ผู่สือและตู้เทียนซิงประหลาดใจยิ่งนักที่ได้ยินเื่นี้ มองฉางชิงจื่ออย่างงวยงง
“เื่นี้พวกเ้าอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ข้าจะมีการตัดสินใจของข้าเอง ต่อไปหากเจอคนพวกนั้นพวกเ้าอย่าได้เข้าใกล้คนเดียวดีที่สุด แจ้งให้ทางสำนักทราบโดยเร็วที่สุด” ฉางชิงจื่อกลับมิ้าพูดถึงเื่นี้ให้พวกเขาฟังมากนัก ถึงแม้สีหน้าเคร่งเครียด แต่สั่งห้ามพวกเขามิให้หุนหันพลันแล่น ดูเหมือนว่าเื่นี้จะสำคัญอยู่มิน้อย
สำหรับจ้านอู๋มิ่งคำพูดของฉางชิงจื่อกลับมีความหมายแตกต่างกันอีกชนิดหนึ่ง จ้านอู๋มิ่งหยีตาลงเล็กน้อย ลอบคิดในใจว่า “ดูแล้ว แต่ละสำนักใหญ่ต่างก็มีตำนานเกี่ยวกับการผู้ฝึกฌานเสริมเติมเต็มชะตาชีวิตตนเองอยู่จริงๆ ต้องคิดหาวิธี สืบทราบข่าวสารคนสองคนนั้นจากทางด้านเ้าสำนัก การฝึกฌานบ่มเพาะพลังชีวิตมีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไปแต่เป้าหมายเดียวกัน หากสามารถได้จิติญญาและธาตุแห่งชีวิตที่สองคนนั้นสะสมมา คิดว่าเคล็ดวิชาพลังอนัตตาของตนจะต้องรุดหน้าหนึ่งก้าวใหญ่ เพียงแต่วิธีการของสองคนนั้นช่างทำลายความสมดุลของฟ้าจริงๆ ถึงแม้ตนจะดูแคลนมิไปกระทำ แต่การแอบปล้นชิงมาก็ถือเป็การพิทักษ์ธรรมแทนฟ้าได้กระมัง” คิดแล้วจ้านอู๋มิ่งลอบตัดสินใจเด็ดขาดแล้วอย่างลับๆ
……
ฉางชิงจื่อนำจิ้งจอกเก้าหางจากไปแล้ว ไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นลมใดๆ ขึ้นมาภายในสำนักบริบาลเดรัจฉาน ฉางชิงจื่อมิ้าให้จ้านอู๋มิ่งถูกม้วนเข้าไปในมรสุมร้าย หากโลกภายนอกทราบว่าจ้านอู๋มิ่งมีพร์เช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว ด้วยพลังที่ต่อต้านสำนักบริบาลเดรัจฉาน พวกมันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดจ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน เื่นี้จึงจำกัดอยู่ที่ฉางชิงจื่อ ผู่สือ ตู้เทียนซิงและบุคคลระดับสูงของสำนักบริบาลเดรัจฉานไม่กี่คนที่ทราบ
ั้แ่นั้นมา สถานะของจ้านอู๋มิ่งในสำนักบริบาลเดรัจฉานสูงส่งมากขึ้น ชนชั้นผู้าุโเมื่อพบจ้านอู๋มิ่งล้วนต้องแสดงความเกรงอกเกรงใจ มิใช่สิ่งใด เนื่องเพราะป้ายสัตว์อสูรสีม่วงทองอันนั้นนั่นเอง
จากนั้นเป็ต้นมา จ้านอู๋มิ่งอยู่ในสำนักบริบาลเดรัจฉานและกลายเป็ราชันปีศาจผู้ชั่วร้ายรบกวนความสุขในแดนดินที่แท้จริง เป็ผู้ที่สามารถสร้างปัญหาอย่างมีเหตุผลเพียงคนเดียว ทุกคนล้วนพูดไม่ออกเกี่ยวกับเื่นี้
โชคดีที่ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะสร้างปัญหา แต่กลับไม่ได้ทำแต่เื่เลวร้าย ถึงแม้จะขึ้นเนินเขาแต่ละแห่งลักพาตัวสัตว์อสูรจิติญญา แต่ก็เพื่อดูดเืเพียงเล็กน้อย ไม่ได้กินเนื้อมันแต่อย่างไร บางครั้งยังเชิญเ้าของสัตว์อสูรจิติญญาไปดูสัตว์ร้ายต่อสู้กัน เ้าของสัตว์อสูรที่ได้รับเชิญมิมาก็ไม่ได้ ถ้าเกิดสัตว์อสูรจิติญญาของตนถูกทารุณกรรมจะทำเช่นไร? ดังนั้นยอดเขาพันใบไม้จึงมักมีคนไปมาอยู่เสมอ บรรยากาศความรู้สึกย่ำแย่เลวร้ายมิค่อยดีนัก
พูดแล้วก็แปลก ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทุกคนที่มายอดเขาพันใบไม้เพื่อดูการต่อสู้ของสัตว์อสูรจิติญญาของตน ล้วนไม่เกลียดชังจ้านอู๋มิ่งอีกต่อไป กลับหวังว่าจ้านอู๋มิ่งสามารถมีเวลาว่างมาลักพาตัวสัตว์อสูรจิติญญาไปอีกสักหลายตัว เนื่องเพราะพวกเขาพบว่า พลังการต่อสู้ของสัตว์อสูรจิติญญาที่ไม่ได้พบกันหลายวันกลับรุดหน้าขึ้นมาอย่างมากมายยิ่ง และสายเืของสัตว์อสูรจิติญญาก็บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งโดยรวมของสัตว์อสูรจิติญญาได้รับการปรับปรุงดีขึ้นมาก ั้แ่นั้นมา ความรู้สึกของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานที่มีต่อจ้านอู๋มิ่งมิใช่ความหวั่นเกรงทั้งหมดอีกต่อไป แต่เป็ความเคารพและเกรงใจแล้ว
มิมีผู้ใดรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ไม่เข้าท่าอีกแล้ว ทุกคนล้วนมองจ้านอู๋มิ่งด้วยสายตาดุจเดียวกับมองปรมาจารย์ ชายหนุ่มผู้นี้ในสายตาของพวกเขา พลันแปรเปลี่ยนเป็ลึกลับยิ่งนักขึ้นมา
ั้แ่นั้นมา ต่างล้วนปฏิบัติต่อทุกๆ คนในยอดเขาพันใบไม้อย่างระมัดระวัง หากวันใดพวกเขาอารมณ์ดีมาลักพาตัวสัตว์อสูรจิติญญาที่นี่จะประเสริฐมากเพียงไร ในเมื่อสามารถปรับปรุงยกระดับให้ดีขึ้นทั้งสายเืและพลังการต่อสู้ทั้งสองอย่าง
วันเวลาของจ้านอู๋มิ่งมิได้ว่างและสุขสบายมากนัก ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก จ้านอู๋มิ่งคือคนที่มิได้ประกอบสัมมาอาชีพคนหนึ่ง ทุกวันรู้จักแต่นำสัตว์อสูรจิติญญามาทำการทดลอง วิจัยค้นคว้าพัฒนาของที่แปลกๆ ออกมาส่วนหนึ่ง ทุกคนกลับไม่ทราบว่า กระบวนการพัฒนาสายเืของสัตว์อสูรจิติญญา และนำยีนหลายตัวของสัตว์อสูรจิติญญาหลายชนิดมารวมเข้าด้วยกัน กระบวนการย้อนทวนหวนสู่บรรพบุรุษเพื่อสร้างชีพจรสายเืของสัตว์เทพเ้าที่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ในสายตาของจ้านอู๋มิ่งก็คือกระบวนการของการบ่มเพาะพลังชีวิตนั่นเอง
ในระหว่างกระบวนการนี้ เขาเห็นแล้วว่าสัตว์อสูรจิติญญาทุกชนิดขาดองค์ประกอบธาตุแห่งชีวิตอะไรบ้าง จึงค่อยๆ เติมเต็มธาตุชีวิตที่บกพร่องของพวกมัน ดังนั้นชีพจรสายเืของพวกมันจึงยิ่งพัฒนาจนบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น แน่นอนสัตว์อสูรจิติญญาบางตัวได้กลายพันธุ์ในกระบวนการเติมเต็มธาตุชีวิต บางครั้งดียิ่งขึ้นหรืออาจย่ำแย่ลง กระบวนการวิวัฒนาการของการเกิดและดับสูญของธาตุแห่งชีวิตอย่างแท้จริงในมือจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เขามีความหยั่งรู้เข้าใจมรรคาแห่งการฝึกฌานบ่มเพาะพลังชีวิตอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
การค้นคว้าทดลองสัตว์อสูรจิติญญา นอกจากสามารถหยั่งรู้เข้าใจมรรคาแห่งการบ่มเพาะพลังชีวิตแล้ว จ้านอู๋มิ่งยังใช้สายเืของสัตว์อสูรจิติญญา ขัดเกลาผันแปรกระดูกสองร้อยหกชิ้นของตนจนเนียนวาววับเหมือนหยกขาวสดใสสะอาดก็มิปาน
วิธีทำการใช้สายเืของสัตว์อสูรจิติญญาขัดเกลาผลัดเปลี่ยนร่างกาย จ้านอู๋มิ่งเรียนรู้จากบันทึกโบราณที่รวบรวมขึ้นโดยสำนักบริบาลเดรัจฉานนั่นเอง
ในโอกาสที่บังเอิญอย่างยิ่ง จ้านอู๋มิ่งได้ค้นพบคัมภีร์ลับ "เคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญา" เล่มหนึ่งที่คนรู้กันน้อยยิ่งนัก ในหอคัมภีร์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เคล็ดวิชาฝึกฝนขัดเกลาร่างกายของสำนักบริบาลเดรัจฉานมีมากมายยิ่ง ที่ฝึกปรือยากที่สุดก็คือเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญานี้ ไม่เพียงเพราะเงื่อนไขในการฝึกปรือเคล็ดวิชานี้เข้มงวดรุนแรงอย่างยิ่งเท่านั้น ยิ่งเป็เพราะว่าการฝึกปรือเคล็ดวิชานี้ต้องผ่านความเ็ปสุดสยดสยองหนักหนาแสนสาหัสยิ่งนัก
การฝึกปรือเคล็ดวิชานี้จำเป็ต้องรวบรวมโลหิตของสัตว์อสูรเก้าสิบเก้าชนิดที่กอปรด้วยสายเืของสัตว์อสูรจิติญญาระดับสัตว์อสูรเทวะขึ้นไป สายเืสัตว์อสูรจิติญญาระดับสัตว์อสูรเทวะประเภทต่างๆ จำนวนยิ่งมาก ผลลัพธ์ของเคล็ดวิชานี้ยิ่งล้ำเลิศ จากนั้นรวมสายเืเก้าสิบเก้าชนิดเป็หนึ่งเดียวเข้ากับร่างกายตนเช่นเดียวกับวิธีการหลอมเม็ดโอสถ หลอมกลั่นขัดเกลาให้ชีพจรสายเืของตนพัฒนายกระดับให้สูงขึ้น คนจำนวนมากเสียชีวิตเนื่องจากการปะทะกันของชีพจรสายเืจนะเิตกตายระหว่างการกลั่นเพื่อหลอมรวม
ตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์อัจฉริยะของสำนักบริบาลเดรัจฉานเสียชีวิตจากการฝึกปรือเคล็ดวิชานี้จำนวนมิน้อย ผู้คนจำนวนมากโอกาสที่จะรวบรวมโลหิตของสัตว์อสูรจิติญญาระดับสัตว์อสูรเทวะเก้าสิบเก้าชนิดให้ครบก็ยังไม่มี เคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญานี้จึงถูกวางไว้บนสุดของชั้นวางของตลอดมา
สาเหตุที่จ้านอู๋มิ่งทราบว่าคัมภีร์ลับนี้อยู่ในสำนักบริบาลเดรัจฉาน เป็เพราะเขามีความทรงจำของชาติภพที่แล้ว เขาทราบว่าเคยมีคนทำให้ร่างกายตนแข็งแกร่งสุดเปรียบปานด้วยเคล็ดวิชาดังกล่าว กายเนื้อเขาแข็งแกร่งมากจนกระทั่งแม้แต่เทพศาสตราก็ยังทำอะไรกายเนื้อของเขาไม่ได้ จ้านอู๋มิ่งในชาติภพนี้กายเนื้อจิติญญาหลอมรวมฝึกฌานบ่มเพาะร่วมกัน คิด้าบรรลุจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์และสำเร็จเคล็ดวิชาคัมภีร์เทพอนัตตา เขาจะปล่อยให้คัมภีร์เคล็ดวิชาลับนี้ผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นก่อนถึงการคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกาย เขามองในแง่ดีมากสำหรับสำนักบริบาลเดรัจฉาน ต่อมาการปรากฏตัวของเลวี่ยเหวินซิวทำให้เื่ราวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกสำนักบริบาลเดรัจฉานก็คือ เขา้าหาคนที่โชคชะตาเก้าเป็เก้าตาย คนผู้นี้อยู่ในแคว้นมหาจักรพรรดิรัตติกาล หากเป็ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้ว การตามหาคนก็จะสะดวกมากขึ้น ก่อนเข้าสู่อาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียน เขาจะต้องเปลี่ยนชะตาชีวิตย้อนทวนฟ้าให้หลิ่วหว่านอวี๋ก่อน ท่ามกลางความมืดมิด เขารู้สึกว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว บางทีอาจเป็พลังลึกลับอีกอย่างหนึ่งก็ได้
ยามที่เขาเห็นสองคนนั้นรวบรวมิญญากลิ่นอายมรณะในสนามรบ มีความรู้สึกเหมือนคนที่เคยรู้จักชนิดหนึ่ง หวนคิดถึงชาติภพที่แล้ว เขาพบว่าชะตาชีวิตของคนมากมายหลายคนมิใช่เป็เช่นนี้ กลับถูกผลักมาที่ตำแหน่งนี้ด้วยมือใหญ่ข้างหนึ่ง ขณะเขาเข้าใจมรรคาการบ่มเพาะพลังแห่งชีวิตลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ก็พอจะเริ่มจับวิถีทางนั้นได้อย่างเลาๆ บ้างแล้ว ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนในชาติภพที่แล้ว ล้วนถูกเชือกที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งร้อยเชื่อมเข้าด้วยกัน ผลักดันตนเข้าไปสู่จุดสูงสุดทีละก้าวๆ ชักนำตนทีละขั้นเพื่อบรรลุดวงชะตาเจ็ดพิฆาตโดยสมบูรณ์ทีละก้าวๆ สุดท้ายโม่เทียนจีกลายเป็คนผู้นั้นที่เก็บเกี่ยวผลลัพธ์จากตน……
มองย้อนกลับไปในเวลานี้ เขาประหลาดใจที่พบว่าชะตาชีวิตของตัวเองถูกกำหนดโดยคนอื่นเสมอมา คนผู้นั้นผลักตนเองมุ่งไปข้างหน้า และเดิมตนเองมิใช่สมควรที่จะไปทำเช่นนั้น
ท่ามกลางระหว่างฟ้าดิน มีคนเร้นลับสุดหยั่งคาดเช่นนั้นกลุ่มหนึ่ง เป็คนที่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง พวกมันก็คือคนที่ฝึกฌานเสริมเติมเต็มชะตาชีวิตตนเอง คนพวกนี้จะคอย่ชิงธาตุแห่งชีวิตของผู้อื่นตลอดเวลา กลืนกินโชคชะตาของผู้อื่น เพื่อส่งเสริมความสำเร็จของตนเอง ตนเองทะลุทะลวงด่านก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ ผู้ที่พัฒนาบรรลุถึงจุดสูงส่งจะหล่อเลี้ยงบุคคลที่เหมาะสมที่สุด สามารถหลอมรวมเสริมเติมเต็มโชคชะตาของตนเอง คอยผลักดันเขาไปสู่โชคชะตาที่สมบูรณ์แบบทีละก้าวๆ ถึงเวลานั้นค่อยหยิบฉวยไป เพื่อจะสามารถทะลุทะลวงขีดจำกัดจนสำเร็จบรรลุตำแหน่งของเทพเ้าในที่สุด
โม่เทียนจีในชาติภพก่อนหน้านี้ก็คือบุคคลเช่นนี้ แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งในชีวิตนี้มิใช่หุ่นเชิดในมือของตระกูลม่อชาติภพก่อนอีกต่อไป
การซ่อนเร้นงำประกายของเขาใน่กว่าสิบปีที่ผ่านมาทำให้ผู้คนงวยงงสับสน ไม่เป็จุดสนใจของผู้ฝึกฌานเสริมเติมชะตาชีวิตตนเอง เวลาที่เขาจะแสดงศักยภาพก็คือเวลาที่เขาทะยานขึ้นฟ้าอย่างฉับพลัน ผู้ฝึกฌานเสริมเติมชะตาคิดควบคุมเ่าั้ยังมิทันได้เข้าใกล้ ตนก็หลุดพ้นจากการควบคุมไปแล้ว ดังนั้นจวบจนกระทั่งเวลานี้ ผู้ฝึกฌานเสริมเติมชะตาเ่าั้ก็ยังมิได้มาหาตน
หากในสถานการณ์ที่ตนฝึกฌานเสริมเติมชะตาตนเองก่อนก้าวหนึ่ง สุดท้ายเปลี่ยนเป็ตนเองกลืนกินผู้ฝึกฌานเสริมชะตาที่สามารถหลอมรวมเสริมเติมเต็มให้โชคชะตาตน จะเป็โอกาสวาสนาที่ตนจะทะลุทะลวงขีดจำกัดหรือไม่?
……
ค้นพบเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือรวบรวมโลหิตของสัตว์อสูรจิติญญาระดับสัตว์อสูรเทวะเก้าสิบเก้าชนิดให้ครบ ่เวลานี้ของจ้านอู๋มิ่ง ูเาแทบทั้งหมดของสำนักบริบาลเดรัจฉานถูกค้นหาเกือบทั่วแล้ว ถึงแม้หนึ่งแสนมหาบรรพตหนึ่งแสนยอดเขาจะพูดเกินจริงไปหน่อย แต่จำนวนยอดเขาหลายหมื่นนั้นก็ยังมีอยู่ เงื่อนไขข้อเรียกร้องของเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญาค่อนข้างสูง รวบรวมให้ครบยากยิ่งนัก แต่ว่าจุดแข็งที่สุดของจ้านอู๋มิ่งก็คือสามารถวิวัฒนาการสายเืของสัตว์อสูรจิติญญาได้ ใช้แนวทางการเสริมธาตุแห่งชีวิตทำให้ธาตุแห่งชีวิตของสัตว์อสูรจิติญญาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่งเสริมสายเืพวกมันให้วิวัฒนาการมากขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็กลายเป็สัตว์อสูรสายเืบริสุทธิ์ระดับสัตว์อสูรเทวะ ในเวลานี้จ้านอู๋มิ่งก็จะนำโลหิตของสัตว์อสูรออกมา ่เวลานี้เขาเก็บโลหิตของสัตว์อสูรจิติญญาได้ครบหนึ่งร้อยแปดตัวแล้ว โลหิตของสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนานกลับมีถึงสิบแปดชนิด
จ้านอู๋มิ่งไม่ได้อาศัยเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญาทั้งหมดมากลั่นผันแปรกายเนื้อ ท่ามกลางสายเืเหล่านี้เขาได้ค้นพบวิธีการเสริมเติมเต็มที่ดีกว่าชนิดหนึ่ง นั่นคือใช้พลังธาตุแห่งชีวิตในสายเืเหล่านี้แปรเปลี่ยนเติมเต็มเป็พลังธาตุแห่งชีวิตตนเอง เขาไม่เพียงดูดซับพลังแก่นแท้ของเืเท่านั้น ยังใช้เคล็ดวิชาคัมภีร์เทพอนัตตาหลอมรวมโชคชะตาโดยกำเนิดของสัตว์อสูรเหล่านี้เข้ากับโชคชะตาของตนเอง เพื่อทำให้โชคชะตาและพรหมลิขิตของตนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เวลานี้จ้านอู๋มิ่งสามารถทะลวงด่านเป็ราชันาได้ทุกเมื่อ สำหรับคนอื่นๆ สิ่งที่ขาดแคลนในการทะลวงด่านมิใช่แค่การสะสมพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือขาดการหยั่งรู้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีมากที่สุดสำหรับจ้านอู๋มิ่งก็คือการหยั่งรู้ ถ้าหากมิใช่ข้อจำกัดสืบเนื่องจากโชคชะตาและพลังธาตุชีวิต ขอเพียงปริมาณพลังมากเพียงพอ เขาสามารถทะลวงด่านบรรลุเทพเ้าาได้โดยตรง หากมีพลังธาตุแห่งชีวิตมากเพียงพอ เขาสามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าอย่างง่ายดายและบรรลุร่างแก่นแท้จิติญญา และทลายนภาเหินหาวสู่เบื้องบน
แต่เวลานี้ จ้านอู๋มิ่งไม่้าทะลวงด่านทันที อาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียนสำหรับเขาแล้วเป็โอกาสวาสนาอันสำคัญยิ่งยวด พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไม่ทะลวงมิหมายความว่าพลังการต่อสู้จ้านอู๋มิ่งจะหยุดชะงัก เขาสามารถขัดเกลาผันแปรกายเนื้อแข็งแกร่งในระดับขอบเขตที่สูงขึ้น ดังนั้นเขาจึงกักตนปิดด่านอาศัยเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญาปรับแต่งกระดูกทั้งตัวให้แข็งแกร่งสมบูรณ์ ตลอดจนชะล้างกลั่นเส้นชีพจรภายในร่างกายซ้ำเพื่อยกระดับพลังอีกครั้ง
……
หลังจากทำให้สำนักบริบาลเดรัจฉานวุ่นวายไปหมดนานถึงสี่เดือน ในที่สุดจ้านอู๋มิ่งก็หยุดลงชั่วขณะหนึ่ง สำนักบริบาลเดรัจฉานที่สงบลงกะทันหันทำให้หลายคนกลับรู้สึกมิคุ้นเคย ทุกคนเริ่มคิดถึงจ้านอู๋มิ่ง กีฬาการต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่เริ่มต้นโดยจ้านอู๋มิ่งได้กลายเป็กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสำนักบริบาลเดรัจฉาน ซวินคงคง ผู้าุโคุ้มกฎรู้สึกศีรษะพองโตแล้ว ในสำนักบริบาลเดรัจฉานเริ่มเกิดกระแสนิยมวางเดิมพันเล่นการพนันขันต่อกันขึ้นมา มีศิษย์บางคนเสพติดการเล่นพนัน จนละเลยการฝึกปรือบ่มเพาะพลัง ดังนั้นผู้าุโเฒ่าคงคงจึงเล่นบทโหดสั่งลงโทษศิษย์ที่ติดพนันการต่อสู้ของสัตว์ร้ายอย่างหนักหลายคน ให้นั่งหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกตน กระแสนิยมการเล่นพนันการต่อสู้ของสัตว์ร้ายจึงค่อยเบาบางลงบ้าง อย่างน้อยที่สุดภายในสำนักน้อยลงแล้ว ส่วนนอกสำนักนั้น ทุกคนได้แต่เพียงลืมตาข้างหลับตาข้างแกล้งทำเป็มิเห็นแล้ว
มีครั้งหนึ่งผู้าุโเฒ่าคงคงแวะไปผาสำนึกตนดูสภาพของศิษย์หลายคนที่ถูกลงโทษ กลับต้องโมโหจนแทบเป็ลม ด้านหน้าของผาสำนึกตน ศิษย์ที่สั่งลงโทษให้นั่งหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกตนกำลังเล่นจิ้งหรีดต่อสู้กันอยู่ที่นั่น ะโโหวกเหวกเสียงดังลั่น ที่แท้พวกผีพนันไม่กี่คนกลับทำให้กลุ่มคนในผาสำนึกตนไปเกี่ยวข้องกับมันด้วย ดังนั้นผาสำนึกตนของสำนักบริบาลเดรัจฉานจึงถูกยกเลิกไป การลงโทษนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกตนให้ขังไว้ในถ้ำหินหนึ่งคนต่อถ้ำหินหนึ่งแห่ง มิสามารถพบกับคนอื่นๆ
แน่นอน เื่ราวทั้งหมดนี้จ้านอู๋มิ่งมิทราบ เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาดื่มด่ำอยู่กับความตื่นเต้นความเป็ความตายในเคล็ดวิชาผลัดกายาเปลี่ยนหมื่นิญญา…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้