นางไม่เคยเห็นหรงซิวเป็เช่นนี้
อวิ๋นอี้ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และในขณะนั้นเอง การกระทำของนางก็ดึงดูดความสนใจของหรงซิว เขากวาดสายตาที่เฉียบคมมามองนาง
อวิ๋นอี้ตัวสั่น “ฝ่า... ฝ่าา จะทำกระไรเพคะ?”
นางมิได้ทำกระไรผิดเลยนี่ เขาดุเช่นนั้นคิดจะทำการใด!
หรงซิวเลิกคิ้ว ยิ้มเล็กน้อย ไม่นานความเศร้าโศกบนใบหน้าก็หายไป ราวกับเปลี่ยนหน้าได้อย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นอี้มองการเปลี่ยนแปลงของเขา จึงเกิดความสงสัยมากขึ้นว่า "ข้าถามเพคะ! พูดสิ!"
"มิมีกระไร" หรงซิวยื่นมือใหญ่ของเขาออกมา วางลงบนหลังมือของนาง "เมื่อครู่ข้าแค่คิดถึงเื่กระไรบางอย่าง”
“อ๋อ” อวิ๋นอี้พยักหน้า ในเมื่อเขาไม่อยากพูด นางก็ไม่อยากฟัง
บนเวทียังคงร้องแสดง เครื่องดนตรีหลากหลายยังเล่นไป บุรุษวัยแรกรุ่นสามคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันได้เติบโตขึ้นใน่ดินแดนก็กำลังโกลาหล บุรุษสามคนมีความสนใจที่คล้ายกันและเข้าร่วมกองทัพ ตั้งใจจะใช้ความคะนองในสนามรบ
ในเวลานั้น บทสนทนาใต้เวทีก็ค่อยๆ ดังขึ้น
หลายคนประหลาดและใ เพราะเห็นว่าตัวเอกในละครเื่นี้คืออวิ๋นเส่าต้าว
อวิ๋นอี้สงสัยเมื่อได้ยินเื่ซุบซิบกัน นางใช้ขาเขี่ยหรงซิว แล้วถามว่า "แล้วตัวละครหลักอีกสองตัวเล่าเพคะ?"
"คนหนึ่งคือองค์ฮ่องเต้"
"แล้วอีกคนเล่า?" อวิ๋นอี้จ้อง
“ท่านพ่อข้า”
อวิ๋นอี้อึ้งไปทันที ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง
เื่พ่อของหรงซิว นางเคยได้ยินเซียงเหอพูดถึงมาก่อน
ท่านพ่อของหรงซิวชื่อหรงอี้เจิน เป็แม่ทัพที่มีชื่อเสียงแห่งราชวงศ์ต้าอวี่ ฝีมือการต่อสู้ของเขาสุดยอดนัก สุดยอดขนาดไหนนะหรือ? ขนาดที่ทหารของศัตรูได้ยินชื่อท่านพ่อของเขา ก็ต้องรีบถอยทัพ าไม่ทำแล้ว ไม่ต่อสู้ เพราะอย่างไรก็สู้ไม่ชนะอยู่ดี
ราชวงศ์ต้าอวี่ที่มีหรงอี้เจิน ดินแดนที่อยู่รอบๆ ถูกตีจนไม่กล้าจะเหิมเกริม
แต่ว่าหรงอี้เจินคนนี้ ชะตากรรมของเขาน่าจะไม่มีลาภในการเสวยสุข เขาทำให้ดินแดนสงบสุขได้ จนไม่ต้องทำาอีกแล้ว แต่เขากลับโชคร้ายติดโรคระบาดที่น่ากลัวในขณะนั้น จนทำให้ต้องตายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น
หรงอี้เจินสิ้นไป เหลือไว้เพียงแค่ชายาผู้สง่างามและหรงซิววัยสิบสองย่างสิบสาม
จากนั้นหลังจากที่ท่านพ่อเสียไปไม่นาน ในวันหนึ่งหรงซิวก็ตื่นขึ้นมาและพบว่า ท่านแม่ได้หายตัวไป เขาตามหาไปทั่ว และพบว่าท่านแม่ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้
อวิ๋นอี้คิดไปไกลโดยไม่รู้ตัว ในตอนที่ได้สติกลับมาอีกครั้ง นางมองหรงซิวด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ชีวิตของบุรุษผู้นี้ค่อนข้างน่าสงสาร
บนเวทียังคงแสดงไปอย่างเข้มข้น หรงซิวดูอย่างตั้งใจ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา อวิ๋นอี้เข้าใจแล้วว่า ทำไมเขาถึงมีท่าทีดุร้ายเช่นนั้นเมื่อครู่นี้
เป็ไปได้ว่า เขาคิดถึงท่านพ่อที่โชคร้ายผู้นั้น และท่านแม่คนที่ทิ้งเขาไป
นางรู้สึกได้ว่าเขากำลังเศร้า ในฐานะพันธมิตรด้านการกระชับความสัมพันธ์ อวิ๋นอี้ตบหลังมือเขาแล้วพูดปลอบโยนว่า "หรงซิว อย่าคิดถึงอดีตเลยเพคะ มิต้องกังวลไป"
หรงซิวได้ยินเช่นนั้น ก็หันมองหน้านางอย่างจริงจัง ยิ้มแล้วพูดว่า "เ้าจะไม่มีวันทิ้งข้าไป ใช่หรือไม่?"
"ไม่เพคะ" อวิ๋นอี้พูดให้ถูก ยิ้มเยาะ "หากข้าจะจากไป ข้าจะบอกฝ่าาก่อนเพคะ จะไม่หนีออกไปอย่างแน่นอน”
หรงซิวหัวเราะเ็า ดึงมือออกมา แล้วพูดเคืองๆ “มิได้รู้สึกถึงการปลอบโยนเลยสักนิด”
อวิ๋นอี้ยิ้มหัวเราะและตบหลังเขา "ต้องเข้มแข็งเพคะ!"
"......"
ละครดำเนินไปเพียงครึ่งชั่วยาม เื่ทั้งเื่ล้วนพูดถึงความภาคภูมิใจในสนามรบของบุรุษ
แน่นอนว่ามีเสียงปรบมือดังสนั่นเมื่อสิ้นสุดการแสดง ทุกคนต่างก็เยินยออวิ๋นเส่าต้าวมากขึ้นอีก
และงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ อาหารถูกนำขึ้นโต๊ะทีละโต๊ะ ดูน่ากินและช่างเย้ายวนใจนัก น้ำลายของความกระหายของอวิ๋นอี้แทบจะไหลลงมา
“ทานช้าๆ มิต้องรีบร้อน” หรงซิวคีบอาหารให้นาง “มิมีผู้ใดแย่งเ้าทาน”
นางทานเรื่อยๆ จนแก้มป่องขึ้น ยิ่งดูยิ่งน่ารัก
มีอาหารอร่อยๆ อยู่ อวิ๋นอี้ก็อารมณ์ดีขึ้น
จนกระทั่ง ซูเมี่ยวเออร์เข้ามาคุยกับหรงซิว "ฝ่าาคิดว่าละครเื่นี้เป็อย่างไรบ้างเพคะ?"
"ดีมาก" เขาตอบอย่างเฉยเมย "ขอบคุณเ้าด้วย"
"ขอเพียงแค่ฝ่าาชอบเพคะ" ซูเมี่ยวเออร์พูด "เมี่ยวเออร์กลับกังวลว่ามันจะทำให้ฝ่าาคิดถึงเื่น่าเศร้าเสียอีกเพคะ!”
หรงซิวหัวเราะ "ถึงเป็เช่นนั้นแล้วมันเกี่ยวกระไรกับเ้า? ข้าจะเป็อย่างไร มีเพียงแค่อวิ๋นเออร์ใส่ใจเท่านั้นเป็พอ คุณหนูซูมิต้องยุ่งเสียจะดีกว่า"
คำนี้ทำให้อวิ๋นอี้ปลื้มใจยิ่งนัก
ซูเมี่ยวเออร์โปะหน้าให้หนาอย่างไร ก็มิอาจจะกลบเกลื่อนหน้าเสียของนางได้ นางไม่พูดกระไรสักคำอยู่นาน ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทาน
อวิ๋นอี้มองหน้านางหลายครั้งโดยไม่ปิดบังรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเลย
เพื่อเป็การชื่นชมพฤติกรรมของหรงซิว นางจึงคีบน่องไก่ให้เขา "ฝ่าาทานสิเพคะ บำรุงร่างกาย"
หรงซิวหัวเราะ เข้าไปใกล้แล้วพูดขึ้นข้างหูของนาง "ข้า...ปวกเปียกหรือ?”
คำพูดของเขามีความหมายแฝง น้ำเสียงคลุมเครือทำให้แก้มนางร้อน อวิ๋นอี้รีบมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ ก็รีบหยิกเอวของเขาอย่างแรง "ทานดีๆ เพคะ ท่านปวกเปียกหรือไม่ ฝ่าาไม่รู้ตัวเองหรือ?”
“ข้ามิรู้จริงๆ” หรงซิวพูดอย่างจริงจัง “อวิ๋นเออร์ รู้หรือไม่?”
อวิ๋นอี้ทำหน้านิ่ง กลอกตาขาวให้เขา “ใช่เพคะ ปวกเปียกมาก”
“จริงหรือ? แต่ข้าคิดว่าข้าก็พอตัวหนา คืนนี้เรามาลองกันดีหรือไม่?”
อวิ๋นอี้มองเขาอย่างประหลาดใจ เมื่อคิดถึงภาพกิจกรรมในคืนนั้น นึกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในทุกเช้า น่องไก่ที่คีบอยู่ก็ร่วงหล่นจากตะเกียบ นางกระแอมเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนคำพูด "แข็งแรงมากเพคะ ไม่ปวกเปียก ข้าจำผิดไปเอง"
"กระนั้นยิ่งต้องลอง"
"......"
อวิ๋นอี้รู้ว่าเขาจงใจ จึงกระทืบเท้าของเขาใต้โต๊ะ
เมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจึงโยกหัวอย่างมีความสุขและทานต่อไป
หลังจากงานเลี้ยงกินเวลาไปกว่าสองชั่วยาม เหล่าขุนนางหลายคนก็แยกย้ายกันกลับไป แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่รออยู่เพื่อผูกมิตรและรอปีนแข้งขา
หรงซิวเป็องค์ชาย แม้จะไม่ได้ดูแลอำนาจทางการทหารและจัดการเื่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เขาก็เป็เชื้อพระวงศ์ เขาสามารถพูดกับองค์ฮ่องเต้ได้ ดังนั้นเขาจึงมีผู้คนเข้ามารายล้อมจะตามประจบเช่นเดียวกัน
อวิ๋นอี้ยืนอยู่ข้างเขา อยู่ด้วยยิ้มจนหน้าเกร็ง จึงหาข้ออ้างไปพักผ่อนในห้อง
หลับไปทีพระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว
เมื่อนางตื่นขึ้นเบื้องหน้าก็ดำสนิท ขนาดที่ว่ายื่นมืออกไปก็มองไม่เห็นห้านิ้ว อวิ๋นอี้เรียกเซียงเหอ แต่ก็ไม่มีใครเข้ามา นางขยับตัว แล้วััเข้ากับผนังเนื้อที่อบอุ่น
“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาใกล้
อวิ๋นอี้ได้ยินว่าเป็หรงซิว ความกังวลก็คลายลง นางโดนตัวเขาในผ้าห่ม "ฝ่าาเข้ามาเมื่อใดเพคะ?"
"สักพักหนึ่งแล้ว" หรงซิวเข้ามาจากข้างหลัง กอดเอวนางไว้ "นอนอิ่มแล้วหรือ?"
"เพคะ..." นางอึดอัดนิดหน่อยที่โดนกอด จึงผลักเขาออก "ฝ่าาปล่อยสิเพคะ ข้าจะลุกแล้ว"
คงเป็เพราะว่าอยู่ในจวนของมหาเสนาบดี หรงซิวไม่กล้าทำการใดพลการ หลังจากที่กอดจนพอใจ ทั้งสองคนก็ลุกขึ้น
หรงซิวบอกนางว่าอวิ๋นเส่าต้าวได้จัดงานเลี้ยงเหล้าในห้องโถง ให้พวกเราไปหา
ทั้งสองเดินผ่านศาลาและทางเดินที่คดเคี้ยว ทันทีที่เข้าไปในห้องโถง ก็มีร่างหนึ่งเข้ามาหาพวกเขาราวกับสายลม
บุรุษผู้นั้นคั่นอยู่ระหว่างนางกับหรงซิว ยิ้มและพูดกับนางด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนว่า “อวิ๋นเออร์ ตอนเช้าข้าตามหาเ้าไปทุกหนแห่งแต่หามิพบ คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว!"