“จะ...จั๋วอวิ๋นเซียน นี่เ้า...บ้าไปแล้วหรือ?”
เปาต้าถงวิ่งมาหาจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยความใ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นะ...นางเป็ถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลสีแห่งต้าหนิง ถึงแม้นางจะบ้าบิ่นไปบ้าง...เอาเถอะ เื่นี้ไม่สำคัญ แต่การที่เ้าสังหารนางตาย ตระกูลสีไม่มีทางปล่อยเ้า...ไม่แน่ว่าข้าก็อาจจะไม่รอด!”
กล่าวตามตรงตอนนี้เปาต้าถงเสียใจมาก ทำไมก่อนหน้านี้ไม่ร่วมเป็ร่วมตายกับจั๋วอวิ๋นเซียน ถ้าเขายืนอยู่ข้างจั๋วอวิ๋นเซียน ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถขัดขวางโศกนาฏกรรมได้!
ส่วนศิษย์ที่หาเื่จั๋วอวิ๋นเซียนเมื่อครู่ ตอนนี้ใจนหน้าซีดหมดแล้ว
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะลงมือโเี้เช่นนี้ ยังดีที่เมื่อครู่อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะสังหารคน มิเช่นนั้นถ้าะเิเพลิงอัสนีตกมาที่พวกเขา จุดจบคงมีเพียงร่างกายที่แหลกสลาย
ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงหวังว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะเป็คนขี้ลืม อย่าได้คิดแค้นคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขาเลย
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนตบบ่าของเ้าซาลาเปาเบาๆ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็ไรหรอก อย่างไรนางก็เป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลสี ในมือต้องมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตแน่...ถ้านางถูกะเิตายง่ายๆ เช่นนี้ แสดงว่า...นางเป็พวกดีแต่ปาก”
“อืม เ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าเถียงไม่ได้เลย”
เปาต้าถงส่ายศีรษะพลางยิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดต่อ
ะเิเพลิงอัสนีสามลูกเชียวนะ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องาเ็บ้างกระมัง? ทำแบบนี้ต้องแค้นกันขนาดไหน เกลียดชังกันขนาดไหน!
ความจริงแล้วเปาต้าถงไม่รู้ว่าสาเหตุที่จั๋วอวิ๋นเซียนลงมือโเี้เช่นนี้ เขาจงใจทำ เพราะมีแผนการที่ลึกล้ำอยู่ในใจ
ตอนแรกสีเฟยเยียนก่อเื่บนถนนใหญ่ของตงหลิง ท่าทีของจวนเ้าเมืองไม่ชัดเจน เช่นนั้นครั้งนี้เขาก่อเื่ใหญ่ ดูสิว่าท่านเ้าเมืองจะมีท่าทีอย่างไร
……
“บัดซบ...จั๋ว! อวิ๋น! เซียน! ข้าจะฆ่าเ้า...”
ในหมอกควันมีเงาคนหนึ่งพุ่งออกมา คนนั้นก็คือสีเฟยเยียนมิผิดแน่ เพียงแต่นางในตอนนี้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาดำคล้ำ ท่าทางน่าเวทนา ไม่เหลือความสง่างามของคุณหนูใหญ่แม้แต่น้อย
สีเฟยเยียนไออย่างรุนแรง หายใจหอบเหนื่อย เมื่อสักครู่นั้น นางแทบจะถูกความหวาดกลัวกลืนกิน
“ไอ้แซ่จั๋ว เ้าต้องตาย! เ้าต้อง...”
เสียงเงียบลงอีกครั้ง เพราะสีเฟยเยียนเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนถือไข่มุกอีกสามลูกเอาไว้ นางใจนต้องรีบถอยหนี คอยระวังอีกฝ่ายลอบโจมตีตลอดเวลา
“ถุ้ย! ไอ้สารเลวขี้แพ้น่ารังเกียจ มันมีะเิเพลิงอัสนีอีกเท่าไรกันแน่?”
สีเฟยเยียนเป็ผู้บำเพ็ญเซียนจริงๆ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนระดับรวมพลังยังคงมีร่างกายเป็เืเนื้อ หากถูกะเิเพลิงอัสนีะเิเข้าตรงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย เมื่อครู่นี้หากไม่มีป้ายพิทักษ์ชีวาที่ผู้เฒ่าในตระกูลสร้างให้ เกรงว่าสีเฟยเยียนคงกลายเป็ขี้เถ้าไปแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้...”
เสียงะโดังก้อง ผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนร่อนลงมาจากฟ้าและหยุดอยู่ระหว่างจั๋วอวิ๋นเซียนกับสีเฟยเยียนเพื่อห้ามทั้งสองสู้กัน
จากนั้นมีองครักษ์กลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามาล้อมสนามสอบเอาไว้อย่างเนืองแน่น
“คารวะท่านขุนพลเฟิง...”
จั๋วอวิ๋นเซียนหันไปคารวะผู้นำของคนเ่าั้ จากนั้นกล่าวเสียงดัง “ขุนพลเฟิงมาได้เวลาพอดี สตรีปีศาจนางนี้ไม่รู้โผล่มาจากที่ใด จู่ๆ ก็คิดจะลงมือกับข้า...ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ไส้ศึกที่ต้าซ่งส่งมา เชิญท่านขุนพลเฟิงจับนางไปได้เลย!”
“……”
ขุนพลเฟิงตกตะลึง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน เหตุใดเหมือนจังหวะเหตุการณ์จะไม่ค่อยถูกต้องนัก?
เปาต้าถงเพิ่งได้สติกลับมา เขายกนิ้วโป้งให้จั๋วอวิ๋นเซียน วิธีที่ชิงลงมือร้องเรียนก่อนไม่เลวเลยจริงๆ!
ทว่าหากว่ากันตามจริงแล้ว เหมือนว่าสีเฟยเยียนจะลงมือทันทีและไม่ได้กล่าวแสดงสถานะของตัวเอง หากบอกว่านางคือไส้ศึกจากต้าซ่ง ก็ไม่มีสิ่งใดผิด!
“ไอ้ลูกสุนัข เ้า...ไร้ยางอาย!”
สีเฟยเยียนอารมณ์เสียอยากจะก่นด่าออกมา แต่กลับมิอาจพูดความจริงได้
นางเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลสี จะเป็ไส้ศึกไปได้อย่างไร? ต่อให้เป็ไส้ศึกก็คงไม่มีทางลอบสังหารไอ้สารเลวขยะแบบนี้!
“นายน้อยจั๋วเข้าใจผิดแล้ว คนผู้นี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลสีแห่งต้าหนิง นางเป็แขก หาใช่ไส้ศึกไม่”
ขุนพลเฟิงรู้จักจั๋วอวิ๋นเซียน ยังไม่ต้องกล่าวถึงสถานะของอีกฝ่าย วันนี้คือวันทดสอบจบการศึกษาของสถาบันเซียนเต้า ด้านนอกมีผู้ปกครองของศิษย์ล้อมวงอยู่ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทั้งเมืองตงหลิงจะกลายเป็ตัวตลกของเขตชายแดน
ไม่ต้องพูดถึงขุนพลองครักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต่อให้เป็ท่านเ้าเมืองก็คงถูกราชวงศ์ถามหาความรับผิดชอบไปด้วย
“โอ้”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาได้รับข้อมูลมากมาย...มีตระกูลจั๋ว มีจวนเ้าเมือง มีตระกูลสี และยังนึกถึงตระกูลซีโหลวกับซีโหลวรั่วเมิ่งด้วย
เข้าใจผิดหรือ? ครั้งหนึ่งอาจจะเป็ความเข้าใจผิด แต่มีถึงสองสามครั้งต้องเป็เพราะจงใจแน่
“ไอ้ลูกสุนัข! ข้าจะฆ่าเ้า! ฆ่าเ้า!”
สีเฟยเยียนทนไม่ไหวแล้ว นางพลิกฝ่ามือหยิบยันต์กระบี่หยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาและกำลังจะเขวี้ยงไปทางจั๋วอวิ๋นเซียน!
“คุณหนูใหญ่โปรดยั้งมือด้วย ที่นี่คือจวนเ้าเมือง คุณหนูได้โปรดใจเย็นก่อน!”
ขุนพลเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบกล่าวห้ามปราม
ล้อเล่นหรืออย่างไร! ยันต์กระบี่หยกในมือของสีเฟยเยียนเป็ถึงอุปกรณ์โจมตีที่สร้างจากระดับเปิดชีพจร เทียบเท่ากับการโจมตีของยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถรับได้แน่
ถ้านายน้อยตระกูลจั๋วถูกสังหารที่จวนเ้าเมือง ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิด!
“พอได้แล้วคุณหนูสี ถอยไปเสีย!”
มีเสียงพูดดังก้องกังวาน ในน้ำเสียงที่ราบเรียบยังแฝงไว้ด้วยพลังที่มิอาจต่อต้าน
เมื่อสีเฟยเยียนได้ยินก็ตกตะลึง นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บยันต์กลับไป
จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวที่สนามสอบ เขาสวมชุดคลุมราชการ ท่าทางสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา...เขาก็คือเ้าเมืองตงหลิง ‘เสิ่นว่านโหลว’
“เฟิงเจิ้ง คารวะท่านเ้าเมือง!”
“คารวะท่านเ้าเมือง...”
ขุนพลเฟิงรีบคำนับทันที องครักษ์รอบด้านเก็บอาวุธยืนตรงด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เพลิงอัสนีพุ่งขึ้นฟ้า เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เสิ่นว่านโหลวจึงต้องออกหน้า มิเช่นนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นจริง เขาต้องโดนลงโทษข้อหาบกพร่องในหน้าที่
“ท่านลุงเสิ่น ไอ้ลูกสุนัขนี่มันรังแกข้า!”
สีเฟยเยียนเดินไปข้างเสิ่นว่านโหลวด้วยท่าทางน่าสงสาร แต่ในใจรู้สึกเจ็บแค้นยิ่งนัก
เสิ่นว่านโหลวโบกมือพลางกล่าวเตือนว่า “คุณหนูสี ที่นี่คือเมืองตงหลิง เป็สถานที่ที่ดวงตาแห่งสุญญตาจับจ้องอยู่ ถ้าเ้าทำผิดกฎวิถีเซียนจริงๆ ต่อให้เป็ตระกูลสีก็ปกป้องเ้าไม่ได้”
สีเฟยเยียนเงียบลง ถึงแม้ตระกูลสีแห่งต้าหนิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็มิอาจฝ่าฝืนกฎวิถีเซียนได้ ก่อเื่เล็กน้อยยังพอว่า แต่หากมีคนตาย เสิ่นว่านโหลวไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ แน่
“เหอะ!”
สีเฟยเยี่ยนมองจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยสายตาเ็าและกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ไอ้ลูกสุนัข ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยใจ ั้แ่ต้นจนจบเขาไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลสี แต่สีเฟยเยียนมาหาเื่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรามือ
“ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วสินะ!”
เปาต้าถงพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกกังวลแทนจั๋วอวิ๋นเซียนอย่างห้ามไม่ได้ การที่ถูกสตรีบ้าคนหนึ่งเคียดแค้น อีกทั้งยังเป็สตรีในบ้านที่มีพลังและอำนาจ...เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
ศิษย์คนอื่นเงียบด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง
……
“ข้าน้อยจั๋วอวิ๋นเซียน คารวะท่านเ้าเมือง!”
หลังจากสีเฟยเยียนกลับไปแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนเดินเข้ามาคำนับกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าทำเพื่อปกป้องตัวเอง ข้าน้อยลงมือรุนแรงไปหน่อย ท่านเ้าเมืองโปรดลงโทษ”
เสิ่นว่านโหลวกวาดสายตามองจั๋วอวิ๋นเซียน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “หลานจั๋วคิดมากไปแล้ว เื่นี้สีเฟยเยียนเป็ฝ่ายผิด ไม่เกี่ยวกับเ้า ในเมื่อการทดสอบจบลงแล้ว เช่นนั้นเ้าก็กลับไปก่อนเถอะ ฝากทักทายท่านผู้นำจั๋วด้วย”
“ข้าน้อยขอตัวลา”
จั๋วอวิ๋นเซียนโค้งคำนับ จากนั้นหันหลังจากไป เขาไม่แม้แต่ทักทายเปาต้าถง เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
เปาต้าถงอ้าปากคิดจะพูดบางอย่างแต่ไม่ได้พูดออกไป เขารู้สึกซาบซึ้ง แต่รู้สึกโศกเศร้ามากกว่า
การจากลาวันนี้ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร ถ้าไม่ทักทายกัน ยังจะนับเป็สหายกันได้อย่างไร? สหายไม่ควรทำเช่นนี้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เปาต้าถงใช้ความกล้าเดินตามจั๋วอวิ๋นเซียนไป
