“พลังจิติญญา!”
หลินเฟิงคิดในใจอย่างเงียบๆ สำหรับเขาแล้ว จิติญญาเป็เหมือนภาพลวงตาที่ยากจะเข้าใจ
หลินเฟิงคิดว่าที่เขายังไม่สามารถััถึงจิติญญาได้ อาจจะเป็เพราะว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นต่ำเกินไป
“บางทีเ้าอาจจะยังไม่เข้าใจว่า จิติญญาคืออะไร ข้าจะอธิบายให้เ้าฟังแบบง่ายๆ ความจริงแล้ว จิติญญาของผู้ฝึกยุทธ์ ก็คือรูปแบบของจิติญญาชนิดหนึ่ง ถ้าหากจิติญญาแข็งแกร่ง พลังของจิติญญาก็จะยิ่งทรงพลัง ซึ่งมันมีประโยชน์มากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์”
“ยิ่งผู้ฝึกยุทธ์บ่มเพาะพลัง จิติญญาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิติญญาแห่งดาบ ในตอนที่เขาอ่อนแอ จิติญญาแห่งดาบ จะช่วยเพิ่มพลังให้กับดาบของเขาเพียงนิดเดียว และทำให้เขามีความตระหนักรู้เกี่ยวกับดาบมากกว่าคนอื่นๆ เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าผู้ฝึกยุทธ์ มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป จิติญญาก็จะอ่อนแอตามไปด้วย และจิติญญาแห่งดาบก็จะไม่สามารถแสดงพลังของตัวเองออกมาได้ ซึ่งคนเหล่านี้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นักดาบ สำหรับนักดาบที่แข็งแกร่งแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องใช้ดาบ เพราะจิติญญาก็คือดาบของเขา ยิ่งสามารถใช้จิติญญาแห่งดาบได้คล่องแคล่วมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งตระหนักรู้เื่ของดาบได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
ยอดฝีมือคนนี้คงจะรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงแบ่งปันความรู้ของเขาให้หลินเฟิงฟัง
“คนที่มีจิติญญาคู่ มักจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะ แต่ถ้าหากจิติญญาทั้งสองดวงของพวกเขา ล้วนเป็จิติญญาธรรมดาๆ และไม่รู้วิธีที่จะใช้งาน พวกเขาก็เทียบไม่ได้กับคนที่มีจิติญญาดวงเดียวที่แข็งแกร่ง แต่ที่ผู้ฝึกยุทธ์จิติญญาคู่ถูกเรียกว่าเป็อัจฉริยะ นั่นเป็เพราะว่า พระเ้าได้มอบจิติญญาที่พิเศษให้แก่พวกเขา ทำให้พลังจิติญญาของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่น และเนื่องจากว่าพลังจิติญญาของพวกเขาแข็งแกร่ง ความสามารถในการตระหนักรู้ของพวกเขาจึงแข็งแกร่งตามไปด้วย ในเมื่อความตระหนักรู้ของพวกเขาลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ อนาคตของพวกเขาจึงสดใสและกว้างไกลกว่าคนธรรมดา”
“ทั้งหมดที่เ้าต้องเข้าใจก็คือ จิติญญาคือตัวตัดสินอนาคตของเ้า คนที่มีจิติญญาที่แข็งแกร่ง จะสามารถสังหารคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย มันก็เหมือนกับที่ข้าได้สอนเคล็ดวิชา ‘นภาม่วงสังหาร’ ให้กับลูกหลานตระกูลจื่อ ซึ่งมันต้องใช้พลังจิติญญาในการควบคุมจิติญญาแห่งนักรบ ให้ก่อตัวเป็รูปร่าง ด้วยพลังในการโจมตีของนภาสังหาร ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้”
“ที่แท้ก็เป็แบบนี้นี่เอง” นภาม่วงสังหาร จะต้องใช้พลังจิติญญาของผู้ใช้ในการควบคุม
พลังของจื่ออิ่งไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่เขาก็อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่เก้า ซึ่งสูงกว่าหลินเฟิงขั้นหนึ่ง ถ้าจื่ออิ่งทำได้ หลินเฟิงก็ต้องทำได้เช่นกัน ในเมื่อยอดฝีมือคนนี้ได้กล่าวไว้ว่า จิติญญาของหลิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก
ตอนนี้เอง โลกแห่งจินตภาพที่อยู่ในใจของหลินเฟิงก็พลันกระพริบขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็ริบหรี่ในเวลาสั้นๆ และกลับมาเป็ปกติ
“ดูเหมือนว่า ข้าจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
ยอดฝีมือคนนั้นพูดกับหลินเฟิงด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเศร้าว่า “ข้าคงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก แต่เ้าควรจำไว้ว่า จิติญญาที่แข็งแกร่ง จะทำให้การบ่มเพาะพลังของเ้าเร็วขึ้น ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการควบคุมจิติญญาให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และยังช่วยสนับสนุนการต่อสู้ของเ้า นอกจากนี้มันยังสามารถช่วยปรับแต่งอาวุธและเม็ดยาได้”
ยอดฝีมือคนนั้นไล่เรียงข้อดีออกมามากมายในครั้งเดียว ทำให้หลินเฟิงรู้สึกทึ่งเล็กน้อย จิติญญาพวกนี้มีประโยชน์มาก
“ข้า้าถ่ายทอดความทรงจำบางอย่างของข้าให้แก่เ้า ข้าแบ่งความทรงจำนี้ออกเป็สามส่วน ซึ่งจะทำให้เ้าสามารถซึมซับมันได้ง่ายขึ้น ความทรงจำส่วนแรกเป็เคล็ดวิชาที่ข้าเคยใช้ และข้าทนไม่ได้ที่จะให้พวกมันตายไปพร้อมกับข้า หากข้าถ่ายทอดมันให้กับเ้า อย่างน้อยๆ คนบนโลกนี้ก็จะได้รู้จักมัน”
“ความทรงจำส่วนที่สองเป็ความรู้เกี่ยวกับค่ายกล เม็ดยา และอาวุธที่ข้าได้เรียนรู้มา ข้าจะมอบมันให้กับเ้า”
“ความทรงจำส่วนที่สามเป็ส่วนที่ธรรมดามากที่สุด แต่ก็สำคัญมากที่สุด มันคือเคล็ดวิชาในการบ่มเพาะจิติญญา ซึ่งข้าได้รับมาโดยบังเอิญ และก็เป็เพราะมัน ข้าถึงมีทุกวันนี้ได้ เคล็ดวิชาบ่มเพาะิญญานี้เรียกว่าเสี้ยวิญญา์ มันช่วยบ่มเพาะจิติญญาให้แข็งแกร่งขึ้นได้ และเป็เพราะเสี้ยวิญญา์ ิญญาของข้าถึงได้หลงเหลือมาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยถ่ายทอดเสี้ยวิญญา์ให้ใคร ดังนั้นเ้าจะต้องดูแลมันให้ดี”
เสียงของยอดฝีมือเบาลงทุกขณะ เมื่อเขากล่าวคำประโยคสุดท้ายเสร็จสิ้น โลกแห่งภาพลวงตาก็แตกออก จากนั้นก็ปรากฏดวงไฟทั้งสามดวงขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของหลินเฟิง และประทับลงไปในจิติญญาของเขา
“ตู้ม!”
หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงความเ็ปมหาศาลที่แล่นพล่านไปทั่วสมอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ความทรงจำภายนอกกำลังหลอมรวมเข้ากับสมองของเขา ในระหว่างที่กำลังหลอมรวมกันอยู่นั้น ความเ็ปที่ไม่อาจคาดเดาได้ก็ทะลักล้นเข้ามา
ราวกับว่าโลกกำลังหมุนไม่หยุด ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัวของหลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สมองของหลินเฟิงแทบจะะเิออกมา
ถึงแม้ว่ายอดฝีมือคนนั้นจะแบ่งความทรงจำออกเป็สามส่วน แต่ทว่าข้อมูลก็ยังคงมหาศาลอยู่ดี
หลินเฟิงรู้สึกว่าหัวของเขาสามารถะเิได้ทุกเมื่อ สุดท้ายหลินเฟิงก็หมดสติไป เช่นเดียวกับต้วนซินเยี่ย พวกเขาทั้งสองคนนอนสลบอยู่ที่พื้น และไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
…………
ด้านนอกของพื้นที่ต้องห้าม ฝูงชนยังคงรอคอยอย่างเงียบๆ หนึ่งวันผ่านไปนับั้แ่ที่ เมิ่งฉิงทำลายตระกูลจื่อ นางยังคงยืนอยู่ด้านนอกของพื้นที่ต้องห้าม ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมสีขาวจะโบกสะบัดไปตามแรงลม แต่ร่างกายกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับรูปปั้นเทพธิดาน้ำแข็ง
เหล่าทหารหน้ากากบรอนซ์ก็ยังคงไม่จากไปไหน พวกเขานั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ และความเงียบเ่าั้ ยิ่งทำให้พวกเขาดูน่ากลัว
ส่วนเหล่าฝูงชนเอง ก็ยังไม่จากไปไหน บางคนไม่คิดที่จะจากไป แต่บางคนก็ไม่กล้าที่จะไป ไม่รู้ว่าเป็เพราะความหวาดกลัวหรือความอยากรู้อยากเห็น ที่ทำให้พวกเขายังรั้งอยู่ที่นี่ สายตาของพวกเขาทั้งหมดล้วนจ้องมองไปยังเมิ่งฉิงที่ยืนนิ่งเป็รูปปั้น
ตอนนี้พวกเขายิ่งทวีความสงสัยในตัวหลินเฟิงมากขึ้น หลินเฟิงคนนี้เป็ใครกันแน่!
นอกจากอยากจะรู้เื่ของหลินเฟิงแล้ว พวกเขายังอยากรู้เกี่ยวกับเมิ่งฉิงอีกด้วย
รอบๆ ตัวของเมิ่งฉิง เต็มไปด้วยชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้อากาศหนาวเย็นมาก และความหนาวนี้ดูจะขยายออกไปเรื่อยๆ แต่เมิ่งฉิงก็ยังสามารถควบคุมให้มันอยู่รอบๆ ตัวได้ ความหนาวนี้ได้ก่อตัวกลายเป็หมอกสีขาวที่หนาแน่น ถ้าหากหมอกนี้กระจายออกมา เกรงว่าร่างของพวกเขาคงถูกแช่แข็งเป็แน่!
ไม่มีใครรู้ว่า ตอนนี้ร่างกายของเมิ่งฉิงถูกความหนาวเย็นแทรกซึมไปทั่วร่าง และอีกไม่ช้า นางจะควบคุมความหนาวเย็นนี้ไว้ไม่ได้
ตอนที่เมิ่งฉิงมาหาหลินเฟิง ความหนาวเย็นกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างของนางพอดี เมื่อนางได้ยินผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวว่า เขาได้สังหารหลินเฟิงไปแล้ว ทำให้หัวสมองของเมิ่งฉิงพลันว่างเปล่า นางลืมควบคุมพลังในร่างของตัวเองไปชั่วขณะ เมิ่งฉิงใช้พลังของนางสังหารผู้าุโตระกูลจื่อ และนั่น...นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่ากลัว นางไม่สามารถควบคุมพลังที่ะเิออกมาได้ เมิ่งฉิงได้แต่อดทนต่อความหนาวเย็นอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้
ตอนนี้เองหลินเฟิงกับต้วนซินเยี่ยก็ได้ฟื้นขึ้นมา
ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ความทรงจำของต้วนซินเยี่ยเป็เคล็ดวิชาดาบ ซึ่งเป็เคล็ดวิชาดาบที่สมบูรณ์แบบและสวยงามมาก มันเป็เคล็ดวิชาดาบที่เหมาะสำหรับสตรี เคล็ดวิชาดาบของนาง เป็การผสมผสานระหว่างเคล็ดวิชาดาบที่แข็งแกร่งและท่าร่างที่งดงาม
ส่วนหลินเฟิงได้รับข้อมูลมากมายจากความทรงจำใหม่ ตอนนี้สมองของเขาอัดแน่นไปด้วยความทรงจำทั้งสามส่วน และความทรงจำทุกส่วนล้วนแฝงไปด้วยเนื้อหาที่สำคัญ ซึ่งหลินเฟิงกำลังย่อยข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
โชคดีที่ยอดฝีมือคนนั้นได้แบ่งความทรงจำออกเป็สามส่วน ก่อนที่จะถ่ายทอดให้กับหลินเฟิง ทำให้สมองของหลินเฟิงไม่สับสนมากนัก หลังจากที่ได้รับความทรงจำเ่าั้
หลังจากนั่งสมาธิอยู่พักหนึ่ง หลินเฟิงก็ซึมซับความทรงจำทั้งหมดได้ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แววตาของเขาดูสงบนิ่งมาก
“เสี้ยวิญญา์!”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ เสี้ยวิญญา์ เป็เคล็ดวิชาในการบ่มเพาะจิติญญา มันจะทำให้จิติญญาที่สมบูรณ์ แบ่งออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นก็ไล่ฝึกเศษเสี้ยวิญญาที่แบ่งออกไปทีละอันๆ ทำให้เศษเสี้ยวิญญาที่อ่อนแอทุกๆ อัน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็แข็งแกร่งขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเศษเสี้ยวิญญากลับมาร่วมตัวกัน จะทำให้ความสามารถของจิติญญาแข็งแกร่งขึ้นจนน่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่จิติญญาถูกแบ่งออก เศษเสี้ยวิญญาก็ยังสามารถแสดงพลังของตัวเองออกมาได้ เศษเสี้ยวจิติญญานับพันที่สามารถแสดงพลังของตัวเองได้ มันจะน่ากลัวขนาดไหน?!
แต่การแบ่งจิติญญาของตัวเองออกเป็เศษเสี้ยว มันจะเ็ปมากมายขนาดไหน? เคล็ดวิชานี้ทรงพลังมากก็จริง แต่กว่าจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ มันต้องผ่านความทรมานนานับปการจนผู้คนไม่กล้าคิด