เย่เฟิงมองพ่อลูกคู่นี้ด้วยสายตาดูแคลน เพราะั้แ่ตระกูลหนานกงคิดหักหลังเขาเย่เฟิง พวกเขาก็กลายเป็คนแปลกหน้าต่อกัน
“เสี่ยวเฟิง เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม!” มู่เทียนฉีมาหาเย่เฟิง และกล่าวถามด้วยความเป็ห่วง
“ข้าไม่เป็ไร” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ เขารู้สึกประทับใจในตัวท่านลุงผู้นี้มาตลอด
“ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว” มู่เทียนฉีพยักหน้าให้เย่เฟิง จากนั้นหันไปมองทางด้านตระกูลเฉินบนอัฒจันทร์ กล่าวว่า “ข้าขอเตือนพวกเ้า ทางที่ดีอย่าคิดทำร้ายเสี่ยวเฟิง หาไม่แล้วข้ามู่เทียนฉีจะไม่เกรงใจอีกต่อไป”
คำพูดของมู่เทียนฉีไร้ความกังขาใด ๆ อำนาจของกองทัพเขาไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเฉินจะเทียบเคียงได้ หากวันนี้ตระกูลเฉินสังหารเย่เฟิงสำเร็จ มู่เทียนฉีจะไม่ฆ่าผู้าุโเฉินผู้นั้นเพียงคนเดียว
ผู้คนในตระกูลเฉินโกรธจนหน้าคล้ำเขียว รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายที่แผ่ออกจากร่างทัพทหารม้าที่อยู่ด้านล่างเวทีประลอง ทว่าพวกเขาทำได้เพียงกัดฟันข่มอารมณ์
เฉินอ้าวเทียนจ้องเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต คนต่ำต้อยที่ไม่อยู่ในสายตาเขา แต่กลับเฉิดฉายในการทดสอบ ทั้งพร์และพลังต่อสู้ล้วนเหนือกว่าว่าที่ภรรยา ซ้ำยังตบหน้าตระกูลเฉินเขาฉาดใหญ่
ตระกูลเฉิน หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง บัดนี้กลับอับอายขายหน้าจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
“ขุนพลมู่พูดจริงจังเช่นนี้ เพื่อเห็นแก่หน้าท่าน ตระกูลเฉินข้าจะไม่แตะต้องเขา ทว่าในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนยากที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันระหว่างคนรุ่นเยาว์ได้ ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่แทรกแซงเื่นี้”
บางทีอาจเป็ความรู้สึกที่โดนมู่เทียนฉีดูแคลนจึงปล่อยผ่านไปไม่ได้ง่าย ๆ ทางด้านตระกูลเฉินมีผู้าุโผมขาวคนหนึ่งลุกขึ้นยืนกล่าวเช่นนั้น
ทุกคนต่างเข้าใจความหมายที่เขากล่าวเช่นนั้น รากฐานของตระกูลเฉินล้ำลึก มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วน ทั้งยังฝึกฝนในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอยู่ไม่น้อย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตระกูลเฉินสั่งคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ให้จัดการเย่เฟิง?
มู่เทียนฉีตาวาบประกายเฉียบคม แน่นอนว่าเขารู้พร้อมกล่าวว่า “หากคนรุ่นเยาว์แข่งขันกันอย่างยุติธรรมก็ย่อมไม่มีปัญหา”
หากไร้การฝึกฝนและไร้ประสบการณ์ แล้วจะกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เทียนฉี ผู้าุโผมขาวจากตระกูลเฉินคนนั้นเหยียดยิ้มพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะนั่งลงที่เดิม พลางในดวงตาวาบประกายแสงเยือกเย็น
“มู่เทียนฉีนำทัพมาก็เพื่อหลานชาย ซึ่งเป็ความผิดของข้าเอง หวังว่าผู้าุโสำนักยุทธ์ทุกท่านจะไม่ถือสาหาโทษ เช่นนั้นข้าขอตัวลา ส่วนเสี่ยวเฟิงจะเลือกเข้าพรรคใดก็ให้เขาตัดสินใจเอง” มู๋เทียนฉีโค้งคำนับผู้าุโของสำนักยุทธ์ทุกคนที่อยู่บนอัฒจันทร์
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” เยว่กู่และผู้าุโคนอื่น ๆ โค้งคำนับให้มู่เทียนฉีเช่นกัน
“นี่คือป้ายผ่านทางของสำนักยุทธ์ มีป้ายผ่านทางนี้เ้าจะเข้าออกสำนักยุทธ์ได้ตามความ้า”
เยว่กู่ใช้พลังหยวนบังคับป้ายอาญาสิทธิ์ลอยไปหาเย่เฟิงที่เวทีประลอง ก่อนจะส่องแสงออกมาจาง ๆ เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรับป้ายผ่านทางมา
“ขอบคุณผู้าุโมาก!” เย่เฟิงกล่าว
ฉากนี้ทำให้ผู้าุโของพรรคเทียนเซียวและพรรคเทียนอวิ๋นนิ่งงัน
ก่อนหน้านี้มีเพียงเยว่กู่ยื่นมือเข้าช่วยเย่เฟิงจากน้ำมือของตระกูลเฉิน อัจฉริยะมากพร์เช่นนี้ เห็นทีพรรคเทียนเสวียนคงได้ตัวไปแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้าุโของพรรคเทียนเซียวและพรรคเทียนอวิ๋นดวงตาแดงก่ำ ต้องรู้ว่าวันนี้เย่เฟิงเฉิดฉายยิ่งกว่าหนานกงหลิงซวงและโจวมู่ไป๋รวมกันเสียอีก แต่ใครจะไปรู้ได้เล่า?
ส่วนผู้าุโของพรรคเทียนจีต่างหันไปมองเฉินเซี่ยงเทียนด้วยสายตาตำหนิ หากเฉินเซี่ยงเทียนไม่เล็งเป้าไปที่เย่เฟิง พรรคเทียนจีคงมีโอกาสได้ตัวเย่เฟิง
“เสี่ยวเฟิง ไปกันเถอะ” มู่เทียนฉีกล่าวขณะมองเย่เฟิง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า เขา้ารู้ข่าวคราวบิดามารดาจากมู่เทียนฉีมาก
สายลมพัดผ่าน ก่อนจะห่อหุ้มร่างเย่เฟิงลอยไปยังม้าตัวหนึ่งที่ด้านล่างเวทีประลอง
เคลื่อนทัพได้!
สิ้นเสียงคำสั่งของมู่เทียนฉี เสียงกีบเหล็กดังขึ้นฉับพลันพร้อมทหารควบม้าออกไปไกล
“ไปกันแล้ว!” ผู้คนมองมู่เทียนฉีและเย่เฟิงจากไปด้วยสายตานิ่งอึ้ง
“เขาไปแล้ว ลูกหลานตระกูลเย่... เขาเป็คนแบบไหนกัน?” ซ่งซินหลิงพึมพำพลางตาวาบประกายแสง นางมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ขณะมองแผ่นหลังของเย่เฟิง
ขณะเดียวกันโจวมู่ไป๋มองแผ่นหลังของเย่เฟิงจากบางแห่งที่ด้านล่างเวทีประลองด้วยสายตาเยือกเย็น เขาโจวมู่ไป๋ต้องกู้หน้ากลับคืนมาให้ได้
การทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน ๆ เพราะเกิดเื่ขึ้นมากมาย
ครั้งหนึ่งเย่เฟิงเคยถูกคนของตระกูลหนานกงรังแก และดูถูกว่าเป็คนไร้ค่า บัดนี้เขาใช้พร์ และพลังบอกทุกคนว่าใครกันแน่ที่จะเฉิดฉายที่สุดในการทดสอบนี้
อย่างไรก็ตามยังถอนหมั้นกับหนานกงหลิงซวง เขาได้มอบความอัปยศอดสูให้ตระกูลเฉินและตระกูลหนานกงอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ดังนั้นตระกูลเฉินจึง้ากำจัดเย่เฟิงเป็อย่างมาก ซ้ำยังมีผู้าุโคนหนึ่งต้องตายเพราะเย่เฟิง
ตอนที่ตระกูลเฉินคิดว่าเย่เฟิงต้องตายแน่นอน ขุนพลเทพมู่เทียนฉีก็ได้นำทัพทหารม้ามาบุก ยิงลูกศรสังหารผู้าุโเฉินคนนั้น ทั้งยังตักเตือนตระกูลเฉินว่าห้ามใครแตะต้องเย่เฟิง หาไม่แล้วเขามู่เทียนฉีจะฆ่าคนผู้นั้น นี่ช่างเผด็จการยิ่งนัก
“วันนี้เกิดเื่ไม่คาดคิดหลายเื่ อ้าวเทียน ในมุมมองบิดา เื่แต่งงานระหว่างเ้ากับหนานกงหลิงซวงควรช้าลงหน่อยจะดีกว่า” ผู้าุโเฉินผมขาวกล่าวเสียงเย็นขณะมีสีหน้าอึมครึม พลางมองแผ่นหลังของกองทัพมู่เทียนฉี
การที่ถูกเย่เฟิงและมู่เทียนฉีตบหน้าหลายครั้งหลายครา ทำให้เขาเสียหน้าและไม่มีความสุขเป็อย่างมาก
“อืม” เฉินอ้าวเทียนพยักหน้า เขานั้นเคารพผู้าุโผมขาวมาก หนานกงหลิงซวงถูกเย่เฟิงถอนหมั้นต่อหน้าประชาชี ทำให้เฉินอ้าวเทียนเสียหน้าอย่างแรง
เขาเฉินอ้าวเทียนมีฐานะสูงส่ง หากแต่งกับหนานกงหลิงซวงทันทีจะต้องถูกหัวเราะเยาะแน่นอน มิหนำซ้ำผู้หญิงที่เขาแต่งด้วยถึงกับเป็ของที่คนอื่นใช้แล้วทิ้งเสียอีก
ได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้าุโเฉินผมขาวกับเฉินอ้าวเทียน หนานกงเฉินกับหนานกงหลิงซวงก็มีสีหน้าไม่สู้ดี
“ผู้าุโไป๋ คือว่า...” หนานกงเฉินอยากพูดบางอย่าง แต่ถูกผู้าุโเฉินผมขาวคนนั้นแทรกขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว! ในเมื่อเื่ลงเอยเช่นนี้ มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ทางที่ดีสละตำแหน่งของเ้าเถอะ”
น้ำเสียงของผู้าุโผมขาวเยือกเย็น เมื่อกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างอัฒจันทร์ เมื่อเห็นฉากนี้คนอื่น ๆ ของตระกูลเฉินก็ลุกขึ้นเดินตามหลังไป
วันนี้พวกเขาตระกูลเฉินขายหน้าจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ขืนอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เฉินอ้าวเทียนลุกขึ้นเช่นกัน เหลือบมองหนานกงหลิงซวงแวบหนึ่ง ก่อนจะตามทุกคนไป ไร้ท่าทีเกรงใจที่มีต่อหนานกงหลิงซวงเฉกเช่นก่อนหน้านี้
หนานกงหลิงซวงเม้มปาก ตอนนี้นางรู้สึกว่าอารมณ์ดิ่งลงเหว เดิมทีวันนี้ควรเป็นางที่จะเฉิดฉาย แต่ไม่คิดว่าเื่จะกลับตาลปัตร แม้แต่เื่ที่นางตัดสินใจจะแต่งงานกับเฉินอ้าวเทียนก็ยังถูกเลื่อนไปเป็การชั่วคราว
เย่เฟิงควบม้าตามทัพมู่เทียนฉี ซึ่งระหว่างทางได้ดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน เป็สายตาเลื่อมใสศรัทธา พอผ่านมาได้ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงค่ายทหาร ซึ่งค่ายทหารแห่งนี้คือสาขาหลักในเมืองหลวงที่ทัพทหารม้าอาศัยอยู่
ขณะนั้นมู่เทียนฉีและเย่เฟิงนั่งอยู่ในกระโจม ทั้งยังมีหญิงรับใช้รินน้ำชาให้
“วันนี้ต้องขอบคุณลุงสามมากที่ช่วยไว้ หากลุงสามไปไม่ทันการณ์ ข้าคงไม่สามารถรับมือได้” เย่เฟิงระบายยิ้มพลางจิบชา
อย่างไรก็ตามมู่เทียนฉีคือเ้าสามแห่งตระกูลมู่ เพราะญาติของเย่เฟิงยังมีท่านลุงสองคนและท่านป้าหนึ่งคน เพียงแต่สามคนนี้ไม่นิสัยดีเท่ามู่เทียนฉี เพราะมารดามีเื่ขัดแย้งกับครอบครัวในปีนั้น ทำให้ลุงทั้งสองและป้าของเขาเกลียดเย่เฟิงเข้าไส้
หลังจากตระกูลเย่ล่มสลายจึงเป็สาเหตุให้เย่เฟิงต้องไปอยู่ที่ตระกูลหนานกง
“ไม่เป็ไร เ้าคือหลานชายของข้า หลายปีมานี้ลุงสามไม่ได้ดูแลเ้าเลย ข้าเป็หนี้เ้าแล้ว”
มู่เทียนฉีโบกมือด้วยท่าทีอ่อนโยนขณะมองหลานชายของตัวเอง ไม่เพียงแต่มีพร์โดดเด่น ทว่ายังมีท่วงท่าเกรงขามของพี่เขยเฉกเช่นในปีนั้น เขาจึงอดดีใจไม่ได้ จุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลานชายอีกคนของเขาจะเทียบเคียงกับหลานชายคนนี้ได้เลย
“อยู่ที่ตระกูลหนานกง เ้าคงลำบากไม่น้อย แต่ได้เห็นเสี่ยวเฟิงเติบโตอย่างในวันนี้ได้ ลุงสามก็ดีใจแทนเ้าด้วย” มู่เทียนฉีจิบชาแล้วกล่าวถามขึ้นว่า “มาเมืองหลวงครั้งนี้ เตรียมตัวจะเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” เย่เฟิงพยักหน้า “เข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอาจมีโอกาสได้ประสบการณ์ที่ดี”
เหตุผลหลักที่เขามาเมืองหลวงก็เพื่อสืบหาข่าวของบิดามารดา แต่จดหมายที่ผนึกอยู่ในหอกัเงินประกาย คือคำตอบที่เย่เฟิง้าทราบ
“ดี ๆ” มู่เทียนฉีพยักหน้า ซึ่งมู่เทียนฉีมองกลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ออกจากร่างกายของเย่เฟิงได้ หลานชายคนนี้ของเขาไม่ธรรมดา เป็คนที่มีความทะเยอทะยานสูง
กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเห็นได้ในยามปกติ แม้แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีมัน ทว่าหลานชายคนนี้ของเขามีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
“เพียงแต่ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีอัจฉริยะโดดเด่นอยู่มากมาย กฎระเบียบยังโเี้ มีการแข่งขันตลอดเวลา เ้าไปไหนก็ต้องระวังตัวให้ดี ๆ โดยเฉพาะคนของตระกูลเฉิน ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะปล่อยเ้าไปง่าย ๆ” มู่เทียนฉีกำชับเย่เฟิง ตอนที่เอ่ยถึงตระกูลเฉิน ดวงตาของมู่เทียนฉีก็เผยประกายเยือกเย็น
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เย่เฟิงยังไม่ปรากฏตัวที่เมืองหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลเฉินไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ทว่าวันนี้มู่เทียนฉีตบหน้าตระกูลเฉินไปหลายฉาดก็เพื่อช่วยเย่เฟิง ทั้งยังสังหารผู้าุโเฉินไปหนึ่งคน ความบาดหมางนี้ถือว่าจบลงแล้ว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัว” เย่เฟิงพยักหน้า ในเมื่อตระกูลเฉิน้าฆ่าเขา เช่นนั้นเขาเย่เฟิงจะปล่อยตระกูลเฉินไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
“ในเมื่อเ้าเข้าร่วมการทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนแล้ว ก็เท่ากับเป็การเปิดเผยตัวตนเ้าสู่บรรดากองกำลังของเมืองหลวง ด้วยเื่ของพ่อเ้า ตัวตนของเ้าจึงค่อนข้างละเอียดอ่อน หากข้าเดาไม่ผิด เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหลายคนเล็งเป้ามาที่เ้า โดยเฉพาะเซิ่งอ๋องที่เป็ภัยคุกคามหลัก เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกหลานตระกูลเย่อยู่ดีมีสุขแน่” มู่เทียนฉีพูดต่อพลางดวงตาวาบประกายคมปลาบ ซึ่งเขากังวลเื่ในอนาคตของเย่เฟิงเป็พิเศษ
ครั้งนี้เขาอยู่ที่เมืองหลวงนานไม่ได้ จะต้องย้อนกลับไปยังด่านเทียนเฉิน นั่นหมายความว่าต่อไปเขาจะช่วยเหลือเย่เฟิงอะไรไม่ได้แล้ว
“เซิ่งอ๋อง?” เย่เฟิงขมวดคิ้ว คนผู้นั้นคือผู้ปกครองอาณาจักรจ้าว มีคนนับหมื่นอยู่ภายใต้การปกครอง หรือว่าคนผู้นี้จะเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลเย่ในปีนั้น?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้