ได้ยินว่าหลินฟู่อินจะไปพบคุณชายหลิวภัตตาคารหลิวจี้ หัวคิ้วของชายหนุ่มก็ขมวดเข้าเล็กน้อย
หลิวฉินผู้นั้นถูกขนานนามว่าเป็คุณชายเสเพล ที่แท้ภายในกลับปิดบังความสามารถเอาไว้หรอกหรือ?
นางสนิทสนมกับเขา?
หวงฝู่จินสับสน แต่พอลองคิดๆ ดูก็เห็นว่านางคงจะค้นพบพร์ของคนผู้นั้นแล้วเจรจาค้าขายกับอีกฝ่าย
พอคิดเช่นนี้ริมฝีปากชายหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มบางยามมองหลินฟู่อิน
เด็กคนนี้ไม่เพียงเป็หมอช่วยชีวิตและรักษาาแ ทว่ายังเจรจาค้าขายกับผู้คนในกิจการหลากหลาย สายตาไม่เลวเลย ซ้ำยังทำเงินได้อีกด้วยไม่ใช่หรือ?
หลินฟู่อินรีบร้อนเปิดประตูจากไป หวงฝู่จินเดินยกมือไพล่หลังกลับเข้าบ้าน
“ตวนมู่เฉิง” เมื่อเข้ามาแล้วเขาก็ตรงไปยังห้องหนังสือของหลินฟู่อิน เพราะตวนมู่เฉิงมีเื่ต้องทำมากมาย ยังมีเอกสารต้องจัดการอีกมาก จึงขอยืมห้องหนังสือของเด็กสาวใช้ชั่วคราว
“นายท่าน โปรดสั่งการขอรับ” ตวนมู่เฉิงกำลังเขียนเอกสารวุ่นวาย เมื่อเห็นหวงฝู่จินเข้ามากกะทันหันก็หยุดมือเดินออกมาทันที
หวงฝู่จินมองเขาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็กล่าวว่า “มีเื่ให้เ้าดูหน่อย”
ตวนมู่เฉิงนานครั้งจะเห็นผู้เป็นายทักทายด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ ในใจรู้สึกสยองขวัญขึ้นมา ก่อนจะทำใจกล้าถามออกไป “นายท่าน้าให้ผู้น้อยใส่ใจเื่ใดเป็พิเศษขอรับ”
“คุณหนูหลินจะไปหาคนไข้ในเมืองชิงเหลียน กิจการที่เตรียมการไว้ไม่มีคนดูแล ดังนั้นเ้าไปช่วยนางดูเสีย” หวงฝู่จินกล่าว
ตวนมู่เฉิงแทบะโ ในมือเขาต้องดูกิจการใหญ่โตมากมายจนหัวหมุน กิจการเล็กๆ ของคุณหนูหลินจำเป็ต้องให้เขาไปดูหรืออย่างไร?
“นายท่าน เช่นนั้นข้าจะจัดหาคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยนางดูแลนะขอรับ?” ในใจตวนมู่เฉิงลอบบ่นหลินฟู่อิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามหวงฝู่จินเพื่อความแน่ใจ
ที่จริงเื่เล็กๆ เช่นนี้แค่ส่งลูกน้องสักคนมาบอกแล้วให้ใครไปช่วยทำแทนก็ได้ แต่นี่ให้มือขวาของนายท่านดูแลคนสิบคนนั้น… หากผู้ใต้บังคับบัญชานายท่านคนอื่นรู้เข้ามีแต่จะหัวเราะเยาะเขาแน่!
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะบังคับผู้อื่นไปแทน
ทว่าหวงฝู่จินกลับส่ายหน้าน้อยๆ “โรงงานนางมีคนแค่สิบเอ็ดคนจึงไม่มีปัญหามากมายนัก นอกจากนั้นนางยังออกปากขอให้เ้าช่วย”
ในที่สุดตวนมู่เฉิงก็เข้าใจแล้ว เกรงว่าจะไปล่วงเกินคุณหนูหลินโดยไม่รู้ตัวเข้า หาไม่เหตุใดนางจึงต้องพูดชื่อเขาต่อหน้านายท่านให้เขาไปดูแลคนของนางแค่สิบเอ็ดคนด้วย?
“ช่วยนางทำงานให้ดี ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น อีกครึ่งเดือนนางจะกลับจากชิงเหลียน” หวงฝู่จินเน้นย้ำ
ตวนมู่เฉิงสูดลมหายใจเข้า ท่าทางหดหู่รับปาก จากนั้นจึงทำเหมือนนึกอะไรได้ “มิใช่วันมะรืนนายท่านมีเื่ต้องไปเมืองชิงเหลียนเพื่อจัดการหรอกหรือขอรับ?”
“ไปล่วงหน้าหนึ่งวัน ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า เ้าดูเื่ในชิงหยางให้ดี” หวงฝู่จินเอ่ยเสียงเบา
“นายท่านไม่ต้องเป็ห่วง ข้าจะสั่งให้เหล่าลิ่วนำคนติดตามเพิ่มไปขอรับ” สีหน้าตวนมู่เฉิงเคร่งเครียดขึ้น “ตามข้อมูลที่ได้รับ นักฆ่าที่องค์ชายใหญ่สั่งการตอนนี้กำลังเดินทางมา ท่านต้องระวังตัวให้ดี”
ได้ยินเช่นนี้ริมฝีปากหวงฝู่จินก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้มเย็นเยียบ “ดีเหลือเกิน ดูเหมือนเสด็จพี่คงไม่มีทางหยุดจนกว่าจะได้เห็นข้าตาย”
ดวงตาอ่อนโยนของตวนมู่เฉิงเปล่งประกายฆ่าฟันรุนแรง เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “หากมิใช่ว่าได้รับแรงกดดันจากฝ่าาเมื่อครั้งก่อน องค์ชายสองคงตั้งใจสังหารท่านไปนานแล้ว เกรงว่าเพียงกดข่มไว้คงไม่พอ!”
หมอกดำปรากฏในดวงตาหวงฝู่จินก่อนจะหายวับไป
เขาหันหน้าไปมองตวนมู่เฉิง “มิใช่ฝ่าาย่อมต้องรับมือองค์ชายสองเป็ธรรมดาหรอกหรือ? หากองค์ชายสองถูกกำราบรวดเร็วเกินไป คนที่มีกำลังแย่งชิงตำแหน่งนั้นก็น้อยลงคนหนึ่ง พวกองค์ชายที่มีอำนาจมากพอที่เหลืออยู่ก็ดีทั้งนั้น แต่ยังดีไม่พอสำหรับพระองค์”
ตวนมู่เฉิงเพิ่งเคยได้ยินผู้เป็นายเอ่ยเช่นนี้เป็ครั้งแรก เขาเข้าใจได้ แต่กลับไม่อยากเชื่อ “เหตุใดจึงเป็เช่นนั้นเล่าขอรับ? มิใช่ฝ่าา… ้าให้นายท่าน…”
“ตวนมู่!” สายตาที่หวงฝู่จินมองแข็งกร้าว “ระวังด้วย!”
สีหน้าตวนมู่เฉิงซีดเผือด รีบคุกเข่าลง หน้าผากแตะพื้นทันที กล่าวด้วยเสียงต่ำเบาไม่ยินยอม “นายท่าน ผู้น้อยสมควรตาย ผู้น้อยไม่ควรคาดเดาพระทัยพระองค์!”
หวงฝู่จินแค่นลมหายใจแล้วพูดเสียงเบา “ลุกขึ้น ความผิดเ้ามิใช่การคาดเดาพระทัย แต่เป็การคาดเดาความตั้งใจของพระองค์และเข้าใจผิด!”
ตวนมู่เฉิงเงยหน้าขึ้นมองหวงฝู่จินด้วยความประหลาดใจ เขาคาดเดาผิดหรือ?
มิใช่ฝ่าาคาดหวังให้นายท่านนั่งบนนั้นมากที่สุดหรอกหรือ?
“นายท่านเช่นข้าจะบอกเ้าให้ ต่อให้ฝ่าามีใจเช่นนั้นจริงก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ แม้ตอนนี้พระองค์จะมิได้เป็หนุ่มแล้วแต่ยังทรงคิดว่าทรงอ่อนเยาว์แข็งแรงอยู่ ที่นั่งนั้นของพระองค์ย่อมไม่ยินยอมให้ผู้อื่นมาแย่งชิง ตั้งใจปล่อยให้พี่น้องของข้าพวกนั้นต่อสู้กันภายใน สนับสนุนกันเอง กลืนกินกันเอง เ้าเข้าใจหรือไม่?”
หวงฝู่จินก็เคยไม่เชื่อเื่นี้มาก่อน ฝ่าาผู้นั้นที่ใจดีและแสนใจอ่อน ทรงเป็เช่นนั้นจะปล่อยให้ลูกรักทั้งหลายกลายเป็เบี้ยหมากในมือจนเกิดการแบ่งแยกเป็ฝักฝ่ายใส่ร้ายกันเองได้อย่างไร?
แต่เขายิ่งรู้ดีกว่าว่าการเกิดในครอบครัวโอรส์นั้นหลั่งเืได้หาใช่น้ำตาไม่ และสำหรับฝ่าาแล้ว ของเช่นเืเนื้อเชื้อไขต้องอยู่บนพื้นฐานของการสยบยินยอมโดยไร้เงื่อนไข ก่อนตายบัลลังก์นั้นย่อมต้องแย่งชิงเอาไว้ในมือให้มั่น
ดังนั้นความโกลาหลที่เกิดขึ้นระหว่างเป่ยหรงกับต้าเว่ยในยามนี้ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลที่อธิบายได้
“ข้าไม่เคยบอกเ้า เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อ หากมิใช่ยามนี้พี่ชายที่แสนดีของข้ายิ่งฆ่าคนมากขึ้นทุกที แต่ละครั้งยิ่งไร้ปรานีขึ้น ข้าคงเชื่อไม่ลง” หวงฝู่จินตวัดสายตามองตวนมู่เฉิงที่ยืนโง่งม ก่อนจะถอนใจเบาๆ “หาโอกาสสื่อสารเื่นี้ให้พวกเขาเสีย ถึงเวลาต้องปลุกคนพวกนั้นแล้ว อีกหน่อยเรายังมีสนามรบที่ต้องต่อสู้อีกมาก
ตวนมู่เฉิงรับคำด้วยความสิ้นหวัง
เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ไปได้
เขายังจำได้ ตอนที่ฝ่าาขอให้เขาติดตามนายท่าน ช่วยเป็ขุมกำลังให้…
หรือนายท่านจะเข้าใจผิดไป?
หลินฟู่อินไปภัตตาคารหลิวจี้ นางไม่ได้พบหลิวฉินแต่บังเอิญเจอกับเถ้าแก่หลิวอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินช่วยผู้ดูแลคิดเงินอยู่ พอเขาเห็นหลินฟู่อินก็ยิ้มกว้างรีบเดินเข้ามาหา
“ฟู่อิน ยากนักเ้าจะมาเยี่ยมเยือน ข้ามิได้พบเ้าที่ร้านนี้เสียนาน” จากนั้นจึงหันไปสั่งการเสี่ยวเอ้อร์ที่ด้านหนึ่ง “ยกน้ำชาที่ดีที่สุดมา ไปครัวใหญ่บอกพ่อครัวใหญ่เถี่ยให้นำขนมถั่วแดงที่ดีที่สุดมา แล้วบอกว่าแม่นางหลินมาที่นี่”
สั่งการเสร็จก็หันมาทำท่าเชื้อเชิญหลินฟู่อิน “ฟู่อิน เข้ามานั่งในห้องส่วนตัวบนชั้นสามก่อนเถอะ”
เห็นความสุภาพของเหล่าหลิว หลินฟู่อินก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รีบร้อนกล่าว “ท่านลุงหลิว ข้าว่าจะมาหาพี่หลิวฉินเ้าค่ะ ข้ามีเื่จะคุยกับเขา ประเดี๋ยวคุยเสร็จก็ไปแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าต้องไปเมืองชิงเหลียนเ้าค่ะ”
“อ้าว พรุ่งนี้ฟู่อินจะไปเมืองชิงเหลียนหรือ?” เถ้าแก่อุทานอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงยิ้มเขินเมื่อเห็นหลินฟู่อินมองมาด้วยความสงสัย “บังเอิญยิ่ง เมื่อวานหลิวฉินก็เพิ่งจะไปชิงเหลียน ตอนนี้จึงไม่อยู่บ้าน”
หลินฟู่อินโง่งมไป เื่นี้บังเอิญมากจริงๆ ด้วย
“ฟู่อิน ในเมื่อหลิวฉินไม่อยู่ พูดกับข้าก็เหมือนกัน ขอเพียงพวกเราร้านหลิวจี้ทำได้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ” คนพูดไปนำทางนางขึ้นไปยังชั้นสามไป
หลิวฉินบอกเขาไว้ว่าหลินฟู่อินกำลังเตรียมการทำวัตถุดิบใหม่ให้กับภัตตาคารทั้งหลายที่รอกันมานาน เขาเองก็รอคอยอยู่เช่นกัน ในใจจึงคิดว่าหลินฟู่อินมาหาหลิวฉินด้วยเหตุนี้
หลินฟู่อินเคยคิดๆ ดูก่อนจะมาที่นี่แล้ว นางเห็นว่าเื่นี้คุยกับเถ้าแก่หลิวเหมาะสมที่สุด แต่คิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมรับเื่ใหม่ๆ เพราะแก่เกินไป จึงตั้งใจจะคุยกับหลิวฉินให้ไปเกลี้ยกล่อมบิดา แต่ตอนนี้แผนการคงตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน หลิวฉินเดินทางไปชิงเหลียนก่อนนางสองวัน นางจึงต้องบอกเหล่าหลิวแทน
ดังนั้นนางจึงเล่าเื่แผนการส่งอาหารของภัตตาคารหลิวจี้อย่างละเอียดให้กับเถ้าแก่ฟัง
คราวแรกเหล่าหลิวไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าลมหนาวของเดือนสิบสองนี้หนาวเย็นยิ่งนัก กระทั่งหยดน้ำยังกลายเป็น้ำแข็งได้ อาหารร้อนๆ แม้จะเก็บในกล่องอาหารหนาๆ อย่างไรครู่เดียวก็เย็นชืด
ถึงจะเย็นแต่หากนำไปอุ่นก็ยังกินได้ แต่รสชาติอาหารที่นำไปอุ่นซ้ำเช่นนี้แย่กว่าตอนทำเสร็จใหม่ๆ มาก คนที่กินของพวกนี้มีแต่คนรวยๆ มีเงินทั้งนั้น จะทนได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงเพียงแค่ยิ้มรับฟัง ไม่รับปากแต่ก็ไม่คัดค้าน
แต่เมื่อหลินฟู่อินบอกถึงวิธีให้ความร้อนแก่อาหาร สีหน้าก็เปลี่ยนไป ดวงตาเริ่มทอประกาย
พอฟังจนจบ เหล่าหลิวก็อดปรบมือหัวเราะไม่ได้ “ไอ้หยา สิ่งที่ฟู่อินคิดฉลาดจริงๆ! ดียิ่งนัก ดียิ่ง!”
หลินฟู่อินเห็นเขาออกปากชมก็รู้ในใจว่าสำเร็จแล้ว
“เช่นนั้นลุงหลิวคิดว่าสามารถทำกิจการส่งอาหารนี้ได้หรือไม่เ้าคะ?” หลินฟู่อินยิ้มถาม
เถ้าแก่หลิวเห็นว่าแินี้ดีมาก ในฤดูหนาวเช่นนี้กิจการซบเซา ปัญหาส่วนใหญ่มาจากอากาศเย็นเกินไป พวกคนรวยก็ไม่อยากจะออกนอกบ้าน ไม่ต้องพูดถึงการกินดื่มที่ภัตตาคารเลย คนพวกนี้หากทำอะไรที่บ้านได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องออกไปทนหนาวนอกบ้าน
แต่หากมีกิจการส่งอาหารถึงที่เช่นนี้ย่อมต่างออกไป คนที่บ้านไม่จำเป็ต้องทำอาหารเอง ให้ร้านทำอาหารอร่อยๆ จากนั้นนำไปส่งให้ถึงโต๊ะ เกรงว่าคนพวกนี้จะร้องขอแทบไม่ทัน!
พ่อครัวแม่ครัวในบ้านคนรวยเ่าั้จะมีฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยมได้เท่าปรมาจารย์เถี่ยของร้านเขาหรือ? สามารถทำอาหารได้ทุกประเภทหรือ?
“ทำได้ เ้าทำได้ เ้าทำได้!” เถ้าแก่หลิวหัวเราะดังลั่นเสียจนหลังคาแทบสั่น “โอ ข่าวดีจริงๆ เ้าเป็ผู้มีพระคุณของพวกเราภัตตาคารหลิวจี้โดยแท้ โอ! หากพรุ่งนี้เ้าไม่ต้องไปเมืองชิงเหลียน คืนนี้ข้าคงไม่ปล่อยเ้ากลับบ้าน ให้ภรรยาข้ามาเลี้ยงอาหารดีๆ เ้าสักมื้อแน่!”
หลินฟู่อินดีใจมากจริงๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะทำกิจการส่งอาหาร ส่วนเื่เชิญนางกินข้าวเย็นอะไรนั่น นางไม่มีเวลาขนาดนั้นจึงได้โบกมือด้วยความสุภาพ ก่อนจะนึกอะไรออก “อ้อ หากว่าภัตตาคารหลิวจี้เริ่มส่งอาหาร ร้านอื่นๆ ย่อมต้องทำตามแน่นอนเ้าค่ะ หากท่านลุงหลิวไม่อยากโดนลอกเลียนแบบก็ต้องลองหาทางดู”
เหล่าหลิวนิ่วหน้า คิดสักพักก็หัวเราะอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยท่าทีลึกลับ “ฟู่อิน ข้าคิดออกแล้ว ถึงอย่างไรหนทางหาเงินแบบใหม่ย่อมต้องมีผู้อื่นทำตาม เ้าวางใจเถอะ เมื่อถึงเวลา ลุงหลิวย่อมหาเงินตำลึงมาเป็อั่งเปาให้เ้าในวันปีใหม่ได้ไม่น้อยแน่นอน!”
หลินฟู่อินสงสัย แต่ก็ยังปฏิเสธ “ข้าคิดวิธีนี้มาเพื่อภัตตาคารหลิวจี้เป็พิเศษ ย่อมไม่้าให้ท่านลุงหลิวมอบเงินให้ข้ามากกว่านี้แล้วเ้าค่ะ เื่นี้ท่านไม่จำเป็ต้องจ่ายเงินเลย”
“ดีดีดี เช่นนี้ลุงหลิวก็ไม่เกรงใจเ้าแล้ว ระวังไว้เถอะ ลุงหลิวย่อมไม่แพ้เ้าแน่ ฮ่าๆ” เหล่าหลิวทำเงินจากอาหารจานใหม่สี่อย่างที่หลินฟู่อินคิดให้ได้มากมาย ย่อมไม่อาจบอกได้ว่ายามนี้อารมณ์ดีมากมายเพียงใด ตอนนี้มีวิธีดีๆ ในการหาเงินเพิ่มก็พาให้รู้สึกราวกับลอยได้
เห็นเขายืนกรานเช่นนี้หลินฟู่อินก็ได้แต่ส่ายหน้าปล่อยเขาไป เห็นว่าใช้เวลาไปมากแล้ว นางจึงถาม “ท่านลุงหลิวคิดจะเริ่มส่งอาหารเมื่อใดเ้าคะ?”
เห็นว่านางทำท่าจริงจัง เขาก็หยุดหัวเราะแล้วกล่าวเคร่งขรึม “ข้าตั้งใจว่าจะเตรียมการภายในสองวัน อีกสามวันให้หลังสามารถเริ่มทำการได้เป็อย่างช้า”
หลินฟู่อินพยักหน้า เื่นี้ตรงกับที่คิดไว้ นางถามต่อ “ท่านลุงหลิวได้คิดไว้หรือไม่เ้าคะ งานส่งอาหารนี้ไม่ได้ง่ายๆ นับเป็งานใช้แรง ท่านคิดเื่คนที่จะใช้ส่งอาหารแล้วหรือยังเ้าคะ?”
เถ้าแก่หลิวยังไม่ได้คิดถึงข้อนี้ แต่เื่นี้ไม่เป็ปัญหาแม้แต่น้อย
เขานิ่วหน้าครุ่นคิดสักครู่ก็พูด “เช่นนั้นก็จ้างคนงานส่งอาหารมาเพิ่มเสียหน่อย ให้ค่าแรงเยอะขึ้น พวกคนหนุ่มแข็งแรงจากครอบครัวที่ยากจนสักหน่อยคงรีบร้อนมาทำแน่”
เขาคิดกับตัวเอง แม้จะต้องใช้คนงานที่แข็งแรงสามสี่คนต่อครั้ง แต่ค่าแรงอย่างมากก็สิบอีแปะต่อคน คิดไปแล้วก็เหมือนน้ำหนึ่งหยดในถังขนาดใหญ่เทียบกับเงินที่ได้จากค่าอาหารต่อมื้อ
หลินฟู่อินยิ้มบาง นึกเสียดายไม่น้อยที่เถ้าแก่หลิวมิได้ทำกิจการค้าขายอย่างอื่น
“เช่นนั้น ข้าขอร้องท่านลุงหลิวให้ช่วยสักเล็กน้อยได้หรือไม่เ้าคะ? ครั้งนี้ข้าพาคนสิบกว่าคนจากหมู่บ้านหูลู่ให้มาทำงานให้ข้า เื่นี้ใช้ชื่อของหลิวฉินบังหน้า แต่ว่าตอนหลังต้องใช้คนเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้นเอง ท่านลุงหลิวช่วยจัดให้สามคนที่เหลือมาจัดส่งอาหารที่ร้านของท่านได้หรือไม่เ้าคะ?”
พูดจบ หลินฟู่อินก็มองอีกฝ่าย
“ได้ๆๆ เหตุใดจะไม่ได้เล่า? คนเหล่านี้แข็งแรงปราดเปรียว เหมาะสมพอดี!” เหล่าหลิวพยักหน้าตกลง “ตอนคนพวกนั้นมาก็ให้มาที่ภัตตาคารหลิวจี้โดยตรงเลย ข้ามีอาหารกับที่พักให้ ค่าแรงวันละสิบอีแปะ!”
หลินฟู่อินพอใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณ “เช่นนั้นต้องขอขอบคุณท่านลุงหลิวแทนชาวบ้านจากหมู่บ้านของเราด้วยเ้าค่ะ!”
“ขอบคุณหรือ ต้องสุภาพอะไรเพียงนั้น?” เหล่าหลิวจงใจทำหน้าตาไม่พอใจ จากนั้นจึงกล่าว “จะว่าไปแล้ว หากยังมีคนในหมู่บ้านเ้าที่อยากเข้าเมืองมาทำงาน เ้าก็เรียกคนที่ดูเข้าท่าเข้าทีมาได้เลย คิดว่าหากเริ่มส่งอาหารถึงบ้านในฤดูหนาวนี้ ร้านข้ายัง้าคนอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดคนต่อวัน ครั้งแรกคงเรียกคนเท่านี้ก่อน จากนั้นหาก้ามากขึ้นค่อยหาเพิ่ม”
เห็นอีกฝ่ายโปร่งใสยิ่งนัก ทั้งยังให้หน้านาง ทำให้นางดูเป็คนดี สามารถกลับหมู่บ้านไปหาชาวบ้านมาทำงานเช่นนี้ทำให้หลินฟู่อินซาบซึ้งยิ่งนัก
ค่าแรงสิบอีแปะต่อวันนับว่าเยอะมาก แรงงานคนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนที่ต้องอยู่บ้านใน่ฤดูหนาวรู้เข้าคร้านจะแย่งงานกันจนหัวร้างข้างแตก
แต่เื่นี้หลินฟู่อินไม่คิดจะออกหน้า ให้ลุงหลิวคนขับเกวียนกลับไปบอกหลี่เจิ้ง ให้หลี่เจิ้งทำหน้าที่ปวดหัวไป
พอเื่นี้จบลงอย่างน่าพึงพอใจ นางก็เห็นว่าเวลาเย็นมากแล้ว หลินฟู่อินกล่าวลาเหล่าหลิว ก่อนจากมาคนยังสั่งให้ทางครัวห่ออาหารชุดใหญ่ใส่กระดาษน้ำมันให้นางกินแล้วยัดใส่มือนางด้วยความซาบซึ้งใจอีก
หลินฟู่อินปฏิเสธไม่ได้จึงต้องนำกลับมา
เดิมทีนางคิดจะนำอาหารห่อสองห่อกลับหมู่บ้านหูลู่ไปให้ย่าหลี่กับแม่นมฉิน แต่ตอนนี้เห็นอาหารสี่ห่อที่เหลือในมือ นางจึงคิดจะแบ่งห่อหนึ่งให้บ้านสอง ห่อหนึ่งให้บ้านเดิม ส่วนอีกห่อให้บ้านต้ายา
พอกลับถึงหมู่บ้านและจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย นางก็คิดจะกลับเข้าเมือง ปรากฏว่าลุงหลิวที่ขับเกวียนมีญาติมาบ้าน จึงไม่ขับเกวียนเข้าเมืองแล้ว
หลินฟู่อินอึ้งไป
หลี่ฮูหยินตกลงกับนางว่าจะไปรับที่หน้าบ้านใหม่พรุ่งนี้เช้า หากนางใช้เกวียนเทียมลาไม่ได้ก็คงต้องเดินทั้งคืน
กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ให้นางเดินคนเดียวอย่างไรก็ไม่ปลอดภัย
ตอนนี้หลินฟู่อินหงุดหงิดจริงๆ ยามนี้นั่งเกวียนเทียมวัวก็ช้าเสียยิ่งกว่าเดิม ถึงจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อจ้างคนได้ นางก็ไม่อยากวุ่นวายเพียงนั้น
“คุณหนู นายท่านรู้ว่าท่านกลับมาที่หมู่บ้าน เกรงว่าตอนกลับจะดึกจึงให้เหล่าลิ่วมารับขอรับ” ขณะที่หลินฟู่อินกำลังเดินคอตกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ไปยังทางเข้าหมู่บ้านนั้นเอง ก็ต้องใเมื่อได้ยินเสียงเหล่าลิ่วดังออกมาจากพุ่มไม้เล็กๆ พุ่มหนึ่ง
หลินฟู่อินหันไปมาแต่ไม่เห็นตัวคน แต่เสียงนั่นเป็เสียงเหล่าลิ่วแน่นอน
“คุณหนู ท่านเดินออกจากปากทางหมู่บ้าน เดินไปอีกครึ่งลี้บนถนนสายหลัก ข้าน้อยจะรออยู่บนรถม้าขอรับ” เหล่าลิ่วอธิบาย จากนั้นก็ว่า “คุณหนูไม่ต้องกลัว มีเหล่าลิ่วอยู่ ย่อมไม่เกิดเื่กับคุณหนูแน่นอนขอรับ”
ถึงไม่เห็นตัวคน หลินฟู่อินก็ยังพยักหน้าหงึกหงักให้กับอากาศ จากนั้นหันหน้าเดินออกจากหมู่บ้านไปด้วยสีหน้าสงบ
ในใจนึกขอบคุณหวงฝู่จิน โชคดีจริงๆ ที่เขาส่งเหล่าลิ่วมารับนาง ไม่อย่างนั้นนางคงพลาดไปแล้ว
ถึงในใจจะรู้ว่าต่อให้นางอยู่ในหมู่บ้านอีกคืนแล้วพรุ่งนี้รีบออกแต่เช้าหลี่ฮูหยินก็คงไม่ว่าอะไรนาง แต่นางรับปากเอาไว้แล้วย่อมต้องพยายามให้ดีที่สุด
ครั้งนี้หวงฝู่จินเคลื่อนไหว ทำให้นางไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือ คู่ควรให้นางขอบคุณเขา กลับไปแล้วนางจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เขากินก็แล้วกัน…
จากตัวหมู่บ้านหูลู่ไปถึงปากทางหมู่บ้านมีระยะทางครึ่งลี้ จากนั้นนางเดินอีกครึ่งลี้เพื่อเข้าถึงถนนสายหลัก แล้วก็ต้องเดินอีกครึ่งลี้เพื่อไปถึงจุดนัดพบ รวมแล้วเป็ระยะทางหนึ่งลี้่ครึ่ง เดินจนปวดขาไปหมดในที่สุดหลินฟู่อินก็เจอรถม้าหน้าตาธรรมดาคันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งซ้ายมือของถนนหลัก เห็นก็รู้ได้ว่าต้องเป็เหล่าลิ่วมารับนางแน่นอน
“คุณหนูเหนื่อยหรือไม่?” พอขึ้นมาในรถม้า เหล่าลิ่วก็รีบเอ่ยถามทันที เขายิ้มจากนั้นก็อธิบาย “หากอยู่ใกล้หมู่บ้านเกินไปประเดี๋ยวคนในหมู่บ้านท่านจะเห็นเอาขอรับ หากมีข่าวลืออะไรเข้าจะไม่ดี”
หลินฟู่อินยิ้มแล้วถามออกไป “พี่เหล่าลิ่วเป็คนคิดหรือ?”
“เป็คำสั่งนายท่านขอรับ” เหล่าลิ่วตอบ จากนั้นก็สะบัดแส้ รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
หลินฟู่อินขมวดคิ้วเล็กน้อย หวงฝู่จินใส่ใจนางจริงๆ ช่างคิดและเอาใจใส่ไปเสียทุกส่วน แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความสัมพันธ์นี้ว่าอย่างไรดี
“คุณหนู ได้ยินจากนายท่านว่าพรุ่งนี้ท่านจะไปเมืองชิงเหลียนหรือขอรับ?” เหล่าลิ่วยิ้ม
“ใช่เ้าค่ะ” หลินฟู่อินเองก็ยิ้มตอบ
“บังเอิญจริงๆ นายท่านเองก็ต้องไปชิงเหลียนวันพรุ่งนี้เช่นกัน ข้าเองก็ไปด้วยขอรับ” เหล่าลิ่วหัวเราะด้วยท่าทีโง่งม
หลินฟู่อินผงะ พรุ่งนี้หวงฝู่จินก็จะไปเมืองชิงเหลียนเหมือนกันหรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้