด้วยความเหนียมอายเล็กน้อย ศีรษะเล็กพยักหน้า กล่าวประโยคหนึ่งด้วยเสียงแ่เบา “…พี่สาม ข้าไม่ดื้อ”
โธ่เอ๋ย น่ารักเกินไปแล้วจริงๆ เทียบกับซิ่วจูที่นิสัยร่าเริงแสนซนและชอบก่อความวุ่นวายแล้ว ช่างเป็เด็กที่สุภาพและน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เจินจูยิ้มจนดวงตาหยีแล้วเดินไปทางหน้าบ้าน
จ้าวเหวินเฉียงและหลานชายของเขาได้กลับไปแล้ว หูฉางหลินเป็ห่วงเหลียงซื่อที่อยู่บ้านคนเดียว จึงกลับไปบ้านเก่าพร้อมกับชายชราสกุลหู
เหยาเฮ่าหลานพักอยู่ในห้องข้างโถงใหญ่หน้าบ้านกับพวกหลัวจิ่ง
ขณะที่เจินจูเดินเข้าไป บิดาสกุลหูกำลังอึกๆ อักๆ นำทางคนเข้าไปภายในห้องข้างโถงใหญ่
“เซี่ยวเว่ยเหยา นี่เป็ชาดอกกุหลาบที่ทางบ้านเหลืออยู่ ล้วนให้ฮูหยินกั๋วกงทั้งหมดเลยเ้าค่ะ”
เหยาเฮ่าหลานรีบรับกระปุกที่ซ้อนกัน้าลงมาวางอย่างระมัดระวัง ชาดอกไม้เหล่านี้นายท่านกั๋วกงได้กำชับไว้เป็พิเศษว่าต้องนำกลับไปอย่างระมัดระวังและปลอดภัย
“แม่นางหู มีเพียงสี่กระปุกเองหรือขอรับ?”
ช่างน้อยไปหน่อยหรือไม่?
“…”
เจินจูข่มอาการอยากมองบนใส่เขาเอาไว้ ครอบครัวนางไม่ใช่ชาวไร่ที่ปลูกสวนดอกไม้เป็อาชีพสักหน่อย เก็บมาได้เพียงนี้ก็ไม่เลวแล้ว
เมื่อหูฉางกุ้ยได้ฟังก็รีบกล่าวขึ้นทันที “เจินจู กระปุกที่อยู่ในห้องท่านแม่เ้ายังเหลืออยู่ไม่น้อย เอามาให้เซี่ยวเว่ยเหยาดีหรือไม่?”
บิดาที่รื้อมุมกำแพง [1] ของตนผู้นี้นี่ นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าที่ท่านแม่มีอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่ที่บ้านก็ต้องเหลือไว้สักหน่อยไม่ใช่หรือ ให้คนไปหมดแล้วหากตัวเองอยากดื่มสักหน่อยจะไปหาจากไหน
เหยาเฮ่าหลานดวงตาเป็ประกาย มองไปที่หูฉางกุ้ยด้วยแววตาวาววับ
หูฉางกุ้ยสะดุ้งใ ไม่รอให้เจินจูตอบรับก็รีบกลับห้องไปหยิบกระปุกชาด้วยความกระตือรือร้นทันที
อารมณ์อยากกุมหน้าผากตีขึ้นมาอย่างรุนแรงหนึ่งสาย ในใจเจินจูทอดถอนใจยิ่งนัก
“เซี่ยวเว่ยเหยา ท่านจะเร่งกลับเมืองหลวงเลยหรือพักอยู่สักสองสามวันแล้วค่อยออกเดินทางเ้าคะ?”
ได้รับชาดอกไม้แล้วก็ควรรีบกลับไปเสียที จะได้ไม่ต้องให้บ้านสกุลหูคอยปรนนิบัติบุรุษที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งเช่นนี้
“อาจต้องรบกวนแม่นางหูสักสองสามวันแล้ว ผู้แซ่เหยาได้ทำการสังเกตจากท้องฟ้า คาดว่าสองวันนี้หิมะกำลังจะตกหนัก นับเก้า่เวลาอากาศหนาวเย็น [2] ไม่เหมาะให้เร่งเดินทางขอรับ”
คำตอบของเหยาเฮ่าหลานเหนือไปจากความคาดหมายของเจินจูอย่างเห็นได้ชัด เห็นกันอยู่ว่าสองสามีภรรยาเซียวฉิงและฮูหยินท่าทางร้อนรนใจเกินกว่าจะอดทนรอได้ ทว่าเขากลับไม่รีบร้อนออกเดินทางกลับเสียนี่
ตามลักษณะนิสัยของเหยาเฮ่าหลานแล้ว น่าจะได้รับการฝากฝังมาจากเซียวฉิง ให้เขาสอบถามหรือจับตาดูเื่ที่เกี่ยวข้องกับสกุลหูกระมัง
คนมากเล่ห์ผู้นี้ ต้องพบอะไรเข้าแน่ๆ ถึงได้คิดจะสืบหาเจาะลึกอะไรนิดๆ หน่อยๆ ส่วนเื่อากาศอะไรนี่คงเป็แค่ข้ออ้างเท่านั้น เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ
เฮ้อ... จัดการองค์ไท่จื่อไปได้ก็มีเจิ้นกั๋วกงเข้ามาอีก ช่างเป็คลื่นลูกหนึ่งยังไม่สงบดีคลื่นอีกลูกก็ซัดเข้ามาอีกแล้ว
หวังแค่ว่าเซียวฉิงจะไม่เหมือนเช่นองค์ไท่จื่อ ที่เห็นชีวิตชาวบ้านธรรมดาไร้ความหมาย แล้วทำการสังหารปล้นจี้ข้าวของไปตามอำเภอใจ
ยามพลบค่ำ หวังซื่อนำคนไปลานบ้านใหม่ของหลัวจิ่งจัดการอาหารเย็นของบุรุษร่างกายกำยำยี่สิบคนขึ้น ส่วนหลี่ซื่อนำจ้าวหงยู่กับพานเสวี่ยหลันจัดการงานเลี้ยงภายในครอบครัว
นอกและในลานบ้านของสกุลหูจึงวุ่นอยู่กับงานขึ้นชั่วขณะ
ตกเย็นจ้าวเหวินเฉียงและหลานชาย ซิ่วฉายหยางและภรรยา ฟางเสิงและอาชิง หลิงเสี่ยนและหลานชาย อีกทั้งหลิ่วฉางผิงและภรรยาต่างก็ถูกเชิญมาทั้งหมด
แบ่งโต๊ะเลี้ยงออกเป็สองโต๊ะตามธรรมเนียมปฏิบัติ ภายในห้องโถงผู้คนจอแจ คึกคักเป็อย่างมาก
หลัวจิ่งและเหยาเฮ่าหลานต่างก็ล้างหน้าทำความสะอาดกันไปตอน่บ่ายหนึ่งรอบ จึงดูมีชีวิตชีวามากขึ้นไม่น้อย
สิ่งแรกที่นำขึ้นโต๊ะเป็เนื้อพะโล้ประเภทต่างๆ ที่หั่นไว้อย่างเป็ระเบียบ ซึ่งเป็อาหารขึ้นชื่อมีลักษณะเด่นที่สุดของสกุลหู
ต่อจากนั้นเป็กุนเชียงหั่นเป็แผ่นวางเรียงกันเป็วงกลม แล้วตามมาด้วยเนื้อตากแห้งผัดต้นหอมใหญ่ ขาหมูพะโล้เผ็ดหอม ผัดเปรี้ยวหวานรากบัวลูกชิ้นเนื้อ เนื้อห่านปรุงน้ำแดง ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน เนื้อกระต่ายอบน้ำแดง น้ำแกงเห็ดลูกชิ้นปลา และผัดผักกาดขาว
ผักและเนื้อเต็มเปี่ยมไปทั่วหนึ่งโต๊ะ ทั้งห้องโถงล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้ออย่างเข้มข้น
เหยาเฮ่าหลานรู้สึกน้ำลายเอ่อล้นขึ้นมาชั่วขณะ
ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก เขาก็เคยผ่านงานเลี้ยงใหญ่มามากเช่นกัน แต่ไม่เคยเป็แบบนี้เลยที่เพียงสูดกลิ่นหอมเข้าไปอย่างเดียวก็เกิดน้ำลายแตกขึ้นมาเสียนี่
ชายชราสกุลหูกล่าวเปิดงานด้วยน้ำเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีสองสามประโยค แล้วให้ทุกคนรีบลงมือทานกันได้ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อาหารก็จะเย็นเร็วตามไปด้วย
เหยาเฮ่าหลานทำตามทุกคน เริ่มยกตะเกียบคีบอาหารขึ้น
สิ่งที่เขาคีบขึ้นเป็อย่างแรกคือรากบัวลูกชิ้นเนื้อ มีกลิ่นหอมของเนื้อ ทั้งยังมีความกรุบกรอบของรากบัว ความเปรี้ยวหวานกลมกล่อมพอดี รสชาติล้ำเลิศอย่างมาก
ฤดูกาลเช่นนี้สกุลหูมีรากบัวด้วยหรือ? เหยาเฮ่าหลานกวาดตามองสหายญาติพี่น้องครอบครัวสกุลหูปราดหนึ่งไม่ให้ผิดสังเกต ราวกับจะััถึงความประหลาดใจของทุกคนไม่ได้เลย หรือนี่เป็รากบัวที่สกุลหูปลูกเองนะ?
“เซี่ยวเว่ยเหยา ทำไมไม่ทานล่ะ? อาหารของสกุลหูไม่ถูกปากหรือ?” ชายชราสกุลหูให้ความสนใจแขกผู้มีเกียรติผู้มาใหม่อยู่ตลอดเวลา เห็นเขาหยุดชะงักลงไปพักหนึ่งจึงรีบยิ้มแล้วสอบถามขึ้น
“แน่นอนว่าไม่ใช่ขอรับ อาหารบ้านท่านทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผู้แซ่เหยาเพียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น ฤดูกาลเช่นนี้รากบัวหาได้ยากเป็อย่างมาก” เหยาเฮ่าหลานกล่าวความสงสัยในใจออกมา
“โอ๊ะ เกรงว่าเซี่ยวเว่ยเหยาจะไม่ทราบ บ้านฉางกุ้ยมีสระน้ำอยู่ ทุกปีล้วนขุดรากบัวจากในสระออกมาได้ไม่น้อยเลยล่ะ” จ้าวเหวินเฉียงอธิบายขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
ที่แท้ก็มีสระน้ำจริงๆ ด้วย เหยาเฮ่าหลานพยักหน้า
“ฮ่าๆ สกุลหูยังเลี้ยงกระต่ายไว้ด้วยนะ ท่านดูสิ เนื้อกระต่ายอบน้ำแดงนี่ก็เป็กระต่ายของครอบครัวเขา อร่อยมากยิ่งนัก ท่านลองชิมดูได้เลย”
เหยาเฮ่าหลานยื่นมือไปคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นส่งเข้าในปาก รสชาติสดอร่อย เนื้อัันุ่มละเอียด อร่อยมากจริงด้วย
หลัวจิ่งชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง ทว่าในมือขยับตะเกียบไม่ได้หยุด ออกไปข้างนอกหนึ่งเดือน สิ่งที่เขาคิดถึงที่สุดก็คือเนื้อพะโล้กลิ่นหอมของสกุลหูนี่แหละ
หลัวสือซานเป็นายทหารระดับสูง นั่งอยู่ด้านข้างเป็เพื่อนเหยาเฮ่าหลาน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเช่นกัน ตะเกียบในมือขยับอย่างรวดเร็ว ทานอาหารเนื้อและผักของสกุลหูจนชิน พอออกไปข้างนอกหนึ่งเดือน อาหารภายนอกจึงไม่ได้เอร็ดอร่อยเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
เหยาเฮ่าหลานเป็คนที่มีสายตาในการมองอย่างยิ่ง เมื่อเห็นตะเกียบของสองคนขยับไม่ได้หยุด ผนวกกับจ้าวเหวินเฉียงที่แม้จะอธิบายให้เขาฟังด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ทว่าในมือก็ขยับไม่ได้หยุดเช่นกัน เดี๋ยวคีบเนื้อพะโล้ เดี๋ยวคีบกุนเชียง ปากไม่ได้หยุดเคี้ยวลงเลย
เขาเข้าใจได้ทันที จึงเพิ่มความเร็วขึ้น คีบเนื้อพะโล้ได้หนึ่งชิ้นก็ส่งเข้าในปากทันที
อร่อยจริงด้วย กลิ่นหอมของเนื้อพะโล้เต็มไปทั่วทั้งปากแทรกซึมขึ้นจมูก อดไม่ได้ที่จะหันไปคีบเนื้อพะโล้ในจานใหญ่ขึ้นอีก ผ่านไปได้ไม่นานเนื้อพะโล้บนจานได้พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว
ช่างเป็อาหารที่ได้รับความชื่นชอบที่สุดจากทั่วทั้งโต๊ะเลยจริงๆ
เหยาเฮ่าหลานไม่มีเวลาให้คิดถึงสิ่งอื่นใดไปชั่วขณะ การกระทำในมือว่องไวขึ้น
จนกระทั่งทุกคนทานกันได้พอสมควรแล้ว ตะเกียบจึงเริ่มแ่ช้าลงเรื่อยๆ
เหยาเฮ่าหลานเพิ่งรู้สึกใ คล้ายกับว่าตนทานได้อิ่มมากไปหน่อย อาหารจวนจะดีดขึ้นออกมาจากลำคอ
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาพักหนึ่ง พลางลูบกระเพาะที่นูนขึ้นมา ฝืนกลืนน้ำลายลงไปกดอาหารที่เหมือนจะล้นออกมา
ขายขี้หน้าเกินไปแล้ว เป็ผู้ใหญ่คนหนึ่งเพียงนี้ทว่าเหมือนเด็กน้อยจะกละก็ไม่ปาน ทานจนตัวเองพุงกางเสียนี่ เขากวาดสายตาไปทางทุกคนแวบหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยต่างก็ลูบหนังท้องแล้วเอาแต่กล่าวออกมาว่า ‘อาหารสกุลหูยอดเยี่ยมยิ่งนัก’ ‘ทุกครั้งล้วนทานจนอิ่มเกินไปจริงๆ’
เหยาเฮ่าหลานจึงโล่งใจเล็กน้อย ไม่ใช่ตนคนเดียวที่ทานจนพุงกาง
หลัวจิ่งเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขาอยู่ในสายตา แอบหัวเราะขึ้นในใจไม่ได้ แม้กระเพาะของเขาก็ถูกอาหารเติมจนเต็มเช่นเดียวกันก็ตาม
โต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง เหล่าสตรีล้วนไม่ได้พาเด็กน้อยมาด้วย
เพราะมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน ทุกคนต่างก็กลัวว่าเด็กน้อยจะส่งเสียงโวยวายขึ้นแล้วทำให้แขกตื่นใ
ยามนี้ บทสนทนาของพวกนางต่างก็ไม่ได้คุยกันเสียงดังเหมือนเช่นปกติ
“เจินจู เ้าออกไปข้างนอกรอบนี้ ได้ออกไปพบกับโลกกว้างใหญ่แล้ว เมืองหลวงนั้นคึกคักเจริญรุ่งเรืองมากกว่าหัวเมืองของพวกเรามากเลยใช่หรือไม่?”
เจี่ยงซื่อมองนางด้วยดวงตาระยิบระยับ แม่นางสามสกุลหูช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะถูกคุณหนูจากจวนท่านโหวเชิญให้ไปเที่ยวเล่น นี่เป็วาสนาที่ดีมากตั้งเท่าไรกันนี่ เด็กสาวผู้นี้ตอนยังเล็กร่างกายผ่ายผอมตัวดำคล้ำ ไม่เป็ที่น่าสนใจสักเท่าไร พอเติบโตขึ้นมาไม่เพียงงดงามมากขึ้นอย่างเดียว ทว่ายังมีโชควาสนาติดอยู่ทั่วกายอีกต่างหาก
“โธ่เอ๋ย หัวเมืองจะไปเทียบกับเมืองหลวงได้เช่นไรกัน ภรรยาฉางผิงนี่ถามได้ความรู้ตื้นเขินเกินไปแล้ว” หวงซื่อกำลังแทะขาห่าน หัวเราะเยาะเจี่ยงซื่อ
“ฮ่าๆ นั่นสินะ ข้าไม่เคยไปเมืองหลวงนี่ เลยอยากถามให้มากหน่อย”
เจี่ยงซื่อไม่ได้โกรธเคือง บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านจะเกี่ยวดองเป็ญาติกับครอบครัวฉางหลินแล้ว อีกทั้งในบ้านยังกำเนิดซิ่วฉายขึ้นอีก ทั้งหมู่บ้านวั้งหลินนอกจากสกุลหูแล้วก็นับว่าครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านนี่แหละที่มีหน้ามีตาที่สุด นางย่อมไม่โง่พอที่จะขัดใจกับหวังซื่อแน่
“เมืองหลวงเป็เมืองหลวงของต้าสยา ย่อมเจริญรุ่งเรืองคึกคักเป็ธรรมดาเ้าค่ะ” เจินจูอุ้มผิงซั่นตัวน้อยขึ้นป้อนอาหาร แล้วตอบพวกนางไปโดยไม่ได้คิดอะไร
“เจินจู เ้าไปเยี่ยมคุณหนูจวนท่านโหว ก็แสดงว่าพักอยู่ในจวนท่านโหวน่ะสิ? เล่าให้พวกข้าฟังหน่อยสิ ลานบ้านของจวนท่านโหวเป็อย่างไรบ้าง?” เจี่ยงซื่อเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับผู้คนตระกูลสูงศักดิ์ แทบอยากจะไปดูด้วยตาของตัวเองให้ละเอียดยิ่งนัก
“ก็เป็ลานบ้านที่ใหญ่มาก คนรับใช้มากมาย กฎเกณฑ์สลับซับซ้อนยิ่งนัก อย่างอื่นก็คล้ายๆ กันหมดเ้าค่ะ” เจินจูกล่าวอย่างคลุมเครือ แล้วคีบเนื้อส่วนหน้าอกของห่านมาฉีกเป็ชิ้นเล็กๆ ป้อนเข้าในปากผิงซั่น
“…”
เจี่ยงซื่อไม่พอใจในคำตอบนี้อย่างเห็นได้ชัด นางกำลังคิดจะซักถามต่อ แต่พบว่าหวงซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังมองความคึกคักอย่างสงบ นางจึงเก็บความคิดนั้นลงไปทันที นางแค่้าคุยเล่นถึงข่าวคราวของเมืองหลวงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าโง่จริงๆ ทว่าเจินจูดูไม่อยากตอบคำถามสักเท่าไร นางก็ไม่ควรซักไซ้ออกไปอีก
เื่ของครอบครัวฉางกุ้ย นางรู้ชัดแจ้งเป็อย่างดี สองสามปีมานี้หลิ่วฉางผิงทำงานให้สกุลหูมาไม่น้อย ค่าตอบแทนที่ได้รับมาก็สูงกว่าเมื่อก่อนมาก เด็กชายสองคนของตนล้วนเล่าเรียนหนังสือและฝึกการต่อสู้อยู่ที่โรงเรียน หากเปรียบเทียบกับการดำรงชีวิตในเมื่อก่อนที่รู้จักแต่ขึ้นต้นไม้ ล้วงขโมยไข่นกในรัง ลงแม่น้ำลำคลองจับปลาแล้ว นับว่าสองพี่น้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากไม่เหมือนเด็กทั่วไปเลย
หลิ่วฉางผิงซาบซึ้งในบุญคุณของสกุลหูเป็อย่างยิ่ง สำหรับเื่ของพวกเขาแล้วล้วนเอาใจใส่เป็อย่างดี เจี่ยงซื่อรู้ความสำคัญของเจินจูในสกุลหูดีเช่นกัน เื่ต่างๆ มากมายของสกุลหู ล้วนแล้วแต่เป็นางที่กล่าวตัดสินใจ ดังนั้นเมื่อคนเขาไม่้าเล่า แล้วตนเองเอาแต่ซักไซ้อยู่ไม่เลิก คงเป็การกระทำที่ทำให้คนรำคาญจริงๆ
“…อ้อ ฮ่าๆ เซี่ยวเว่ยเหยาผู้นั้น เป็นายทหารขั้นที่เท่าไรกัน ดูแล้วสง่างามน่าเกรงขามจริงๆ?”
นางเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้น
“เป็เจาอู่ [3] เซี่ยวเว่ยขั้นหกเ้าค่ะ”
“เอ๋ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าต่ำกว่าหลางเจียงหลัวอยู่สองขั้นหรือ โอ้โห หลางเจียงหลัวนี่ร้ายกาจยิ่งนัก อายุน้อยนิดก็ยอดเยี่ยมเพียงนี้ ต่อไปไม่ต้องเลื่อนขึ้นเป็ต้าเจียงจุน [4] เลยหรือ?”
เจี่ยงซื่อมองไปทางโต๊ะที่เหล่าบุรุษนั่งอยูด้วยความเลื่อมใสเต็มอยู่ในดวงตา หวงซื่ออดมองไปตามสายตาของนางไม่ได้ ชายหนุ่มดวงหน้ารูปงาม รูปลักษณ์ภายนอกสง่าผ่าเผย นั่งอยู่อย่างสงบนิ่งมั่นคงเพียงนั้น ล้วนสามารถรับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามบนกายของเขาที่ไม่เหมือนคนทั่วไปได้ทันที
“เจาอู่เซี่ยวเว่ยเป็ขุนนางขั้นหกเต็มขั้น กุยเต๋อหลางเจียงเป็ขุนนางขั้นสี่ขั้นต้น ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรเ้าค่ะ” เื่เกี่ยวกับระดับขั้น เจินจูไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร หลัวจิ่งบอกว่าเป็เพราะเขาอยู่ในสนามรบ จึงสั่งสมคุณูปการทางทหารได้ง่ายกว่า
คนบนโต๊ะอาหารมองหน้ากันไปมา ล้วนเป็คนชนบทมาแต่กำเนิดจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เสียที่ไหน รู้เพียงว่าตำแหน่งขั้นสี่จะต้องสูงกว่าขั้นหกอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าขุนนางจะยิ่งใหญ่มากน้อยสักแค่ไหน ในสายตาของพวกนางที่เป็คนธรรมดาแล้วก็ล้วนเป็ตำแหน่งที่น่าเกรงขามมากทั้งสิ้น
เมื่อผ่านอาหารมื้อเย็นมา เจี่ยงซื่อกับมารดาอาหยุนก็เริ่มอาสาอยู่ช่วยเก็บกวาดถ้วยชามตะเกียบมาล้างด้วยความสมัครใจ สองสกุลล้วนเป็ผู้ได้รับบุญคุณมาจากสกุลหูทั้งคู่ ในยามปกติที่สกุลหู้าความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่ล้วนสละเวลาออกมาเพื่อช่วยเหลือตลอด
แน่นอนว่าก่อนจะจากไป หลี่ซื่อมักมอบของนิดหน่อยให้พวกนางนำกลับไปด้วยเสมอ
เช่นวันนี้ หลี่ซื่อได้นำเนื้อพะโล้สองสามชนิดมอบให้แก่พวกนางกลับไปด้วย
สองคนต่างก็ไม่ได้ปฏิเสธ มักไปมาอยู่เช่นนี้จนเคยชิน จึงไม่ได้เกรงใจกันเพียงนั้นแล้ว
เชิงอรรถ
[1] รื้อมุมกำแพง คือ การกระทำที่ขัดขวางหรือทำลายบางสิ่งบางอย่างของผู้อื่น จากในประโยคนี้หมายความว่า ผู้เป็บิดาได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้คนอื่นไปเสียทั้งหมด ไม่รู้จักเก็บรักษาสิ่งที่มีประโยชน์อันน้อยนิดไว้ให้ตัวเอง
[2] นับเก้า่เวลาอากาศหนาวเย็น การนับเก้า คือกิจกรรมที่ชาวจีนโบราณนิยมทำกัน โดยเฉพาะชาวจีนทางเหนือ โดยการนำภาพวาดหรือตัวอักษรมาเติมแต้มหรือขีดทีละขีด อาจเป็ภาพดอกไม้จำนวนเก้าดอกดอกละเก้ากลีบ หรือตัวอักษรเก้าตัวแต่ละตัวประกอบไปด้วยเก้าขีด จะกลายเป็การนับแบบ 9*9 = 81 วัน ซึ่งจะได้จำนวนวันใน่ที่ถือว่าเริ่มหนาวไปจนถึงหายหนาวพอดี แล้วจะทำการแต้มสีไปทีละกลีบหรือขีดตัวอักษรไปทีละตัวแทนหนึ่งวัน เมื่อครบ 81 วัน ภาพหรือตัวอักษรดังกล่าวจะถูกแต้มสีหรือเขียนคำครบพอดี เป็กิจกรรมยามว่างใน่อากาศหนาว เพื่อเป็การเตือนให้รักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รอวันที่อากาศอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้ามาแทน แล้วค่อยออกไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน
[3] เจาอู่ คือ คำเรียกของขุนนางทหารขั้นหก
[4] ต้าเจียงจุน คือ นายพลหรือแม่ทัพ เป็ตำแหน่งสูงสุดของขุนนางฝ่ายทหาร เทียบเท่าผู้บัญชาการทหารสูงสุด