มู่หรงฉือพอจะเดาได้อยู่หลายส่วนว่าคนหนุ่มเหล่านี้ทั้งนับถือและเคารพมู่หรงอวี้ เขาอายุเพียงสามสิบก็เป็ถึงขุนนางระดับสูง กุมอำนาจในราชสำนัก มีอำนาจมากมาย เช่นนี้ก็เป็บุคคลตัวอย่างของเหล่าบุรุษหนุ่มที่คิดอยากจะได้ชื่อเสียง เกียรติยศ?
มู่หรงอวี้ฝึกอยู่ในกองทัพั้แ่เยาว์วัย มีชื่อเสียงจากการทำาั้แ่ยังหนุ่มแน่น อายุยี่สิบก็เป็หัวหน้ากอง อายุยี่สิบห้าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็ผู้สำเร็จราชการแทน กุมอำนาจอยู่ในตำแหน่งสูงสุดในราชสำนัก มีอำนาจบีบคั้นกดดันราชวงศ์ ชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ความสามารถในการสู้รบทำให้แคว้นสงบมั่นคง มีความรู้วิชาในการบริหารจัดการแคว้น ความแข็งแกร่งเป็ที่เลื่องลือเช่นนี้ บุคคลตัวอย่างเช่นนี้ มีใครบ้างที่ไม่นับถือ? ใครบ้างไม่ยำเกรง?
สำหรับแคว้นเป่ยเยี่ยนแล้ว เขาคือทหารที่ปกป้องแคว้นผู้ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ฝีมือการรบประหนึ่งเทพา
สำหรับแคว้นอื่นแล้ว เขาคือศัตรูที่เพียงได้ยินชื่อก็หวาดกลัว เทพาจอมเ้าเล่ห์ไล่ฆ่าฟันศัตรู
ห้าปีมานี้ มีบุรุษเก่งกาจมากมายเท่าไหร่ที่ยึดเขาเป็แบบอย่างในการมุมานะปฎิบัติงาน คุณชายจากตระกูลมีชื่อเสียงกี่คนที่ละทิ้งนิสัยเสเพลแล้วตั้งปณิธานสาบานว่าจะเป็อวี้หวางคนที่สอง...สรุปแล้ว ข่าวลือของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับมู่หรงอวี้มีมากมาย จนถึงขั้นเขียนเป็หนังสือออกมาหลายเล่ม เหมาะแก่คนแต่ละประเภทให้ได้อ่านกัน
วันนี้ บุรุษมากความสามารถสามสิบหกคนได้เห็นผู้สำเร็จราชการแทนในคำเล่าลือมายังตำหนักอู่อิงด้วยตัวเอง นอกจากจะตื่นเต้นและนับถือยำเกรงประหนึ่งมีเทพมาประทานไฟในการต่อสู้แล้ว พวกเขายังเชื่อว่ามีผู้สำเร็จราชการแทนมาด้วยตัวเอง พวกเขาจะต้องแสดงความสามารถได้ดียิ่งขึ้น จนได้รับสายตาชื่นชมจากฝ่าาและองค์หญิงจาวฮวา
การมาถึงของมู่หรงอวี้จึงทำให้เหอกวงเ้ากรมพิธีการต้องยกที่นั่งของตนให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน
เหอกวงกล้าๆ กลัวๆ ขาทั้งสองข้างสั่นระริก หวั่นเกรงจนเหงื่อกาฬหลั่งไหล
อวี้หวางคงไม่ได้มาที่นี่อย่างไม่มีเหตุผลแน่นอน จะต้องเป็ฝ่าาไม่วางใจที่องค์รัชทายาทกับเขาจัดการสอบคัดเลือกราชบุตรเขยเป็แน่ ถึงให้อวี้หวางมาตรวจสอบอีกครั้ง
คิดถึงตรงนี้เหงื่อที่แผ่นหลังของเหอกวงก็ไหลออกมาจนอาภรณ์เปียกชื้น
มู่หรงอวี้นั่งลง สายตาราบเรียบกวาดมองมู่หรงฉือไล่ั้แ่ใบหน้าปราดหนึ่ง เหมือนปาดฝุ่นลวกๆ
เขากดมือลงพลางกล่าวเสียงดังกังวาน “ขอให้ทุกคนตั้งใจทำข้อสอบ ถือเป็การตอบแทน์ ใต้เท้าเหอ เริ่มการสอบเถิด”
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขา แต่ก็คร้านจะพูดสิ่งใดอีก
พอเขามา นางที่เป็องค์รัชทายาทผู้เป็คนจัดการสอบการคัดเลือกราชบุตรเขยก็เปลี่ยนมาเป็เครื่องประดับ มีแต่จะถูกคนมองข้าม
ช่างเถิด เขาชอบออกหน้าออกตาก็ให้เขาออกไป ออกให้พอ
เหอกวงประกาศ “การสอบวิชาการในครั้งนี้จะเป็การสอบคัดเลือกราชบุตรเขยขององค์หญิงจาวฮวาในรอบแรก กระดาษข้อสอบของทุกท่านจะส่งให้ฝ่าาเป็ผู้อ่านด้วยพระองค์เอง อันไหนดีอันไหนไม่ดี แค่มองก็รู้ การสอบครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ทุกท่านโปรดให้ความสำคัญกับเวลา”
พูดจบ เขาก็ทำท่าทางให้รองเ้ากรมพิธีการไปจุดธูป บุรุษหนุ่มทุกคนถึงได้เริ่มฝนหมึกแล้วเตรียมตัวให้พร้อม
ความจริงแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา ขันทีได้เตรียมโต๊ะตัวเตี้ยกับอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ใช้ในการสอบไว้เรียบร้อยแล้ว หมึกก็เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เหอกวงประกาศว่า “เริ่มได้” ทั้งสามสิบหกคนจึงเริ่มสะบัดพู่กัน
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การสอบขุนนาง การสอบเตี้ยนซื่อที่เข้มงวดขนาดนั้น แต่ว่าหากทุจริตในการสอบนี้ ไม่เพียงแต่จะเสียหน้าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเท่านั้น แต่ฝ่าาจะต้องลงโทษเป็แน่ มู่หรงฉือเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางทำเื่ทุจริตโง่ๆ
ที่ทำให้นางหงุดหงิดก็คือ ข้อสอบวิชาการได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ข้อสอบสองข้อพวกเขาเลือกตอบได้เพียงข้อเดียว
แต่เมื่อครู่ก่อนจะมายังตำหนักอู่อิง นางเพิ่งจะได้รู้จากปากของเหอกวงว่าข้อสอบหนึ่งในนั้นถูกแก้ไข เปลี่ยนมาเป็ข้อสอบที่อวี้หวางเป็ผู้ออก อีกทั้งฝ่าาก็ยังยินยอมให้แก้ด้วย
อดยอมรับไม่ได้ว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ข้อสอบที่มู่หรงอวี้ออกกับข้อสอบที่เสด็จพ่อออกระดับความยากจะยากขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งสามารถทดสอบได้ถึงความรู้ ความกล้าและความเด็ดขาดในการทำงาน
โถงใหญ่ของตำหนักเงียบกริบ มีเพียงเสียงนกร้องกับเสียงยกและวางถ้วยชาของบางคนเท่านั้น
มู่หรงอวี้มองไปทางเหอกวงแล้วส่งสายตา
เหอกวงเข้าใจก่อนจะออกไปเดินกับรองเ้ากรมพิธีการซ้ายขวาและลูกน้องอีกหลายคน คอยเตือนพวกบุรุษหนุ่มที่มีสีหน้าแปลกๆ ให้สงบ อย่าทำเื่ที่ทำให้คนสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นก็จะส่งออกไปนอกตำหนักอู่อิงและไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้
มู่หรงฉือมองไปทางมู่หรงอวี้ที่ ‘ไม่สนใจ’ นางแม้แต่น้อย หลังจากเขาเข้ามาก็ไม่ได้ปรายตามองนางสักครั้ง ในใจรู้สึกยินดี ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็หันมามอง สายตาคู่นั้นเ็าราวกับหมอกในฤดูหนาว
หัวใจของนางพลันกระตุก รู้สึกว่าสายตาของเขาไม่เพียงจะเ็าเท่านั้นแต่เย็นเฉียบจนสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้รูปร่าง เหมือนนางทำเื่ที่ผิดต่อเขา
แต่ว่าทำไปแค่เื่เดียวไม่ใช่หรือ?
นางคิดถึงความผิดเมื่อวันก่อน ความจริงแล้วไม่อาจเรียกได้ว่าความผิดเสียด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเผลอสั่งสอนน้องสาวแบบผิดๆ น่าจะได้ นางกล่าวว่าหากทำข้าวสารให้เป็ข้าวสุกไม่สำเร็จ ก็ให้เอาความจริงผสมเท็จ จนเขาไม่อาจต่อต้านได้
หูตาของเขากว้างไกลไปทั่ววัง จะต้องได้ยินว่าจาวฮวามาที่ตำหนักบูรพาเป็แน่
ความจริงแล้วนางก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่ว่าแล้วอย่างไรเล่า? นั่นเป็น้องสาวของนางเชียวนะ นางไม่มีทางไม่ช่วยน้องสาวของตนเองแล้วไปช่วยคนอื่นไม่ใช่หรือ
ดังนั้นนางจึงมั่นใจในเหตุผลที่ถูกต้องของตัวเองแล้วถลึงตากลับใส่เขา ยืดอก เก็บหน้าท้อง เชิดหน้า ทำก็ทำไปแล้ว เ้าจะทำอะไรเปิ่นกงได้?
สีหน้ามู่หรงอวี้เรียบนิ่ง นิ้วเรียวยาวกำลังเขียนตัวอักษรบนโต๊ะ
ถึงแม้จะอ่านแบบกลับหัว มู่หรงฉือกลับมองออกในทันที ที่เขาเขียนก็คือ เตี้ยนเซี่ยช่างเป็พี่น้องที่รักใคร่กันเสียจริง
นางกระพริบตาเล็กน้อย ปากพูดออกไปอย่างไร้เสียง : แน่นอนอยู่แล้ว
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ต่อมาก็เขียนทับลงไปบนตัวอักษรน้ำที่แห้งแล้วว่า : เตี้ยนเซี่ยยอมรับแล้วก็ดี
นางเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แล้วอย่างไรเล่า?
จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ดวงตาดำเหมือนน้ำหมึกทอแสงวาววับยากจะคาดเดา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
นิ้วมือเคาะที่โต๊ะเบาๆ สามครั้ง
มู่หรงฉือหันไปมองเขา เขาอ้าริมฝีปากบางแล้วพูดอย่างไร้เสียงออกมาหนึ่งประโยค
ริมฝีปากขยับไปมา ถึงแม้ว่าจะช้ามาก แต่เพราะว่าประโยคยาวไปสักหน่อย ทำให้ยากที่จะจับคำ
นางชะงักค้างครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจ ที่เขาพูดมาก็คือ : วันใดที่เตี้ยนเซี่ยต้องรับผลในสิ่งที่ตนเองก่อ จะโกรธเปิ่นหวังไม่ได้
คำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร? รับผลที่ตัวเองก่อ?
พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาอยากจะเตือนอะไรกับนาง
กลุ่มบุรุษหนุ่มผู้เก่งกาจต่างกำลังตั้งใจเขียนคำตอบ ภายในตำหนักเงียบจนแม้แต่เสียงเขียนบนกระดาษยังได้ยินชัดเจนขนาดนั้น
มู่หรงฉือรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานนับปี แต่ผู้เข้าสอบกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก เวลาชั่วหนึ่งก้านธูปผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบก็เกิดเสียงดังตุ้บขึ้น เป็เสียงหนักๆ
เห็นเพียงบุรุษที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งที่ห้าทางแถวซ้ายนอนเอียงไปกับพื้น หายใจถี่รัวและรุนแรง
คนอื่นๆ ต่างมองไปที่คนผู้นั้นอย่างใ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเหอกวงจากกรมพิธีการรีบเข้ามาทันที มู่หรงฉือและมู่หรงอวี้ก็วิ่งไปทางนั้นทันทีอย่างไม่ได้นัดหมาย “เกิดเื่อะไรขึ้น?”
เห็นเพียงดวงตาสิ้นหวังที่เบิกกว้างของบุรุษที่นอนอยู่ หอบหายใจแรงยาว ราวกับว่าการหายใจเป็เื่ที่ลำบากมากสำหรับเขา หายใจเอาอากาศใหม่ ทั้งยังแฝงไปด้วยเสียงแอๆ เหมือนนาทีต่อไปจะขาดหายใจตายเพราะหายใจไม่ออก ช่างน่าตื่นตระหนกยิ่งนัก
มู่หรงฉือเคยเห็นอาการป่วยแบบนี้มาก่อน เหมือนจะเป็โรคหอบหืด
“รีบไปเชิญหมอหลวงมา!” มู่หรงอวี้ออกคำสั่งทันที
“มิสู้พาไปยังตำหนักด้านข้างก่อน แล้วให้การสอบดำเนินไปตามปกติ” มู่หรงฉือเสนอความเห็น
อวี้หวางอยู่ที่นี่ เหอกวงมองไปทางเขาทันที รอจนกระทั่งเขาพยักหน้าน้อยๆ ถึงได้สั่งให้ขันทีสองสามคนมาพาคนป่วยไปยังตำหนักด้านข้าง
ทว่า ตอนที่ขันทีกำลังจะลงมือ ลมหายใจของบุรุษผู้นั้นพลันถี่กระชั้น เหงื่อออกชุ่มแล้วร่างกายก็หยุดขยับกลายเป็นิ่งสงบตายจากไป
เหอกวงเอามืออันสั่นเทายื่นไปอังที่จมูกของเขา ก่อนจะใจนหน้าขาวซีดหนวดสั่น “ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย นี่...”
มู่หรงอวี้ปราดเข้าไปอังจมูกเขาทันที ก่อนจะประกาศความจริงที่แสนน่ากลัวว่า “ไม่มีลมหายใจแล้ว”
ทั้งตำหนักเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่
เหล่าบุรุษทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วเสียงพูดคุยกันก็ดังขึ้นมา
มู่หรงฉือรู้สึกมึนงงเล็กน้อย คนที่มีชีวิตอยู่ดีๆ ก็ตายไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?
“ให้การสอบดำเนินต่อไป ใต้เท้าเหอเ้าคอยดูอยู่ที่นี่”
มู่หรงอวี้ตบมือสองที เงาสายหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหนพลันปรากฏขึ้น ก่อนจะเข้ามาทำความเคารพ
เงาดำสายนั้นก็คือกุ่ยหยิงองครักษ์เงาของเขา เขาสั่งให้กุ่ยหยิงมาเฝ้าการสอบแทนเขาที่นี่ จากนั้นก็มองมู่หรงฉือปราดหนึ่งแล้วเดินไปที่ตำหนักข้าง
ศพถูกยกออกไปแล้ว มู่หรงฉือจึงตามไปด้วย
...
ภายในเวลาครึ่งถ้วยชา บุรุษที่ร่างกายแข็งแรงเืลมดีผู้หนึ่งก็จากไปก่อนวัยอันควร
ตำหนักด้านข้าง มู่หรงฉือรู้สึกว่าชีวิตคนเรานั้นช่างไม่แน่นอน เป็ตายร้ายดีมีเพียงเส้นด้ายบางๆ ขวางกั้น หลายครั้งก็เป็เพียงความคิดแค่ชั่วขณะ
ผู้ตายเป็บุตรชายคนโตของบัณฑิตฟ่านแห่งสำนักฮั่นหลิน ฟ่านเสี้ยวเหวิน
หากวันนี้เขาไม่มาเข้าร่วมการสอบวิชาการจะตายหรือไม่?
บัณฑิตฟ่านแห่งสำนักฮั่นหลินตอนนี้เป็ผู้ที่มีความรู้ของลัทธิขงจื้อ บุตรชายคนโตได้รับการสั่งสอนความรู้ของครอบครัวมาั้แ่ยังเด็ก การร่ำเรียนเริ่มต้นจากในครอบครัว อายุเจ็ดปีก็มีชื่อเสียงด้านการเรียนที่ไม่ธรรมดา แต่เพราะเขาเป็โรคหอบหืดั้แ่ยังเล็ก มีข้อหลีกเลี่ยงมากมาย หากไม่ระวังสักเล็กน้อยโรคก็จะกำเริบ ดังนั้น ถึงแม้เขาจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถรับราชการได้
เมื่อข่าวการคัดเลือกคู่ครองขององค์หญิงจาวฮวาถูกประกาศออกมา ก็มีคนไปพูดว่าการสอบด้านวิชาการฟ่านเสี้ยวเหวินจะต้องเป็ผู้คว้าที่หนึ่งมาได้เป็แน่
แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมาจบชีวิตลงที่สนามสอบ
หมอหลวงหลี่รีบเดินทางมา หลังจากทำความเคารพองค์รัชทายาทกับอวี้หวางแล้วก็รีบไปตรวจสอบผู้ตาย
“ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย คุณชายฟ่านตายจากไปด้วยโรคหอบหืดกำเริบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่โค้งตัวตอบ
“ตายเพราะโรคประจำตัวกำเริบ ภายในเวลาแค่ครึ่งถ้วยชา เหตุใดถึงได้ตายไวขนาดนั้น? อีกอย่าง เขาเขียนคำตอบอยู่ดีๆ เหตุใดโรคหอบถึงกำเริบขึ้นมาได้?” มู่หรงฉือเดินเข้ามาถาม สงสัยในการตายของฟ่านเสี้ยวเหวินอยู่เล็กน้อย
“ทูลเตี้ยนเซี่ย ที่อาการหอบของคุณชายฟ่านกำเริบคงจะเป็เพราะมีสิ่งเร้าภายนอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งเร้าที่ไปกระตุ้นให้อาการกำเริบ ตอนนั้นกระหม่อมไม่อยู่ ไม่ได้เห็นตอนที่คุณชายฟ่านอาการกำเริบว่าเป็อย่างไร กระหม่อมไม่กล้าวินัจฉัย แต่ว่า อาการกำเริบในครั้งนี้คงจะรุนแรงมาก” เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“สิ่งเร้า? เ้าพูดมาว่าอะไรเป็สิ่งเร้าที่เร่งให้อาการหอบหืดของเขากำเริบบ้าง?”
“บางทีอาจจะเป็อากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายของคนป่วยจะต้องระมัดระวังให้มาก หลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยหรือเหน็ดเหนื่อย ความกังวลมากเกินไป ความไม่สบายใจ หรือว่าอากาศที่ผิดแผก ทั้งยังมีฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนนก แมลง นุ่น หรือสุนัขแมวที่มีขนมากระตุ้น เหล่านี้ล้วนเป็สิ่งเร้าได้ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือพยักหน้า ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ววิ่งไปด้านนอก
มู่หรงอวี้สาวเท้าตามมา ทั้งตัวโอบล้อมไปด้วยความกดดันอย่างูเาสูงใหญ่ “การตายของคุณชายฟ่านไม่มีอะไรน่าสงสัยจริงๆ หรือ?”
หมอหลวงหลี่ตึงเครียด เหมือนกับไม่อาจทนรับสายตาอันร้อนแรงของอีกฝ่ายไหวจึงก้มหน้าลงพูด “เรียนท่านอ๋อง สิ่งที่กระหม่อมสามารถวินิจฉัยได้ก็คือ คุณชายฟ่านตายด้วยการกำเริบของโรคหอบหืด การกำเริบครั้งนี้รุนแรงมาก จึงทำให้ตายภายในเวลาเพียงครู่เดียวพ่ะย่ะค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้