น้ำแกงไก่อุ่นๆ หนึ่งถ้วยค่อยๆ ลงลำคอ ชุ่มชื้นและอบอุ่นกระเพาะอาหารที่แห้งเหี่ยวของกู้ฉี เห็นเพียงหน้าตาของเขาค่อยๆ ผ่อนคลาย ในตามีรอยยิ้ม ใบหน้าผอมซูบและขาวซีดนั้นมีเืฝาดจางๆ หนึ่งกลุ่มออกมา
“คุณชาย ไก่ของสกุลหูดูไปแล้วช่วยเจริญอาหารท่านมาก ดีจริงๆ ที่ทานอาหารลงได้ เมื่อทานยาลงไปจึงจะสามารถได้ผลอย่างเต็มที่ อาการป่วยของท่านไม่นานก็จะดีขึ้นได้ สกุลหูน่าจะยังมีไก่หลายสิบตัว พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อพวกมันทั้งหมดกลับมาขอรับ” เป็หลิวผิงที่รีบกล่าวขึ้นมา ระงับรอยยิ้มแห่งความสุขไว้ไม่อยู่ ดูๆ ไปแล้วการคาดเดาของเขาถูกต้องนัก ขอแค่เป็ผลผลิตของสกุลหู ส่วนใหญ่ล้วนเข้ากับคุณชายได้ดี
“ไม่ต้อง ทานของเหล่านี้หมดก่อนค่อยว่ากัน” กู้ฉีส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอของเขา ขณะกล่าวก็ไออีกหลายเสียง แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว อาการไอเช่นนี้ดีขึ้นไม่น้อยเลย ลักษณะการไอเป็เืไม่กี่วันนี้ก็บรรเทาลงไม่น้อยเช่นกัน
“ใช่แล้ว ซื้อกลับมายังต้องเลี้ยงเอง ไม่สู้ทานหมดก่อนค่อยไปซื้อดีกว่า ปล่อยเลี้ยงไว้ที่บ้านสกุลหูจึงจะดีที่สุด” เหวยจื่อยวนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยคล้อยตาม เขาสังเกตสีหน้าของกู้ฉีอย่างละเอียด แอบทึ่งอยู่ในใจ แม้การเปลี่ยนแปลงจากการตรวจชีพจรจะปรากฏไม่ชัดเจน แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการทานอาหารได้ลงจะเป็ประโยชน์ที่ดีต่ออาการป่วยของกู้ฉีอย่างมาก
บางที การรักษาอย่างค่อยเป็ค่อยไป อาจจะหายเป็ปกติ…ก็เป็ได้
...วันเวลาเหล่านี้สำหรับครอบครัวสกุลหูแล้ว ช่างเบิกบานและมีความสุขนัก ฐานะสภาพการเงินหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หวังซื่อที่เส้นประสาทตึงแน่นได้ผ่อนคลายลงอย่างมาก ได้ออกจากบ้านติดต่อกับผู้คน บนใบหน้าที่แข็งทื่อก็ยิ้มแย้มมากขึ้น
วันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใสดวงอาทิตย์อบอุ่น
หวังซื่อให้หูฉางหลินใส่เกวียนวัวให้เรียบร้อยและพาเจินจู ผิงซุ่น ผิงอันออกเดินทางไปยังหมู่บ้านสกุลหวังบ้านบิดามารดาของนาง หมู่บ้านที่ส่วนใหญ่อาศัยการล่าสัตว์เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว
หมู่บ้านสกุลหวัง บ้านเรือนตั้งอยู่ในป่าเขา เป็หนึ่งกลุ่มก้อนตรงกลางหุบเขาเล็กๆ มีครอบครัวอาศัยอยู่สี่สิบถึงห้าสิบหลังคาเรือน ที่นามีน้อยมาก และหลายครอบครัวสร้างบ้านอยู่บนไหล่เขา
บ้านของครอบครัวหวังหงเซิงก็อยู่บนไหล่เขา แม้จะเป็่ที่หนาวที่สุดในหน้าหนาว แต่ต้นไม้ใบหญ้าในป่าเขายังคงงอกงาม บ้านเรือนสีขาวเทาไม่กี่หลังปรากฏขึ้นระหว่างทางที่เกวียนวัวเดินไปข้างหน้า
“ช้าหน่อยๆ ทางเนินนี่สูงและชันเล็กน้อย” กลุ่มหูฉางหลินเดินมาถึงข้างูเา กำลังเร่งเกวียนวัวให้เดินไปทางเนินข้างหน้า
ถนนบนเขาเดินทางลำบาก ไม่กี่คนบนเกวียนล้วนลงจากเกวียนวัว ให้หูฉางหลินจูงวัวขึ้นเนินไปอย่างช้าๆ
“ท่านพี่ นานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอพี่ชายหูจื่อ ข้าเลยพกน้ำตาลเมล็ดสนที่อร่อยมาให้เขาด้วย เขาต้องดีใจแน่” ผิงอันะโโลดเต้นดีใจ เมื่อก่อนร่างกายเขาไม่แข็งแรง น้อยครั้งที่จะตามผู้ใหญ่ออกมาจากบ้าน หนนี้สามารถไปบ้านท่านปู่หวังหงเซิงได้ เขาเลยตื่นเต้นดีใจอยู่ทั้งคืน
“อื้ม เขาจะดีใจ ผิงอัน เ้าระวังหน่อย เนินลาดชันอยู่บ้าง อย่าหกล้มเล่า” เจินจูก้าวปีนไปข้างหน้า ในใจวิพากษ์วิจารณ์อยู่พักหนึ่ง หมู่บ้านสกุลหวังนี้ทั้งเล็กทั้งสูง ไม่คิดเลยว่ายังมีครอบครัวมากมายตั้งอยู่ที่นี่อีก
“นี่ใกล้จะถึงแล้ว เลี้ยวโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้ว” ภายในใจหวังซื่อค่อนข้างดีใจอย่างมาก ตอนต้นปีเพื่อแก้ปัญหาสินเดิมของอู้จูแล้ว นางจึงเดินทางมายังบ้านบิดามารดาเพื่อยืมเงินไปสองสามเหลียง กลับมาคราวนี้มีกินมีใช้แล้ว ย่อมต้องคืนเงินเป็ธรรมดา
“โอ๊ะ นี่มิใช่หงอิงหรือ? กลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านหรืออย่างไร?” มีหลายครอบครัวกระจัดกระจายอยู่บนทางลาดไม่ไกลจากกัน ในลานบ้านของครอบครัวหนึ่งในนั้น ฟู่เหรินชราผมสีดอกเลาอายุประมาณหกสิบปี ยืนอยู่หน้าประตูบ้านยิ้มแล้วทักทายขึ้น
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้กุ้ยเถียน ข้าพาพวกเด็กๆ กลับมาเยี่ยมน่ะ” หวังซื่อนามเต็มว่าหวังหงอิง แม้แต่งมาอยู่ในหมู่บ้านวั้งหลินสามสิบกว่าปี แต่เพื่อนบ้านเก่าบริเวณใกล้เคียงยังคุ้นเคยกันอยู่มาก
“นี่เป็ลูกของบุตรคนรองครอบครัวเ้าหรือ?” พี่สะใภ้กุ้ยเถียนเคยเจอผิงซุ่นมาก่อนแล้ว ตอนหวังซื่อกลับมาบ้านบิดามารดายังพาเขามาด้วยอยู่บ่อยๆ แต่ผิงอันกับเจินจูกลับไม่ค่อยได้เจอ
“ใช่แล้ว นี่เป็ผิงอันกับเจินจูของบ้านฉางกุ้ย มาทักทายท่านยายสิ” หวังซื่อจูงเด็กสองคนเข้ามา
“ทักทายเ้าค่ะ/ขอรับ ท่านยาย”
“อื้ม ดีๆ เด็กสองคนนี้หน้าตางดงามมากนัก ดูสดใสร่าเริงจริงๆ หงอิง เ้าเป็คนมีวาสนานัก” พี่สะใภ้กุ้ยเถียนยิ้มแล้วตอบรับทันที
หวังซื่อยิ้มจนดวงตาโค้ง พอทักทายกับกุ้ยเถียนสองสามประโยคแล้วจึงเดินขึ้นไปตามทางลาดชันนั้นต่อ
“โอ้ ถึงแล้ว” ผิงซุ่นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะวิ่งไปถึงลานข้างหน้าทันที
“ท่านปู่ พวกข้ามาแล้วขอรับ”
เสียงร้องของผิงซุ่นดังกังวานทำให้สุนัขที่อยู่ข้างในตื่นใเห่าอยู่พักหนึ่ง
“อ้าว ผิงซุ่น เ้ามาได้อย่างไร? เ้ามากับผู้ใด?” เสียงทุ้มประหลาดใจของผู้ชายกล่าวถาม
“ท่านลุง ท่านย่ากับท่านพ่อก็มาขอรับ แล้วยังมีพี่สามกับผิงอันก็อยู่ด้วย พวกเขาล้วนอยู่ข้างหลังขอรับ” ผิงอันดันประตูลานบ้านวิ่งเข้าไปอย่างคุ้นชิน “ต้าหวง เป็ข้าเอง เ้าเห่าอันใดกัน จำข้ามิได้แล้วหรือ”
“ท่านน้ามาแล้ว” บุรุษในชุดเสื้อหนาวบุนวมผ้าทอมือสีเทาออกมาจากในลานบ้าน มองดูกลุ่มคนที่ลากเกวียนวัวมาด้วยใบหน้าดีใจระคนแปลกใจ
“เป่าหยวน” หวังซื่อยิ้มแล้วะโเรียก
“ท่านน้า ฉางหลิน” คนที่มาเป็หวังเป่าหยวนหลานชายของหวังซื่อ “เจินจู ผิงอัน พวกเ้าก็มาด้วย... ผิงอัน ่นี้สุขภาพเ้าดีขึ้นแล้วหรือ? ทำไมก็ตามมาด้วยได้เล่า?”
“ท่านลุง สุขภาพข้าดีแล้วขอรับ! ตอนนี้ที่ไหนก็ไปได้หมดแล้ว” ผิงอันยื่นแขนสองข้างออกมา ทำท่าทางแข็งแรงกำยำ
“ฮ่าๆ เ้าเด็กดี เ้าร่างกายแข็งแรงแล้วถือเป็เื่ดี ต่อไปมาบ้านลุงเล่นกับพี่ชายหูจื่อบ่อยๆ สิ” หวังเป่าหยวนตบหลังผิงอันเบาๆ ด้วยความเบิกบานใจ
“ท่านลุง” เจินจูกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“อื้ม เจินจู นานแล้วที่ไม่ได้เจอ ลุงเกือบจำเ้าไม่ได้แล้ว เป็สาวโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ [1] จริงๆ ยิ่งโตยิ่งสะสวย” เจินจูเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก อีกนิดหวังเป่าหยวนก็จะจำไม่ได้แล้ว
ขณะกล่าว คนหนึ่งกลุ่มก็จูงเกวียนวัวเข้าลานบ้าน
“หงอิง” เฉียนซื่อผมสีดอกเลาจับที่วงกบประตู ะโเรียกด้วยดวงตามีรอยยิ้มแห่งความสุข หวังหงเซิงกับหวังหรงฟาสองปู่หลานยืนอยู่ด้านข้างมีรอยยิ้มแย้มเต็มใบหน้า
“พี่สะใภ้ พี่ชาย” หวังซื่อทักทายและยิ้มตอบกลับเช่นกัน
“ท่านแม่ เอวของท่านไม่ดี ลงจากเตียงมาทำไมกัน ระวังหน่อยขอรับ” หวังเป่าหยวนรีบเดินไปข้างหน้าเข้าประคองทันที
“นี่มิใช่ว่าได้ยินน้าของเ้ามาหรือ” เฉียนซื่อจับมือหวังเป่าหยวนที่ประคองอย่างสั่นเทาแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ
หลังจากสองครอบครัวทักทายกันหนึ่งรอบอย่างมีความสุข หวังซื่อจึงให้หูฉางหลินย้ายของลงมาจากเกวียนวัว
ไก่หนึ่งตัว เนื้อหมูสองชั่ง ขนมและผลไม้เชื่อมสองห่อ ผลไม้หนึ่งตะกร้าเล็ก ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดชั้นดีสีฟ้าทะเลสาบครึ่งพับ สุดท้ายเป็กระต่ายค่อนข้างโตหนึ่งตะกร้า ตัวผู้หนึ่งตัวเมียห้า เลี้ยงโตอีกสักหน่อยก็สืบพันธุ์ได้แล้ว
“หงอิง เ้ากลับมาเยี่ยมบ้านก็ดีใจแล้ว ยังจะเอาของมาเยอะเช่นนี้ทำไมกัน? เอ๊ะ ผ้าฝ้ายแพงเช่นนี้ นี่มีครึ่งพับเต็มๆ กระมัง ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดชั้นดีแพงมากเลยมิใช่หรือ?” เฉียนซื่อลูบพับผ้า เอาแต่ขมวดคิ้วด้วยความปวดใจ ครอบครัวเกษตรกรขึ้นเขาทำนา จะใช้ผ้าชั้นดีเช่นนี้ได้อย่างไร ทำชุดขึ้นหนึ่งชุด เกรงว่าหนึ่งปีจะสวมใส่ได้ไม่กี่ครั้ง
“ไอ๊หยา! ผ้าอันใดแพงเช่นนี้?” ผู้กล่าวเป็เถียนเสวี่ยเหมยหรือเถียนซื่อภรรยาของหวังเป่าหยวน ทั้งกายสวมชุดกระโปรงสีแดงเข้มที่ซักจนเก่าไปกว่าครึ่ง ผิวเหลืองคล้ำแบบคนชนบทที่พบเห็นได้ทั่วไป มีริ้วรอยที่หางตาอย่างชัดเจน ส่วนคิ้วและตายกขึ้นมีความฉลาดเฉียบแหลมอยู่หลายส่วน
“พี่สะใภ้ใหญ่ นี่ไม่ใช่ของที่ข้าซื้อมา เป็ผู้อื่นมอบให้ ให้มาสี่พับ จึงแบ่งมาให้พวกท่านครึ่งพับน่ะ” หวังซื่อยิ้มแล้วตอบ
“มอบให้? ผู้ใดใจกว้างเช่นนี้ เกิดเื่อันใดขึ้น? บอกกล่าวกับพวกเราหน่อย?” มอบให้ตั้งสี่พับเชียวหรือ? นี่ต้องใช้เงินจำนวนมากเลยนะ! เฉียนซื่อซักไซ้ด้วยความร้อนใจ
“ขนย้ายสิ่งของเข้าในบ้านก่อน อีกเดี๋ยวค่อยกล่าวอย่างละเอียดให้พวกท่านฟัง” หวังซื่อสั่งหูฉางหลินกับหวังเป่าหยวนให้พวกเขาขนย้ายสิ่งของเข้าบ้าน แล้วค่อยผูกลูกวัวไว้ด้านข้างให้เรียบร้อย
ผู้ใหญ่ล้วนพูดคุยด้วยกันกลุ่มหนึ่ง ส่วนพวกเด็กๆ ก็พูดคุยรวมอยู่ด้วยกันอีกกลุ่มหนึ่ง
“พี่ชายหูจื่อ นี่เป็น้ำตาลเมล็ดสน อร่อยมากเลยนะ ข้าเก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ ท่านลองชิมดู” ผิงอันควานหาลูกกวาดครึ่งห่อออกมาจากในอก ฉีกออกด้วยความระมัดระวังยื่นให้หวังหรงฟา
หวังหรงฟาอายุสิบสองปีแต่ถึงอย่างไรก็โตกว่าพวกเขาเล็กน้อย เขาเขินอายอยู่บ้างก่อนจะยื่นไปให้เจินจู “น้องสาวเจินจู เ้าทานน้ำตาลเมล็ดสนหรือไม่?”
เจินจูที่เงียบสนิท ยิ้มขึ้นแล้วกล่าว “พี่ชายหูจื่อ ที่บ้านข้ายังมีอีก อันนี้ท่านเก็บไว้ทานเถิด”
“พี่ชายหูจื่อ ท่านทานเร็ว ทานเสร็จแล้วพาพวกเราไปดูธนูกับศรของท่านหน่อย ท่านพ่อบอกว่าท่านยิงโดนกวางตัวหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำ สุดยอดมากเลย” ผิงซุ่นแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงใจด้วยการกล่าวรัวจนเสียงหอบ
“อื้อ ยิงโดนหนึ่งตัว” กล่าวขึ้นมาเช่นนี้ เอวของหวังหรงฟาก็ยืดตรงขึ้นใบหน้าภาคภูมิใจ ดวงตากลับอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเจินจูที่น่ารักและเงียบสงบอยู่ด้านข้าง
“ว้าว พี่ชายหูจื่อเก่งจริงๆ!”
“ว้าว! เยี่ยมไปเลย พี่ชายหูจื่อ!”
พริบตาเดียวหวังหรงฟาก็ได้รับผู้คลั่งไคล้ตัวน้อยที่เลื่อมใสนับถือสองคน
ผังอันกับผิงซุ่นสองคนวนรอบกายเขาแล้วซักไซ้รายละเอียด หวังหรงฟาจึงถือโอกาสกล่าวถึงวีรกรรมที่น่าเป็เกียรติของเขาขึ้น เมื่อจะกล่าวเริ่มต้นก็ชำเลืองมองเจินจูแวบหนึ่ง แต่เจินจูกลับไม่ได้อยู่ที่เดิมนานแล้ว ความกระตือรือร้นที่อยากจะเล่าจึงลดฮวบทันที ท่าทางหมดความสนุกลง
เจินจูมองเห็นลูกสุนัขอ้วนตุ๊ต๊ะหนึ่งตัวจากที่ไกลๆ เคลื่อนไหวอยู่ในลานบ้านส่ายไปส่ายมาไม่นิ่ง ท่าทางเล็กๆ ที่น่ารักนี้ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงดูดความสนใจของนาง
เจินจูจึงวิ่งไปถึงข้างกายมันแล้วพิจารณาอย่างละเอียด เป็สุนัขชนบทสายพันธุ์จีนดั้งเดิม ทั่วตัวมีสีเหลือง สุนัขตัวน้อยจริงๆ น่าจะโตได้เดือนหรือสองเดือน เนื้อนุ่มนิ่มขนฟูๆ น่ารักมากนัก
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของคนแปลกหน้า ลูกสุนัขสีเหลืองจึงเดินมาข้างหน้าดมกลิ่น ราวกับได้กลิ่นบนกายที่โดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดของเจินจู ทันใดนั้นหางเล็กๆ ก็กระดิกอย่างรวดเร็ว เอาแต่เดินไปเดินมารอบตัวนาง ในปากก็ส่งเสียงร้องครางขึ้นมา
“ฮิๆ พวกเ้าเพื่อนตัวน้อยเหล่านี้ บางตัวก็ฉลาดกว่าอีกตัวหนึ่งนัก เหตุใดเ้าจมูกไวเช่นนี้” เจินจูยิ้มแล้วนั่งยองลง เอามือช้อนลูกสุนัขสีเหลืองขึ้นแล้วหยอกล้อ ความรู้สึกในการได้กลิ่นของสัตว์ช่างมหัศจรรย์มากจริงๆ ในกลิ่นที่ซับซ้อนต่างๆ ทั้งหมด สามารถหาสิ่งหนึ่งที่เป็ประโยชน์ต่อตนเองออกมาได้
บ้านของสกุลหวังตั้งอยู่กึ่งกลางสันเขา จะว่าไปแล้วทิวทัศน์ก็ค่อนข้างไม่เลวเลย แม้จะเป็หน้าหนาวใน่ที่หนาวเหน็บที่สุด แต่กลางป่าที่สูงใหญ่ต้นไม้มากมายหนาแน่นก็ยังคงเขียวขจี มองจากข้างบนนี้ลงไป ทั้งหมู่บ้านสกุลหวังสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดอยู่ในดวงตาได้
เจินจูเดินเลียบทางเนินไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย ลูกสุนัขสีเหลืองที่เดินตามอยู่ข้างเท้ากระดิกหางขอความเห็นใจ เจินจูเดินไปได้สองสามก้าวก็หันกลับมาใช้เท้าเย้าแหย่มันเล่นอีกครั้ง
แสงแดดยามเที่ยงตรงส่องผ่านกิ่งก้านใบที่เขียวอุดมสมบูรณ์ เงาแสงแดดที่สาดลงมายังพื้นป่าเกิดเป็แสงลอดรำไร เจินจูใจลอยไปครู่หนึ่ง
นางมาถึงที่นี่จะสามเดือนแล้ว ่ระยะเวลาสั้นๆ นี้ เจินจูราวกับจะปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตที่นี่ทั้งหมดได้แล้ว เมื่อก่อนเอาแต่รู้สึกว่าถ้าห่างจากโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในยุคปัจจุบันเหล่านี้ จะใช้ชีวิตไปได้อย่างไร?
แต่ข้อเท็จจริงได้รับการยืนยันแล้วว่าแม้จะห่างไกลความทันสมัยในยุคปัจจุบันที่สะดวกสบาย ไม่มีพลังไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต การดำรงชีวิตก็ยังผ่านไปได้ตามเดิม
“ท่านพี่ ท่านรีบกลับมา ท่านย่าเรียกหาท่านอยู่นะ” การเรียกหาของผิงอัน ปลุกให้เจินจูตื่นจากความคิดที่วุ่นวาย
“เฮ้อ” คิดมากเช่นนี้ไปทำไมกัน มุมปากของนางฉาบรอยยิ้มขึ้นบางๆ
ที่แห่งความสงบใจแห่งนี้ก็เป็บ้านเช่นกัน...
เชิงอรรถ
[1] สาวโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ หมายถึง รูปร่างและหน้าตาของผู้หญิงเปลี่ยนอยู่ตลอด