คนที่อยู่บนพื้นทรายเลียริมฝีปากเล็กน้อย น้ำที่ไหลหยดเปียกซึมผมกับคอเสื้อของเขาและจากนั้นก็หยดลงบนทราย
ทังเหวยเก็บเหยือกน้ำและพันเศษผ้าเก็บไว้แล้วลุกขึ้น
ทังเหวยสำรวจขนาดรูปร่างของคนคนนี้ จากนั้นก็นั่งย่อลงแล้วพยุงเขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ และก็ลากเขาไปยังทิศทางหนึ่ง
หร่านซวี่จือมองไกลออกไป ภาพกว้างไกลออกไปปรากฏหมู่บ้านเล็กๆ ซ่อมซ่ออยู่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่ ทังเหวยมาถึงหนึ่งในบรรดาห้องทั้งหมดและจัดการวางเขาลงบนเตียง จากนั้นก็ไปขอยาบรรเทาาแกับเพื่อนบ้านแล้วเทยาลงบนแผลให้ชายผู้นี้
ทังเหวยใช้เศษผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดเศษดินเศษฝุ่นบนใบหน้าของเขา จากนั้นหน้าตาของอีกฝ่ายก็เริ่มเผยออกมาทีละนิด
หร่านซวี่จือเบิกตาโต นี่…นี่มันปิงโหยวจี้ไม่ใช่หรือ?
หรือจะบอกว่าทังเหวยคือคนที่ช่วยชีวิตปิงโหยวจี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วงั้นหรือ?
ห้วงมิติบิดเบี้ยวอีกครั้ง และพอทุกอย่างเริ่มนิ่ง ภาพตรงหน้าก็คือปิงโหยวจี้ที่ตื่นขึ้นบนเตียง
“อย่าขยับ” ทังเหวยถือกะละมังน้ำเดินเข้ามา
ใบหน้าและตัวของเขามีผ้าคลุมสีขาวพันไว้ทั่วและยังสวมผ้าคลุมตัวหนาปกปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง มีเพียงมือคู่ขาวเนียนละเอียดและเรียวยาวยื่นออกมา
“ที่นี่คือที่ไหน? ” ปิงโหยวจี้เอามือยันศีรษะและเอ่ยถามด้วยความเ็ป
“ชายแดนเม็กซิโก” ทังเหวยวางน้ำลงบนพื้น จากนั้นก็ไปหยิบตะกร้าผักในมุมห้องมา ใบของผักเหล่านี้เริ่มแห้งเหี่ยวแต่ก็ยังสามารถกินได้ “กองกำลังพิเศษงั้นหรือ? ”
ปิงโหยวจี้พยักหน้า
ปิงโหยวจี้พินิจทังเหวยอยู่ชั่วครู่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “นายเป็โอเมก้าหรือ? ”
ฝีเท้าของทังเหวยหยุดชะงัก
เขาหันหลัง แววตานั้นเ็าปนเคร่งขรึม
ผ้าคลุมของเด็กหนุ่มที่อยู่กลางทะเลทรายนั้นดูโดดเด่นสะดุดสายตาเป็พิเศษเมื่อถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาดำขลับบริสุทธิ์นั้นจ้องมองปิงโหยวจี้ “ฉันเป็โอเมก้า แล้วอย่างไร? ”
ปิงโหยวจี้ชะงัก
ทังเหวยเดินไปหน้าปิงโหยวจี้ จู่ๆ ก็ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อของปิงโหยวจี้ ใบหน้าขาวผุดผ่องเคลื่อนเข้ามาใกล้แค่คืบ กระทั่งััลมหายใจได้ชัดเจนทุกจังหวะ เขายกยิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยเย้ยหยัน “นายเป็อัลฟ่า ฉันเป็โอเมก้า ดังนั้นนายก็เลยอยากตีตราฉันอย่างนั้นหรือ? ”
ปิงโหยวจี้หน้าแดงทันใด
ทังเหวยปล่อยปิงโหยวจี้ออกแล้วมองเขาอย่างเ็า จากนั้นก็ไม่พูดจาพลางสวมหมวกคลุมใหม่ หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับลมอุ่นๆ
ภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ปิงโหยวจี้กำลังซ่อมเครื่องมือสื่อสารอยู่ในห้องนอนของตนเอง ทังเหวยเดินมาข้างเขาและนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ “การเข้าร่วมคัดเลือกกองกำลังพิเศษ…มีเงื่อนไขหรือเปล่า? ”
“หืม? ” ปิงโหยวจี้อึ้งเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ถ้าเป็อัลฟ่ากับเบต้าก็ได้หมด แต่ว่าเบต้า จำต้องมีการแนะนำจากแผนกที่เกี่ยวข้อง”
“แล้วโอเมก้าล่ะ? ”
มือของปิงโหยวจี้หยุดชะงักแล้วเงยศีรษะขึ้นมองไปทางทังเหวย
ทังเหวยจ้องเขา ในดวงตามีความคาดหวังและตื่นเต้นปนอยู่อย่างไม่ค่อยไม่เห็นนัก
“นาย…” ปิงโหยวจี้วางของในมือลงแล้วเอ่ยแบบอ้ำอึ้ง “สำหรับโอเมก้า… อันตรายมากนะ”
เมื่อมีคำพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทังเหวยนิ่งเงียบ
คำตอบของปิงโหยวจี้นั้นถูกต้องอย่างที่น่าจะเป็ หากโอเมก้าเข้าร่วมกองกำลังพิเศษ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะผ่านไปได้อย่างไร ลำพังสภาพร่างกายของโอเมก้า ก็ไม่อาจทนรับการฝึกฝนของกองกำลังพิเศษที่เหมือนปีศาจอย่างนั้นได้แน่นอน
อีกอย่าง ไม่เคยมีโอเมก้าที่เคยคิดเข้าร่วมการคัดเลือกกองกำลังพิเศษแบบนี้อยู่แล้ว
“แต่ว่า…” ปิงโหยวจี้เอ่ยปากถามด้วยความร้อนใจ “นายจะกลับไปหน่วยบัญชาการกับฉันไหม? ที่นั่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าที่นี่เยอะเลย”
หร่านซวี่จือส่งเสียงจึ๊ๆ ปิงโหยวจี้ในสมัยเด็กหนุ่มนี่ช่างเป็เด็กหนุ่มเขินอายที่ไร้เดียงสาเสียจริง
ทังเหวยไม่ได้ตอบเขาแต่กลับมองพื้นอย่างเหม่อลอย
หร่านซวี่จือ: “เป็ไปได้ว่ากำลังคิดเื่เปลี่ยนเพศสภาพ”
เมื่อคิดเช่นนี้ ใจของหร่านซวี่จือก็เริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมา
ภาพก็เปลี่ยนอีกครั้ง ครั้งนี้คือยามค่ำคืนที่มืดมน กระนั้นก็มีเสียงที่ดังขึ้นสลับกัน
ทังเหวยหายใจหอบอย่างรุนแรง เขาใช้สองมือดึงเสื้อของตนเอง หดตัวอยู่ตรงมุมแล้วตะคอกใส่คนข้างหน้า “ไสหัวไป! ”
คนด้านหน้าคือชายหนุ่มแปลกหน้า ใบหน้าของทังเหวยแดงอย่างไม่น่าเชื่อและมีเหงื่อซึมทั่วร่าง
กำเนิดความใคร่? ไม่ใช่ ไม่เหมือนว่ามีความใคร่ เหมือนถูกคนวางยามากกว่า
หร่านซวี่จือกังวลในใจ ทังเหวยคงไม่ได้เป็อะไรหรอกนะ?
“เป็แค่โอเมก้า อย่ารุนแรงหน่อยเลยน่า” สีหน้าของคนคนนั้นหน้าบูดหน้าเบี้ยว บนแขนของเขามีรอยข่วนสองสามรอ แล้วก็มีเืไหล ดูจากสถานการณ์น่าจะเพราะทังเหวยกับเขาผ่านการต่อสู้มาก่อนหน้านี้
อีกฝ่ายกำลังพุ่งตัวมาทางทังเหวยแต่ก็มีมีดเล่มหนึ่งพุ่งมาเสียบเข้าที่หลังคอของเขา จากนั้นก็มีเสียงเ็าของคนคนหนึ่งดังขึ้น: “รนหาที่ตาย”
เมื่อสิ้นเสียง เืก็พุ่งทะลัก ชายคนนั้นเบิกตาโพลงแล้วค่อยๆ คุกเข่ากับพื้น จากนั้นก็ล้มลง
ปิงโหยวจี้วิ่งไปทางทังเหวย “นายเป็อย่างไร…”
ทังเหวยหายใจแรงแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรงกับปิงโหยวจี้ “พาฉันกลับไป”
ปิงโหยวจี้ยังไม่โตเต็มวัย แต่ทังเหวยนั้นโตเต็มวัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าฟีโรโมนของทังเหวยจะส่งผลต่อปิงโหยวจี้หรือไม่
ปิงโหยวจี้มีสีหน้าร้อนใจ เขานั่งลงมาเพื่อพยุงทังเหวย จากนั้นก็พาทังเหวยเดินกลับไปด้วยสภาพที่เซไปมา
ในหมู่บ้านไม่มีอัลฟ่าคนอื่นๆ แล้ว และ่ระหว่างนี้ก็ไม่น่าจะมีคนมา ทังเหวยก็เข้าไปในห้องนอน ลูบๆ คลำๆ จนไปถึงเตียงของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยกับปิงโหยวจี้ว่า “กลับไป! ”
ปิงโหยวจี้ยืนอยู่ตรงนั้นแน่นิ่ง
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ” ทังเหวยใบหน้าแดงระเรือ ดวงตามีน้ำตารื้น ปอยผมเปียกเหงื่อที่ไหลคล้อยลงมาตามกรอบหน้าจนถึงคางแล้วหยดลงมาตามกระดูกไหปลาร้าที่เป็แอ่งจากนั้นลู่ลงไปในเสื้อ กระทั่งเสียงโมโหที่ส่งออกมาก็เหมือนกำลังออดอ้อน
ปิงโหยวจี้สมองโล่งว่างเปล่า เขารู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดกำลังปะทุอยู่ในร่างกาย หัวใจก็เต้นเร็วและแรงจนเหมือนเสี้ยวถัดไปจะดังจนหูฉีกให้ได้
ในจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานบางอย่างที่แปลกประหลาด ปิงโหยวจี้หายใจดัง มือข้างหนึ่งยื่นไปเกี่ยวไหล่ของทังเหวยเหมือนถูกมนตร์สะกด
กลิ่นอายทั้งหมดแผ่ออกมาจากจุดเล็กๆ ตรงหลังคอ
สัญชาตญาณของอัลฟ่าได้จู่โจมเต็มสมองในชั่วขณะนั้น: ตีตรา สืบพันธุ์
ทังเหวยเหมือนถูกไฟช็อต ร่างกายของเขาสั่นเทา ตัวอ่อนต้านแรงไม่ไหวแล้วฟุบกับขอบเตียง ฟันเขี้ยวของปิงโหยวจี้อยากจะกัดเข้าที่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัว เขาก้มศีรษะทำให้เส้นผมเย็นปรกลงบนิัของทังเหวย
“อย่า…” เสียงบอบบางเอ่ยออกจากปากของทังเหวย
เขาลืมตากว้าง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ความเ็ป สิ้นหวัง ทรมาน รังสีสังหารถูกฉายออกมาผ่านทางแววตา ท่ามกลางอากาศที่เหนียวเหนอะหนะทำให้สมองของปิงโหยวจี้นั้นรวนไปหมด
“อย่าตีตราฉัน…” หน้าอกของทังเหวยกระเพื่อมอย่างหนัก เขาร้องไห้จนหายใจไม่ออก
หากถูกตีตรา ชาตินี้เขาก็จะกลายเป็เพียงแค่ของสะสมของใครบางคน
เขาจะถูกขังอยู่ในบ้านเพื่อสืบพันธุ์มีลูกหลานต่อไป
เขาจะกลายเป็เหมือนพี่สาว
ทั้งที่เขายังมีความฝันอีกมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ เขายังมีสิ่งของที่อยากจะไขว่คว้า
น้ำตาหยดแหมะลงบนมือของปิงโหยวจี้ ซึ่งสิ่งนี้ได้ปลุกสติสัมปชัญญะที่อยู่ลึกในสมองของเขาให้ตื่นขึ้น