พบศัตรูสองคนสุดท้ายอยู่ตรงหน้า!
แต่เซียวหลิงอวิ๋นกลับไม่รีบร้อนใดๆ!
เขานั่งลงกับพื้นอยู่ห่างจากอีกฝ่ายประมาณสิบห้าหมี่!
เสียงกลุกกลักๆ! ดังขึ้นชิวเทียนฉี่วางถุงหนังสัตว์ขนาดใหญ่สี่ใบในมือลงแล้วนั่งลงข้างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถามว่า “ทำไมถึงยังปล่อยให้สองคนนั้นมีชีวิตอยู่รึ”
“เหลือแค่สองคนสุดท้ายแล้ว ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหนึ่งหรือสองชั่วยามก็ได้ ข้าจะได้จัดการกับแร่ผลึกไฟเหล่านี้ก่อน!” เซียวหลิงอวิ๋นพูดพลางลากถุงหนังสัตว์ใบใหญ่มาหาตัวหนึ่งใบ และเทแร่ผลึกไฟทั้งหมดออกมา!
เขาหยิบแร่ผลึกขนาดเท่ากำปั้นออกมาหนึ่งก้อน ััอยู่สักครู่หนึ่งมือขวาก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา นิ้วมือของเขเป็ดั่งมีด ‘ฉัวะๆๆ’ เศษชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยๆ หลุดออกมาทีละน้อย จนเมื่อเขาหยุดตัด ด้วยเวลาเพียงแปดถึงเก้านาทีเท่านั้น! แร่ผลึกสีแดงเข้มแต่เดิมได้เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว!
แท่งผลึกไฟสิบสองเหลี่ยมแท่งหนึ่งที่เปล่งแสงสีแดงเข้มอยู่ในมือซ้ายของเซียวหลิงอวิ๋น!
หินผลึกไฟ เป็หินผลึกไฟที่งดงามจริงๆ ชิวเทียนฉี่แววตาลุกวาวด้วยความประหลาดใจ! เขาไม่เคยเห็นหินผลึกไฟที่งดงามและดูดีขนาดนี้มาก่อน!
หินผลึกไฟที่มีพลังธาตุไฟเข้มข้น ไม่เพียงแต่จะใช้ในการหลอมของวิเศษธาตุไฟเท่านั้น แต่ยังให้ผลดีอย่างมากต่อการฝึกตนของผู้ใช้ธาตุไฟอีกด้วย
ทั้งร่างกายและพร์ของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นจะแตกต่างกันออกไป ตามความเข้ากันได้ของเคล็ดวิชาและพลังิญญา โดยผู้บำเพ็ญเพียรจะถูกแบ่งออกเป็ธาตุต่างๆ ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม ไฟฟ้า และน้ำแข็ง รวมทั้งหมดแปดธาตุ!
แน่นอนว่าธาตุทั้งแปดนี้ไม่ได้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่จะฝึกเคล็ดวิชาและพลังิญญาสองถึงสามธาตุ มีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่มากนักที่จะฝึกเพียงธาตุเดียวหรือฝึกมากกว่าห้าธาตุขึ้นไป
การฝึกเพียงธาตุเดียวทำให้กลยุทธ์ในการต่อสู้เรียบง่ายจนเกินไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถเอาชนะวิชาธาตุของตัวเองได้แล้ว ก็จะทำให้ต่อสู้ได้อย่างยากลำบากแน่นอน ในขณะที่การฝึกมากกว่าห้าธาตุ แม้จะทำให้มีกลยุทธ์ในการต่อสู้ที่หลากหลายขึ้นก็จริง แต่ก็ยากที่จะเก่งกาจเช่นเดียวกัน เนื่องจากวิชาิญญาในแต่ละธาตุนั้นจะต้องเสียทั้งเวลาและพลังไปเป็จำนวนมาก รวมถึงวัตถุดิบิญญา ยาวิเศษิญญา และหินิญญาที่สอดคล้องธาตุกัน ซึ่งทั้งในด้านการเงินหรือพลังที่ต้องเสียไปก็ย่อมสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกวิชาิญญาธาตุเดียวหรือสามธาตุอยู่มากโข! และอาจจะทำให้การบำเพ็ญเพียรคืบหน้าช้ากว่าผู้อื่นด้วย เมื่อไม่สามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุไปอีกชั้นได้ อายุขัยก็จะลดลงอย่างมาก ยิ่งยากที่จะไล่ตามผู้อื่นให้ทัน!
นั่นจึงเป็เหตุผลที่ว่าทำไมผู้บำเพ็ญเพียรมากกว่าครึ่งจึงเลือกที่จะฝึกวิชาิญญาเพียงแค่สองถึงสามธาตุ และผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกวิชาิญญาธาตุทั้งสี่ธาตุขึ้นไปนั้นก็จะถือว่าเป็อัจฉริยะ!
แน่นอนว่าในบันทึกประวัติศาสตร์เองก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่คลั่งไคล้ในการฝึกวิชา ซึ่งสามารถฝึกวิชาิญญาทั้งแปดธาตุได้สำเร็จ!
แต่ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรที่คลั่งไคล้ในการฝึกวิชาเช่นนี้ ก็ยังไม่มีที่สามารถไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้อย่างแท้จริง! แม้จะเคยมีคนทำได้อยู่ แต่ใน่หลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้เก้าในสิบคนนั้น คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกวิชาิญญาเพียงสองถึงสี่ธาตุ!
นี่คือข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลือกวิชาิญญาในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรในชั้นต่างๆ ในปัจจุบัน!
และในปัจจุบันชิวเทียนฉี่เองยังเลือกฝึกเพียงวิชาธาตุเดียวเท่านั้น นั่นคือวิชาธาตุทอง!
ไม่ใช่ว่าตัวเขาไม่อยากเลือกเรียนสองหรือสามธาตุ แต่เป็เพราะสถานการณ์นั้นบังคับ ถึงตระกูลชิวนั้นจะเป็หนึ่งในห้าขุมอำนาจใหญ่ที่สุดในในแคว้นมู่อวิ๋น แต่ผู้ใช้พลังิญญานั้นต่างไปจากนักยุทธ์ แค่มีเงินทองก็ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องมียาวิเศษิญญา สมุนไพริญญา วัตถุดิบิญญา และหินิญญาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้พลังิญญา! ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาได้ยากยิ่ง!
ทั่งทั้งอาณาจักรซินโยวทั้งหมด สมบัติล้ำค่าที่ผู้ใช้พลังิญญา้าเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะรวมกันอยู่ในของสำนักใหญ่และเล็กที่นำโดยสำนักิญญาเมฆา! โดยคนนอกนั้นแทบจะเข้าไปยุ่งไม่ได้เลย!
หรือต่อให้สามารถเข้าไปจับจ่ายหาซื้อได้ ก็จะเป็ของในระดับต่ำที่สำนักเหล่านี้ไม่สนใจ!
นี่จึงเป็เหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดจวนเจิ้งอ๋องและขุมอำนาจทั้งหก เมื่อทราบว่าสิ่งทีู่เาไฟในเขตปกครองตระกูลเซียวปะทุออกมานั้นคือหินผลึกไฟที่สำนักไม่สนใจ แต่ก็มีพลังธาตุไฟที่มีเข้มข้นไม่น้อย จึงยอมเสี่ยงที่จะถูกลงโทษจากทางราชสำนักและร่วมมือกันแย่งชิงดินแดน!
ส่วนอีกเหตุผลที่ต้องคำนึงก็คือ ถึง ‘หินผลึกไฟ’ จะอ่อนแอกว่า ‘หินเปลวเพลิง’ และ ‘หินิญญาไฟ’ ที่เป็หินิญญาธาตุไฟอย่างที่แท้จริง แต่ก็ยังมีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับผู้ใช้พลังิญญาธาตุไฟ!
เนื่องจากหาหินเปลวเพลิงและหินิญญาไฟได้ยาก นักยุทธ์ระดับต่ำในโลกเบื้องล่างจึงต้องอาศัยหินผลึกไฟแทน!
“ท่านอาชิว หินผลึกไฟเหล่านี้ ท่านอาเอาไปครึ่งหนึ่งได้เลย ไฟกำเนิดดิน ดินกำเนิดทอง ระหว่างวิชาธาตุไฟและธาตุดิน อย่างน้อยท่านอาควรฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้สิบปีผ่านไป ท่านลุงก็ไม่สามารถก้าวข้ามชั้นผู้ใช้พลังิญญาไปได้!” เซียวหลิงอวิ๋นยื่นหินผลึกไฟสีแดงเข้มให้กับชิวเทียนฉี่!
“หลิงอวิ๋น จะ...เ้าหมายความว่าหากข้าฝึกวิชาธาตุไฟ ข้าก็จะมีโอกาสที่จะก้าวข้ามไปสู่ปรมจารย์ิญญาได้งั้นหรือ?” ชิวเทียนฉี่ถามด้วยความใ!
“ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรฝึกทั้งวิชาธาตุไฟและธาตุดิน เพราะนั่นคือสิ่งที่เข้ากันได้กับพลังธาตุทองของท่านอามากที่สุดแล้ว!”
“ข้าก็พอรู้เื่นี้อยู่ แต่ในสำนักอย่าว่าแต่วิชาระดับพื้นฐานเลย แม้แต่วิชาธาตุไฟและธาตุดินระดับล้ำลึกขั้นต่ำก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะหามาได้ง่ายๆ! แล้วยิ่งระดับเหลืองข้าก็ยิ่งไม่อยากได้ รู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้ประโยชน์นัก!” ชิวเทียนฉี่พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าสอนอยู่ในสำนักนี้มาเป็เวลานานถึงสามปีแล้ว อีกสามปีคิดว่าน่าจะพอฝึกวิชาธาตุดินระดับล้ำลึกขั้นต่ำได้!”
“ท่านอาชิวคิดผิดแล้ว ยิ่งบรรลุเร็วมากเท่าไร พลังยุทธ์ของท่านก็จะยิ่งพัฒนาได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต้มสำนักก็จะยิ่งได้มากขึ้นด้วย มีแต่ข้อดีทั้งนั้น แต่ท่านอากลับทำตรงกันข้าม
แต้มสำนักที่ท่านอาสะสมเอาไว้ตอนนี้ น่าจะเพียงพอให้ท่านอาแลกวิชาธาตุไฟและธาตุดินระดับเหลืองขั้นกลางได้สองวิชาแล้วมิใช่หรือ? เช่นนั้นหลังจากที่เสร็จเื่นี้แล้ว ท่านอาก็ไปแลกได้เลย ไม่ถึงสามปี ข้ารับรองว่าท่านอาจะบรรลุขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์ิญญาได้สำเร็จแน่!”
“จะ... จริงหรือ?” ชิวเทียนฉี่ ถามด้วยความไม่เชื่อเล็กน้อย!
ในความคิดของเขา วิชาิญญาเหล่านี้ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งดี!
“หากท่านอาเชื่อข้า ข้าขอรับรองว่าใน่ชีวิตนี้ของท่านอาจะไม่หยุดแช่อยู่ที่... ระดับมหาปรมาจารย์ิญญาขั้นสูงสุดแน่!” ในตอนแรกเซียวหลิงอวิ๋นตั้งใจจะพูดว่าระดับราชันย์ิญญา ไม่ก็ระดับจ้าวิญญาไปเลย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผู้าุโสูงสุดทั้งสองคนของสำนักิญญาเมฆายังอยู่แค่ระดับราชันิญญาอยู่เลย จึงคิดว่าถ้าหากกล่าวอ้างระดับจ้าวิญญาซึ่งเหนือกว่าผู้าุโสูงสุดในสำนัก ก็อาจจะทำให้ชิวเทียนฉี่ใกลัว เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงได้เปลี่ยนเป็มหาปรมาจารย์ิญญาขั้นสูงสุดแทน!
แต่คำว่าไม่หยุดอยู่ที่ระดับมหาิญญาขั้นสูงสุด นั่นหมายความว่าอาจจะไปถึงระดับแก่นิญญาเลยอย่างนั้นหรือ!
โอ้์? ระดับแก่นิญญา มะ... มันเป็สิ่งที่ตระกูลชิวของพวกเรายังไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนั้แ่มีการบันทึกผังตระกูล!
ลมหายใจของชิวเทียนฉี่เริ่มหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ และดวงตาคมดุจเสือดาวทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและยินดี!
“เชื่อสิ ข้าเชื่อ หลิงอวิ๋น ข้าเชื่อเ้า หากข้าก้าวไปสู่ระดับมหาปรมาจารย์ิญญาได้ ข้าชิวเทียนฉี่ ขอสาบาน ณ ที่นี้ว่าตลอดชีวิตนี้ของข้าจะติดตามเ้าไปตลอด และยอมรับเ้าเป็นายของข้า!”
แค่ขึ้นสู่ระดับมหาปรมาจารย์ิญญาก็จะยอมรับข้าเป็เ้านายแล้วหรือ? เ้าประเมิน ‘เ้านาย’ คนนี้ของเ้าต่ำเกินไปแล้ว หากข้ารับเ้ามาเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาจริงๆ ในชีวิตนี้ความสำเร็จของเ้าจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ระดับต่ำต้อยอย่างมหาปรมาจารย์ิญญาหรอก!
...
ห่างออกไปสี่ลี้ ท่ามกลางหมอกดำ มีคนคนหนึ่งก้มหน้าลงมองดูศพบนพื้นอย่างละเอียด ดวงตาเรียวเล็กที่อยู่ในใบหน้ากลมอันเย็นะเืฉายประกายแสงที่น่ากลัวออกมาสองดวง
นี่คือศพที่สามที่เขาพบแล้ว ทุกคนล้วนถูกดาบแทงทะลุหัวใจ!
เขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ถอดเอาแผ่นป้ายหยกสื่อสารออกมาจากเอวตนเอง!
“พี่เจ็ด ท่านพบอะไรหรือไม่?” มีเสียงดังออกมาจากแผ่นป้ายหยกนั้น
“หลิ่วิ เกิดปัญหาแล้ว มีคนใช้ประโยชน์จากหมอกในการไล่ฆ่าคนจากหกตระกูล ข้าตรวจดูศพทั้งสามศพแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกสังหารในดาบเดียว ถุงที่ใส่หินผลึกไฟก็หายไปด้วย”
“ใครกันที่กินดีหมีหัวใจเสือมา ถึงได้บังอาจมาฆ่าคนของเราและขโมยหินผลึกไฟไปแบบนี้?” เสียงก่นด่าดังมาจากแผ่นป้ายสื่อสาร
“ยังไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน แต่เ้าจงเฝ้าช่างฝีมือพวกนั้นให้ดี หมอกดำนี้แปลกประหลาดนัก มีความสามารถในการปิดประสาทการรับรู้ ทำให้หลงทิศได้ โชคดีที่ ‘วิชาเมฆน้ำสามวิสุทธิ์’ ของข้าสามารถต้านทานได้ในระดับหนึ่ง ข้าจะออกค้นหาต่อดูว่าจะจับคนร้ายนั่นได้หรือไม่? เ้าจงนำเื่นี้ติดต่อไปยังในเมือง แจ้งไปยังพี่รองและผู้าุโสามของตระกูลหลิ่วให้ทราบ!”
“เข้าใจแล้ว พี่เจ็ด หากจับคนร้ายได้อย่าเพิ่งฆ่ามันให้ตาย ข้าอยากลองทรมานมันดู ว่าไอ้หน้าไหนที่มันตาบอดทะเล่อทะล่ามาฆ่าคนของเรา!”
...
เมืองอวิ๋นเซียวเป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเชียนเจ๋อ ตั้งอยู่ทางใต้ห่างจากูเาหลิงซานสองร้อยสามสิบลี้! เมืองอวิ๋นเซียวนี้ยังเป็ที่ตั้งของจวนเซียวโหวด้วย!
เพียงแต่จวนเซียวโหวในเวลานี้ ไม่ได้คึกคักและมีข้ารับใช้มากมายเหมือนเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้จวนเซียวโหวทั้งหลังราวกับถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าโศกและหม่นหมอง!
ในเวลานี้ คุณชายใหญ่ของตระกูลเซียวกำลังเกรี้ยวกราดทว่าไร้ทางระบาย ส่วนคุณชายรองของตระกูลเซียวยังคงนอนป่วยอยู่จนถึงตอนนี้ ส่วนคุณชายสามกับคุณหนูห้า แม้ว่าอาการาเ็จะหายดีแล้ว แต่ก็ไม่มีรอยยิ้มเลยั้แ่ได้รับาเ็เมื่อครึ่งเดือนก่อน!
สิ่งที่ทำให้คนในตระกูลเซียวหวั่นวิตกมากที่สุดคือ เมื่อหกวันก่อน ครูฝึกทหารหยางทงได้พาหัวหน้าคนคุ้มกันอีกสี่คนออกไปโดยไม่บอกลาสักคำ ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เหล่าคนคุ้มกันและผู้ติดตามตระกูลเซียวพากันลาออกไปจำนวนมาก แม้แต่ผู้ดูแลบัญชีและพ่อบ้านก็เริ่มพากันลาออกไปเช่นกัน เมื่อพ่อบ้านออกไป เหล่าข้ารับใช้ แม้แต่สาวใช้และแม่บ้านที่ลงนามในสัญญาขายทาสก็พากันหนีออกไปด้วย!
ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน คนเกือบครึ่งหนึ่งจวนเซียวโหวขนาดใหญ่กลับกระจัดกระจายหายไปหมด! คนที่เหลืออยู่เกือบครึ่งก็ยังคงอยู่อาการตื่นตระหนกและสับสน!
คุณชายใหญ่เซียวว่านจุนตบที่วางแขนเก้าอี้จนแตกเป็เสี่ยงๆ “ทำไมหลิงเฟิงยังไม่กลับมาอีก เกิดเื่ใหญ่ขนาดนี้ยังไม่กลับมา ตระกูลเซียวของเราเสียเงินเป็จำนวนมากทุกปีเพื่อส่งเขาไปเล่าเรียนในสำนักสาขาที่อยู่ในสังกัดของสำนักใหญ่ทั้งสาม เพื่อให้ประสบความสำเร็จและกลับมาช่วยเหลือตระกูลในสักวัน ในบรรดาลูกหลานห้าคน หลิงเฟิงคนเดียวก็เสียเงินไปครึ่งหนึ่งของทั้งหมด เพื่อช่วยให้เขาได้กลายเป็หนึ่งในสิบศิษย์อัจฉริยะของสำนักอำนาจ์ แต่ไม่แม้แต่จะกลับมา! หลิงหูเป็สตรี หลิงลั่วก็ยังอายุน้อยเพิ่งเข้าเรียนปีนี้ ส่วนหลิงไห่ไอ้ตัวซวยไม่ยอมกลับเพราะติดหนี้พวกเราตระกูลเซียว แล้วเ้าเซียวหลิงอวิ๋นนั่นทำอะไรอยู่ทำไมไม่กลับมาอีก!” คุณชายใหญ่แสดงกิริยาเกรี้ยวกราด ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้!
ชี้ไปที่จมูกของพ่อบ้านคนหนึ่งด้วยความโกรธจนตัวสั่น!
พ่อบ้านาุโอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยนว่า “คุณชายโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยได้ยินมาว่าหลี่เฉวียนได้พานายน้อยหลิงอวิ๋นกลับมาแล้วขอรับ!”
“หลิงอวิ๋นกลับมาแล้วจะทำอะไรได้ พร์ก็อ่อนแอ ใช้เวลาสองปีเลื่อนได้เพียงสามระดับ ไร้พร์จนถูกฝ่ายหญิงมาขอถอนหมั้น ไม่อับอายบ้างหรือไร? ใบหน้าบิดาและข้าถูกอีกฝ่ายทำลายจนป่นปี้หมดแล้ว ด้วยพลังยุทธ์ของเขา จะกลับมาให้ขายขี้หน้าอีกด้วยเหตุใด?” คุณชายใหญ่ที่โกรธเกรี้ยวพูดจาด่าทอออกมาไม่หยุดปาก ความโกรธที่ไม่สามารถระบายออกได้ทั้งหมดเมื่อครู่ะเิออกมาตอนนี้!
“อะแฮ่ม ขอคุณชายโปรดใจเย็นลง ข้าได้ยินด้วยว่า นอกจากหลี่เฉวียนและนายน้อยหลิงอวิ๋นแล้ว ทางสำนักิญญาเมฆายังส่งผู้าุโสองคนให้ติดตามมาด้วยขอรับ!”
