ทางเต๋อรั่วเป็คนไม่ชอบพูดมาก หลางฉาจึงต้องกลายเป็ 'โฆษก' ของเขาไป เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ้มด้วยความเป็ห่วงกังวล “คุณชายอ๋าว เมื่อครู่ท่านเป็อะไรทำให้เราใจริงๆ”
พูดจบก็สาดสายตาไปมองจิ่งฝานอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นจิ่งฝานเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวจึงสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ทางเต๋อรั่วเองก็อดหันมามองนางไม่ได้ แววตาเหมือนจะมีความสงสัยอยู่ หลางฉาทำเป็ส่งยิ้มฝืดๆ ให้อย่างสงบนิ่งราวกับไม่มีเื่อะไรต้องกลับไป ทางเต๋อรั่วสงสัยอยู่ครู่เดียวก็ไม่สนใจอีก จากนั้นก็หันไปสังเกตอ๋าวหรานกับเหยียนเฟิงเกอเงียบๆ
มือที่ยื่นมาไม่ยอมตบคนยิ้มให้ ยิ่งไปกว่านั้นคนพูดยังเป็หลางฉา ถึงแม้แม่นางผู้นี้จะทำเื่โง่งมไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็ภรรยาในอนาคตของจิ่งฝาน อ๋าวหรานไม่อยากทำให้นางลำบากจึงยิ้มอย่างสงบนิ่งแล้วตอบกลับไป “อาจเป็เพราะเมื่อก่อนเคยได้รับาเ็เล็กน้อยจึงมีอาการสืบเนื่องมาหลังาเ็ ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร”
หลางฉาพยักหน้า “เช่นนั้นคุณชายอ๋าวต้องดูแลตัวเองให้ดี”
พวกเขาคุยกันไปมาอย่างกระอักกระอ่วนสองสามประโยค หลางฉาก็รู้สึกหลังชื้นเหงื่อเย็นไปหมดจากความเป็อริที่แผ่ออกมาจากตัวจิ่งเซียงและอิ่นซีเิ รวมถึงความหวาดกลัวที่มีต่อจิ่งฝาน แต่ทางเต๋อรั่วแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายังไม่อยากไป นางจึงทำได้เพียงฝืนพูดคุยอย่างกระอักกระอ่วนกับพวกเขาต่อไป โชคดีที่อย่างน้อยอ๋าวหรานก็ยังไว้หน้านางอยู่บ้าง ยังคงตอบคำถามนางกลับมาสั้นๆ
ทางเต๋อรั่วเหมือนจะรับรู้ได้ว่าทุกคนไม่มีเื่ให้พูดกันแล้วจึงถามขึ้นว่า “พวกท่านกำลังจะกลับแล้วหรือ?”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะ ยกริมฝีปากยิ้ม “ยังมีการประลองอีกรอบหนึ่ง...ก็ต้องอยู่ดูเสียหน่อย”
ทางเต๋อรั่ว “อ้อ เช่นนั้นก็ตั้งใจดูเถิด”
พูดจบก็หมุนกายจากไป หลางฉากับสวีหรงฉี่เห็นก็รีบผงกศีรษะให้พวกอ๋าวหรานแล้วรีบตามหลังทางเต๋อรั่วไปอย่างรวดเร็ว
เหยียนเฟิงเกอกำหมัดทั้งคู่แน่นจนทางเต๋อรั่วเดินจากไปแล้วก็ยังไม่คลายลง เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาล้างแค้น แต่ความเคียดแค้นในใจกลับพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงยากจะข่มลงได้ อ๋าวหรานมองเห็นแผ่นหลังที่เครียดเขม็งของเขาจึงอดโอบเบาๆ ไม่ได้ มองเขาไปทีหนึ่งอย่างปลอบใจ เหยียนเฟิงเกอถึงได้คลายมือออก
จิ่งเซียงทำหน้าล้อเลียนไล่หลังทั้งสามคนไป “ไปได้เสียที”
อิ่นซีเิเลียบเคียงถาม “พวกท่านไม่ชอบคุณชายคนเมื่อครู่หรือ?”
จิ่งเซียงรีบสะกดกั้นอารมณ์ ลืมไปว่าตรงนี้ยังมีอิ่นซีเิอยู่ ถึงแม้นางน่าจะไม่เอาไปพูดต่อ แต่กันไว้หน่อยก็วางใจกว่า “ก็เฉยๆ นะ แต่พวกเขาค่อนข้างน่ารำคาญ”
พูดจบก็ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ มองซ้ายมองขวา พูดเสียงเบาราวกับเป็ขโมย “หลางฉาผู้นั้นเคยแอบจุ๊บอ๋าวหรานด้วย!”
อ๋าวหรานมีสีหน้าดำคล้ำ “...”
จิ่งฝานกำหมัด “...”
เหยียนเฟิงเกอ “???”
“หา?!” อิ่นซีเิหน้าแดง ไม่รู้ว่าอายหรือว่าโกรธ “นาง...นางเหตุใดถึงทำเช่นนั้น?”
จิ่งเซียงถลึงตากลมโตอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่นสิ! หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
อ๋าวหรานรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เอาละๆ อย่าพูดเื่นี้กันอีกเลย หาที่นั่งเสียหน่อยเถิด”
รอบๆ สนามประลองมีเก้าอี้ไม้แกะสลักและหินสลักมากมาย อ๋าวหรานเลือกตัวที่ใกล้ที่สุดแล้วพวกเขาก็นั่งตามลงไปด้วย
อ๋าวหรานค่อยโล่งอกขึ้นมา อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าแข้งขายังอ่อนแรงอยู่ดี นั่งพักแล้วจึงค่อยสบายขึ้นหน่อย พวกจิ่งเซียงชัดเจนว่ายังไม่สามารถสลัดเื่ที่เขามีอาการเจ็บหัวใจออกไปได้ แต่ละคนจึงเอาแต่ขมวดคิ้ว
อ๋าวหรานที่เพิ่งโล่งอกเสร็จ พอเห็นสีหน้าเช่นนี้ของพวกเขาก็อดถอนหายใจอีกไม่ได้ “พวกเ้าเอาแต่ขมวดคิ้วกันทำอะไร ก็แค่เจ็บบ้างเป็บางทีเท่านั้น ไม่แน่ว่าผ่านไปสักพักเดียวก็หายไปเองแล้ว”
จิ่งจื่อทำท่ารังเกียจท่าทางที่ไม่ใส่ใจของเขา โกรธจนส่งเสียงดังหึออกมาทีหนึ่ง “ครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้วอีก เ้าแน่ใจหรือว่ามันจะไม่ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ?”
อ๋าวหรานยิ้ม “กลัวอันใด ไม่ใช่ว่ายังมีหมอเทวดาเช่นพวกเ้าอยู่หรือ?”
จิ่งเซียงหยิกแก้มเขาโดยไม่ยั้งมือไว้ไมตรีแม้แต่น้อย อ๋าวหรานเจ็บจนต้องสูดลมหายใจแล้วพยายามอ้อนวอน จิ่งเซียงก็หาได้สนใจไม่ “ประเด็นคือตอนนี้พี่ข้ายังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็เพราะอะไร!”
อ๋าวหรานดึงหน้าออกจากมือปีศาจอย่างยากลำบากแล้วลูบอย่างปวดใจ ผิวเนื้ออ่อนๆ บนใบหน้าแดงเป็วง “อาจเป็เพราะตอนนี้ยังไม่หนักมาก แล้วความเจ็บก็หายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงดูไม่ออก หากครั้งหน้าเป็เช่นนี้อีกก็ค่อยตรวจดูดีๆ”
ทุกคนไม่พูดอะไร ต่างมีสีหน้าอมทุกข์
อิ่นซีเิมองดูหน้าอ๋าวหรานที่ถูกจิ่งเซียงหยิกจนแดงก็อดอิจฉาไม่ได้ แต่ในใจก็รู้สึกเป็ห่วงอยู่หลายส่วน แม้แต่หมอเทวดาจากตระกูลจิ่งพวกนี้ยังดูไม่ออกว่าเป็โรคอะไร แน่นอนว่านางเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้จึงทำได้เพียงมองอ๋าวหรานด้วยสีหน้าแน่วแน่ “คุณชายอ๋าวโปรดวางใจ ข้า...ข้าต่อไปจะสวดภาวนาต่อเทพเซียนทุกวัน ให้ท่านคุ้มครองคุณชาย ไม่ให้ท่านเจ็บป่วยหรือได้รับาเ็ใดๆ”
อ๋าวหรานหัวเราะฮ่าๆ “แม่นางอิ่นเองไม่ใช่ว่าเป็เทพธิดาหรือ? คงต้องฝากเ้าคุ้มครองข้าแล้ว” เขาไม่เชื่อเื่ผีสางเทวดา แต่ท่าทางจริงจังของแม่นางน้อยผู้นี้ทำให้เขาซาบซึ้งจริงๆ ในใจอดอิจฉาในวาสนาของตัวเอกเช่นจิ่งฝานไม่ได้ อิ่นซีเิได้ยินเช่นนี้ก็รีบก้มหน้า แอบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของนาง แต่ใบหูคู่นั้นแดงจนแทบจะหยดออกมาเป็เืกลับปิดไม่อยู่
อ๋าวหรานที่เผลอไปเกี้ยวนางโดยไม่ตั้งใจก็อดรู้สึกเย็นวาบที่หลังไม่ได้ มองดูพระอาทิตย์ที่คล้อยไปทางฝั่งตะวันตกเกินครึ่งแล้วพูดว่า “คาดว่าการประลองรอบสุดท้ายจบลง พระอาทิตย์ก็คงลับขอบฟ้าแล้ว รีบๆ ดูให้จบแล้วกลับไปกินข้าวเถิด”
เขากำลังพูดอยู่ก็มองไปทางจิ่งเคอที่ยืนห่างออกไปซึ่งกำลังสนทนากับผู้คนอยู่ แล้วกะพริบตาพูดอย่างสงสัยว่า “จิ่งเคอสู้เสร็จแล้วหรือ? รวดเร็วไม่เลว”
จิ่งจื่อส่งเสียงดังเฮอะออกมาทีหนึ่ง “เกรงว่าคงเป็เพราะคู่ต่อสู้ค่อนข้างอ่อนแอ” เมื่อพูดจบจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ “อ๋าวหราน เหตุใดเ้าต้องเอาแต่ระวังเ้าคนที่มีรูปร่างเหมือนกับเด็กนั่นนัก”
อ๋าวหรานมองไปทางอิ่นซีเิที่ยังคงก้มหน้าอยู่ทีหนึ่ง คาดว่าแม่นางผู้นี้คงจะไม่เอาไปพูดต่อจึงไม่คิดจะปิดบัง “ข้าได้ยินจิ่งเซิ้งพูดว่าลุงใหญ่เ้าสามารถควบคุมผลจับฉลากได้ เขาอยากให้เ้าจับได้ผู้ใด เ้าก็จะจับได้ผู้นั้น”
จิ่งเซียงตาโต พูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เช่น...เช่นนั้นเ้าหวาหวาจิ่วนั่นก็...พี่ข้า...”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “ดูเหมือนลุงใหญ่เ้าจะจัดการให้พี่ชายเ้าจับได้หวาหวาจิ่ว ตอนแรกข้าคิดว่าหวาหวาจิ่วมีคนเดียว ภายหลังถึงได้รู้ว่าน่าจะมีเก้าคน”
จิ่งเซียงพึมพำ “ดัง...ดังนั้น...”
ไม่รอให้นางพูดจบ จู่ๆ จิ่งฝานก็รับไปพูดต่อว่า “ดังนั้นเ้าก็เลยเปลี่ยนกับข้า?” ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
อ๋าวหรานส่งเสียงดัง ‘อา’ ออกมาทีหนึ่ง “ข้าเห็นเซียวซื่อซิงแล้ว เขาชนะแล้วนี่”
จิ่งเซียง “...”
จิ่งจื่อ “เ้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ไม่เนียนเกินไปแล้ว!”
อ๋าวหราน “เซียวหยางผิงอาเขยของพวกเ้า่นี้ก็อยู่ในหมู่บ้านด้วยใช่หรือไม่?”
จิ่งเซียง “ใช่แล้ว”
จิ่งจื่อ “...”
อ๋าวหรานสาดสายตาไปทุกเวทีประลอง “รอบนี้ยังมีอีกเจ็ดคู่ที่ยังแข่งกันไม่เสร็จ แต่ว่ามีสองกลุ่มกำลังจะตัดสินแพ้ชนะแล้ว รอบนี้ประลองเสร็จก็ถึงตาของทางเต๋อรั่วแล้ว”
จิ่งเซียงส่งเสียงดัง ‘อืม’ เบาๆ ออกมาทีหนึ่ง จู่ๆ ก็พูดขึ้นด้วยความใ “เร็วๆๆ รีบดูว่าในจำนวนคนพวกนี้มีคนตัวเล็กอยู่บ้างหรือไม่?”
บางครั้งคำพูดบางอย่างไม่จำเป็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจน คนใกล้ชิดทำเพื่อกันและกัน เมื่อเขามอบอะไรให้ก็รับไปอย่างเปิดเผย หากว่าจำเป็จะต้องมาขอบอกขอบใจ คิดเล็กคิดน้อยกัน กลับจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกมีภาระและทำให้ต่างฝ่ายต่างห่างเหินกัน
อ๋าวหรานยิ้มน้อยๆ ดวงตาโค้งมน คล้อยตามคำพูดของจิ่งเซียง ตั้งใจมองแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นทันใด “บนเวทีไม่มี แต่ว่าข้าเห็นอยู่คนหนึ่งในฝูงคน หน้าตาคล้ายกับชีหวามาก”
พูดแล้วก็ชี้นิ้วไป จิ่งเซียงรีบมองไปตามนิ้วของเขา ถึงจะห่างไปค่อนข้างไกล แต่ก็สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน คนผู้นี้สูงกว่าชีหวาเกินครึ่งศีรษะ สูงพอๆ กับสตรีทั่วไปจึงดูไม่แปลกนัก ส่วนใบหน้าก็ยังดูเหมือนเด็กน้อย เขาไม่ได้พูดคุยกับผู้ใด ข้างกายก็ไม่มีใคร อ๋าวหรานตั้งใจมองให้ละเอียดอีกครั้ง ทั้งสี่ทิศล้วนไม่มีเงาของชีหวา คาดว่าคงถอยออกไปแล้ว
อ๋าวหรานเอียงกายบิดี้เี คาดเดาว่า “เขาน่าจะยังไม่ได้ประลอง ไม่เช่นนั้นคาดว่าคงหายไปนานแล้ว”
จิ่งเซียงพยักหน้าแรงๆ แสดงออกว่าเห็นด้วย จากนั้นก็ทำเป็หันศีรษะไปมองพี่ชายนางอย่างไม่ใส่ใจ
ั้แ่ต้นจนจบจิ่งฝานพูดออกมาแค่ประโยคเดียวคือ ‘ดังนั้นเ้าก็เลยเปลี่ยนกับข้า’ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก จิ่งเซียงไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่เขาก้มหน้าลง ค้อมหลังเล็กน้อย แอบซ่อนสีหน้าและความคิดทุกอย่างไว้ จิ่งเซียงคาดว่าเขาน่าจะคิดไม่ต่างจากที่พวกเขาคิดอยู่ในใจ สำหรับพวกนางแล้วอ๋าวหรานได้กลายเป็ดั่งญาติพี่น้อง... เป็ดั่งชีวิต นางจะไม่พูดว่าขอบคุณอีกเพราะ ‘ขอบคุณ’ เป็คำที่ใช้กับผู้อื่น ระหว่างพวกนางไม่จำเป็ต้องแสดงออกอย่างห่างเหินเช่นนี้ แต่อ๋าวหรานจะอยู่ในใจนางเสมอดุจดั่งพี่ชายแท้ๆ ของนาง
บ่ายวันนี้ประลองเสร็จไปแล้วทั้งหมดเจ็ดรอบ ถึงแม้รอบประลองจะมาก แต่ทุกรอบล้วนจบลงอย่างรวดเร็ว ในสองร้อยกว่าคนนี้มีมากมายที่เหมือนกับหลินชิงเยว่ วรยุทธ์ธรรมดาถูกจัดการได้ในพริบตา
เมื่อการประลองบ่ายนี้จบลงก็คัดคนที่ค่อนข้างอ่อนแอออกไปได้หลายคน คนที่เหลืออยู่ล้วนเป็คนที่พอมีความสามารถยืนหยัดได้ทั้งสิ้น คาดว่าการประลองในวันพรุ่งนี้...ต่อให้คนจะไม่มากเท่าวันนี้ แต่ก็น่าจะใช้เวลานานกว่า เพราะอย่างไรก็น่าจะมีคนที่ค่อนข้างมีฝีมืออยู่มาก คงต้องพัวพันกันนานอยู่สักหน่อย
แต่ว่า...เื่ของพรุ่งนี้ก็เอาไว้คิดพรุ่งนี้
พวกอ๋าวหรานเมื่อเห็นว่าเหลือแค่คู่เดียวแล้วก็ลุกขึ้น แม้จะมีคนกลับไปหลายคนแล้ว แต่ก็ยังเหลือคนอีกมากที่ยังรั้งอยู่เพื่อดูการประลองของผู้อื่น จึงรีบเดินเข้าไปเพื่อหาที่ชมดีๆ
พวกเขาเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ได้ไม่นาน คู่สุดท้ายก็ประลองเสร็จ พวกอ๋าวหรานส่งสายตาไปยังทางเต๋อรั่ว หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าสายตาของหลายคนก็มองไปที่เขา โดยเฉพาะพวกหลัวฉี่เองก็มองไปที่ทางเต๋อรั่วด้วยเช่นกัน
ลำดับเวทีก็จัดตามลำดับการประลอง การประลองรอบแรกๆ ล้วนมีสิบห้าคู่ แต่การประลองรอบสุดท้ายนี้มีแค่แปดคู่สิบหกคน เพียงแค่รู้ว่าแท่งไม้ของทางเต๋อรั่วคือลำดับที่เท่าไรก็จะรู้ได้ว่าเขาประลองอยู่เวทีใด ตอนนี้มีคนมากมายล้อมอยู่ด้านล่างเวที...เอาที่ชมแถวหน้าไปนานแล้ว แถมเร็วกว่าพวกอ๋าวหรานอีกด้วย
ชัดเจนว่าทางเต๋อรั่วหาได้สนใจความสนใจที่ทุกคนมีต่อเขาไม่ ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก สายตาไม่ก้มมองผู้ใดเช่นเดิม โดยไม่รอให้เสียงกลองหน้าเวทีดังขึ้นก็บินขึ้นเวทีไปแล้ว ในขณะนั้นทั้งสี่ด้านล้วนมีแต่คนส่งเสียงฮือฮา
คนผู้นี้...วิชาตัวเบาดีกว่าหลางฉามาก!
ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือรอบกายเขาโอบล้อมไปด้วยหมอกขาวที่หนาแน่นเสียยิ่งกว่าของหลางฉา เดิมทีทางเต๋อรั่วก็มีรูปลักษณ์เ็าสูงส่งอยู่แล้ว เมื่อมาถูกหมอกขาวห่อหุ้มกายไว้อีกก็ราวกับเทพเซียนที่ขี่เมฆอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนอดรู้สึกอยากกราบไหว้ขึ้นมาไม่ได้
“นี่...นี่มันวรยุทธ์อะไรกัน?!”
“...”
ในใจทุกคนรู้สึกสับสนวุ่นวายเหลือคณา แล้วยังมีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนที่ดวงตาเป็รูปผลท้อแล้ว...หลงใหลในรูปลักษณ์นี้เป็อย่างยิ่ง
ทางเต๋อรั่วราวกับมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่พูดอะไรสักคำ ท่าทางโดดเด่นเหนืุ์เช่นนั้นทำให้ผู้คนด้านล่างเวทีราวกับมดปลวกบนโลกมนุษย์ที่ไร้สามารถก็ไม่ปาน...จนเกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน
ส่วนคู่ต่อสู้ของทางเต๋อรั่วนั้นชัดเจนว่าถูกบรรยากาศรอบตัวเช่นนี้ทำให้จิตใจหวาดกลัวสับสนจึงบินขึ้นเวทีไปอย่างสั่นสะท้าน เขาเองก็นับว่าเป็คุณชายที่หล่อเหลาเอาการ แต่ผู้คนด้านล่างเวทีกลับ ‘ส่งเสียงทอดถอนใจ…’
บรรยากาศต่างกันเกินไป
จากความหวาดกลัวในตอนแรก คุณชายที่ถูกรังเกียจก็เปลี่ยนเป็โกรธเคืองขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ตึง...ตึง...ตึง…”
“เริ่มการประลองได้”
หลังสิ้นสุดเสียงก็เห็นว่าคุณชายผู้นั้นไม่แม้แต่จะทักทาย ชักกระบี่แล้วพุ่งเข้าใส่ทันที ชัดเจนว่าอยากจะเป็คนรุกก่อนเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ถูก
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า...เขาที่เพิ่งจะพุ่งออกไปได้สองก้าวก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
ผู้คนด้านล่างเวทีทั้งสี่ด้านต่างส่งเสียงตกตะลึง!
ไม่รอให้คุณชายผู้นั้นปรากฏสีหน้าตกตะลึงออกมา เขาก็ถูกยกขึ้นไปในอากาศแล้ว ทางเต๋อรั่วกะพริบตาสีแดงที่ดูเหมือนจะแดงเข้มขึ้นเบาๆ ดูเย้ายวนเล็กน้อย และยังเ็าจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว หมอกขาวเข้มข้นปกคลุมอยู่รอบตัวเขา พัดให้ชุดของเขาสะบัดพลิ้ว เสียงชุดกระทบกันดังฮูๆ
หมอกขาวที่น่าสงสัยนั้นม้วนอยู่รอบแขนเขาแล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศ ให้แขนของทางเต๋อรั่วกับคุณชายที่ถูกยกลอยอยู่กลางอากาศผู้นั้นเชื่อมต่อกัน มือขนาดใหญ่กำลังบีบคุณชายผู้นั้นไว้อย่างแ่าจนขยับไปไหนไม่ได้
ดวงตาของทุกคนใหญ่กว่ากลองแล้วตอนนี้ สายตาอยู่บนเวที ไม่สิ...น่าจะเป็บนพื้นเวทีกับกลางอากาศสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง คนบนพื้นเวทีสงบนิ่งดั่งเขาไท่ซาน คิ้วไม่แม้แต่จะขยับ ส่วนคนที่อยู่กลางอากาศนั้นเบิกตาโตเสียยิ่งกว่าพวกเขาแล้ว
โดยไม่รอให้ทุกคนมีปฏิกิริยาต่อ เมื่อทางเต๋อรั่วสะบัดมืออย่างขอไปที คุณชายผู้นั้นก็ถูกเหวี่ยงออกไป อีกทั้งยังกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร แล้วคุณชายผู้นั้นก็กระแทกลงอย่างแรงบนเวทีที่พวกจิ่งเหวินซานนั่งอยู่ท่ามกลางเสียงตกตะลึงของตนเอง แล้วกระอักเืออกมาไกลถึงครึ่งเมตรแล้วล้มพับลงไปกับพื้น หมดสติไปในทันที ส่วนบริเวณเวทีที่เขาตกลงไปก็กลับกลายเป็หลุมลึก!
ทั้งสี่ทิศต่างเงียบสงัด!
