“ความผิดข้อที่สอง เ้าคงเจอคนในหมู่บ้านระหว่างทางไปเชิญหมอใช่หรือไม่? เ้าทั้งไม่ได้บอกให้ใครไปตามต้าเกอ ทั้งไม่ได้บอกพวกคนที่โวยวายให้จับข้าถ่วงน้ำว่าเอ้อร์เกอของเ้ายังไม่ตาย พูดแค่นี้จะเสียเวลาขนาดไหนกัน? เจียงหงหนิง ไม่ว่าข้าจะมาอยู่บ้านพวกเ้าได้อย่างไร ข้าเองก็เป็มนุษย์คนหนึ่ง เหมือนเ้า เหมือนต้าเกอเ้า เหมือนเอ้อร์เกอของเ้า เป็มนุษย์ผู้มีชีวิต นอกจากเ้าจะเกือบทำเอ้อร์เกอตัวเองตายแล้ว ยังเกือบทำข้าตายด้วย เจียงหงหนิง นี่เป็ชีวิตคนถึงสองชีวิต ไม่ใช่ชีวิตหมาแมวที่ไหน”
“ความผิดข้อที่สาม เ้าไม่ได้ขอโทษข้า เ้าขาดการอบรมขั้นพื้นฐานที่สุด ทำผิดแต่ไม่กล้าแม้แต่จะรับผิดชอบ”
หลินหวั่นชิวไม่ได้มองเจียงหงหนิงเป็เด็กสักนิด ถ้อยคำที่นางใช้รุนแรงมาก รู้สึกว่ากลองดังจำเป็ต้องตีให้แรง
เห็นชัดว่าเจียงหงหนิงไม่คิดว่าหลินหวั่นชิวจะพูดแบบนี้ เขายืนอึ้งอยู่หน้าประตู นึกถึงคำที่นางพูด
ที่นางพูด…เหมือนจะมีเหตุผล
แต่ให้ขอโทษนาง…เจียงหงหนิงรู้สึกว่าทำไม่ลง
สำหรับเขาแล้ว หลินหวั่นชิวเป็แค่ผู้หญิงที่พี่ใหญ่ซื้อกลับมา อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่านางจะหนีหรือเปล่า
หลินหวั่นชิวไม่สนว่าเจียงหงหนิงจะคิดอย่างไรอยู่แล้ว อะไรที่ควรพูด นางก็พูดไปหมดแล้ว เด็กคนนี้จะเข้าใจและเปลี่ยนนิสัยได้หรือไม่ นางไม่บังคับอยู่แล้ว
เพราะถึงอย่างไรนางก็มีเวลาให้ค่อยๆ ทำความรู้จัก
อาหารทำเสร็จแล้ว เจียงหงหย่วนกลับมาจากข้างนอกแล้วเช่นกัน
“ต้าเกอ” เจียงหงหนิงเดินเข้าไปรับ ยื่นมือไปรับสัตว์ที่ล่าได้จากมือเขา มีไกู่เาสองตัวกับกระต่ายป่าสามตัว
แต่เจียงหงหย่วนไม่สนใจเขา เดินผ่านเข้าไปในครัว
เจียงหงหนิงน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ เขาเม้มปาก ไม่กล้าร้องออกมา ได้แต่หยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดลานบ้าน
“หอมจังเลย” เจียงหงหย่วนวางสัตว์ที่ล่ามาได้ไว้ข้างเตา ดมกลิ่นหอมที่ลอยออกจากหม้อแล้วพูด
“ข้าจะไปต้มยาให้หงป๋อ จริงสิ ข้าวของหงป๋อ ท่านเป็คนเอาเข้าไปให้เองได้หรือไม่?” หลินหวั่นชิวตักโจ๊กข้าวโพดสี่ชามอย่างรวดเร็วแล้วใส่ขนมเปี้ยะขอบหม้อลงในชามใบใหญ่ จากนั้นจึงหันไปต้มยาให้เจียงหงป๋อ
“ได้ ข้าจะเอาข้าวไปให้เด็กสองคนก่อน” แม้เจียงหงหย่วนจะทำหน้าบึ้งตึง แต่น้ำเสียงมีความปลาบปลื้มยินดี
ความรู้สึกที่กลับบ้านมาแล้วมีอาหารร้อนๆ เตรียมรอ มีเมียตัวน้อยยุ่งอยู่กับงานต่างๆ นี่ช่างเป็ความรู้สึกที่ดีจริงๆ
“กินข้าว” เจียงหงหย่วนออกจากห้องครัวไปเรียกเจียงหงหนิง นำอาหารสำหรับสองคนเข้าไปวางในห้องพวกเขาเสร็จก็ออกมา ไม่แม้แต่จะมองเจียงหงป๋อ
“ต้าเกอ…” เจียงหงป๋อตาแดง ร้องเรียกใส่แผ่นหลังเจียงหงหย่วนเบาๆ
น่าเสียดาย เจียงหงหย่วนไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามอง
เจียงหงป๋อเสียใจมาก ครั้งนี้ต้าเกอ…คงโกรธแล้วแน่ๆ
“เอ้อร์เกอ ต้าเกอไม่สนใจพวกเราสองคนแล้ว” เจียงหงหนิงกลับเข้าห้องมาพูดกับเจียงหงป๋อหน้าม่อยคอตก
เจียงหงป๋อยิ้มขมขื่น “เอ้อร์เกอทำให้เ้าเดือดร้อน กินข้าวเถอะ ต้าเกอใจอ่อน ไม่กี่วันก็หายโกรธแล้ว”
“อื้ม” เจียงหงหนิงขานรับ มองโจ๊กเหนียวข้นบนโต๊ะกับขนมเปี้ยะที่เห็นชัดว่าใส่แป้งหมี่เยอะมาก คิ้วขมวดแน่นเป็ปม
“ผู้หญิงคนนี้ฟุ่มเฟือยจริงๆ ใช้เสบียงเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร บ้านพวกเรา…”
“หงหนิง!” เจียงหงป๋อส่งเสียงหยุดเขา “รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก
“เื่นี้เ้าไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวข้าไปคุยกับต้าเกอ” เจียงหงป๋อเสริมขึ้นอีกประโยคก่อนที่จะกินข้าว
เขารู้สึกอบอุ่นทั้งตัวเมื่อโจ๊กข้าวโพดที่ทั้งร้อนทั้งข้นไหลลงท้อง ส่วนขนมเปี้ยะ เนื่องจากใส่แป้งหมี่เยอะจึงไม่ได้บาดคอเหมือนขนมเปี้ยะธัญพืชที่กินเมื่อก่อน
อาหารเช้ามื้อนี้ทำให้เขากับเจียงหงหนิงทั้งสบายตัว แต่กลับไม่สบายใจและเสียดาย
ภายในห้องครัว เจียงหงหย่วนยกชามใบใหญ่ขึ้นดื่มโจ๊กข้าวโพดจนหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กินขนมเปี้ยะคำโตสองสามชิ้นแล้ววางตะเกียบลง
มองเมียตัวน้อยดื่มคำเล็กๆ กัดคำน้อยๆ เห็นแล้วอยากจะอมปากเล็กๆ ของนางจริงๆ
“กินเยอะหน่อย” เจียงหงหย่วนกำชับ
หลินหวั่นชิวรู้ว่าตัวเองกินได้แค่ไหน นางพูดกับเจียงหงหย่วนว่า “ข้ากินขนมเปี้ยะชิ้นเดียวก็พอแล้ว สองชิ้นนี้ท่านกินเถอะ” งานของเขาต้องใช้แรง ควรกินให้มากๆ
ตอนนี้เจียงหงหย่วนเป็ที่พึ่งของนาง จะปล่อยให้หิวโซไม่ได้
ใจของเจียงหงหย่วนที่รู้สึกว่าถูกเมียตัวน้อยเป็ห่วงพลันมีดอกไม้บาน “ข้าอิ่มแล้ว เ้ากินเถอะ กินเยอะจะได้มีเนื้อ ไม่เช่นนั้นวันหน้าอาจรับแรงข้าไม่ไหว”
หลินหวั่นชิว “…”
ไอ้คนไร้ยางอายนี่พูดดีๆ บ้างไม่เป็หรือ?
นางกัดขนมเปี้ยะอย่างโมโห คิดว่ามันเป็เจียงหงหย่วนและเคี้ยวเต็มแรง ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำภายในพริบตา
แดงเหมืองผิงกั่ว [1] สุก ทำเอาเจียงหงหย่วนต้องกลืนน้ำลาย อยากกระโจนเข้าไปกัดสักคำสองคำ
แต่เขาว่านางจะกลัว หากใหนีขึ้นมาจะทำอย่างไร อดทนรอไว้ก่อน คอยลวนลามด้วยปากก็ไม่เลว
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวสำลัก สัตว์ที่ล่ามาได้พวกนี้คงไม่เอาไปขายแล้ว เ้าคิดจะทำอย่างไรกับพวกมัน?” เจียงหงหย่วนถามนางด้วยสีหน้าจริงจัง ประหนึ่งคำพูดเมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากปากเขา แต่เป็คำที่หลินหวั่นชิวจินตนาการขึ้นมาเอง
หลินหวั่นชิวคิดไปคิดมาแล้วตอบว่า “ไก่ป่าเก็บไว้หนึ่งตัว เชือดมาต้มน้ำแกงบำรุงเด็กทั้งสองหนึ่งตัว กระต่ายป่าพวกเราเก็บไว้กินหนึ่งตัว อีกสองตัวที่เหลือให้จ้าวสุ่ยเซิงกับหวางฟู่กุ้ยดีไหม” สองคนนี้เรียกเจียงหงหย่วนว่าพี่ชาย ในฐานะที่ตอนนี้นางเป็เมียของเจียงหงหย่วน จะให้เรียกสองคนนั้นว่าพี่ชายคงไม่เหมาะ
หลินหวั่นชิวรู้สึกขอบคุณสองคนนั้นมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาคนหนึ่งไปตามเจียงหงหย่วน คนหนึ่งอยู่ช่วยพูดให้นาง ไม่แน่ว่าตอนนี้นางคงถูกถ่วงน้ำตายไปแล้ว
“ได้ ข้าก็ว่าจะทำแบบนี้เช่นกัน เดี๋ยวให้หงหนิงเอากระต่ายไปให้พวกเขา” เจียงหงหย่วนดีใจมากที่หลินหวั่นชิวคิดแบบนี้ นี่หมายความว่านางใส่ใจเด็กสองคนนั้นและรู้จักตอบแทนน้ำใจ
“เอ่อคือ นายพรานเจียง…”
“ฮึ่ม…” น้ำเสียงเจียงหงหย่วนเปลี่ยนไป หลินหวั่นชิวกลัวขึ้นมาทันที “เอ่อ…หย่วน…หย่วนเกอ”อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นต้องก้มหัว ก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร
หลินหวั่นชิวเตรียมใจไปด้วย พูดกับเจียงหงหย่วนไปด้วย “ข้าอยากได้หนังกระต่าย!”
เจียงหงหย่วนพยักหน้า “ได้ ข้าเชือดกระต่ายแล้วค่อยให้หงหนิงเอาไปส่งพวกเขา”
สำเร็จ!
ผู้ชายคนนี้นอกจากจะปากร้ายและหน้าตาน่ากลัวไปหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรไม่ดี นางแค่บอกว่าอยากได้หนังกระต่าย ไม่ได้บอกว่าเอากี่ผืน เจียงหงหย่วนก็ตัดสินใจเชือดกระต่ายทั้งหมดเพื่อเอาหนังให้นาง
อีกทั้งเมื่อวานก็ยังเชื่อใจนางแบบไม่มีหลักการ ไม่มีเงื่อนไข ปกป้องนาง…
หลินหวั่นชิวไม่ใช่คนไร้น้ำใจ ไร้คุณธรรม ต้องซาบซึ้งอยู่แล้ว
เจียงหงหย่วนพูดแล้วก็ลงมือทำเลย แต่ตอนที่หลินหวั่นชิวเห็นเขาเชือดไก่ปล่อยเื นางรีบพูดขึ้นว่า “หย่วนเกอเก็บเืไว้ก่อน” พูดจบก็ผสมน้ำเกลือลงในชามใบใหญ่ ให้เจียงหงหย่วนปล่อยเืลงในชาม
เชิงอรรถ
[1] ผิงกั่ว 苹果 หมายถึง แอปเปิ้ล