“ตามข้ามาเดี๋ยวนี้!” มู่เยี่ยนกล่าวด้วยท่าทีโอหัง
“จะให้ตามเ้าไปทำไม?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“หากปฏิเสธจะถูกปะาชีวิต ซึ่งข้าสามารถฆ่าเ้าตอนนี้ได้เลย!” มู่เยี่ยนกล่าว ตามกฎของวังหลวง เขาในฐานะผู้บัญชาการองครักษ์ก็ย่อมมีสิทธิ์เช่นนี้ จากนั้นเห็นมู่เยี่ยนอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือเตรียมพร้อมลงมือจัดการเย่เฟิง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” มู่เยี่ยนไม่ทันลงมือ ก็ได้มีเสียงเย็นเยือกดังมาจากข้างในตำหนักซินอี๋ แม้จะดูโมโหอย่างมาก แต่ก็ไพเราะน่าฟัง นี่ทำให้มู่เยี่ยนหน้าเปลี่ยนสีและต้องเก็บมือไป ก่อนจะหันไปมองเงาร่างงดงามที่เดินออกมาจากตำหนัก
“คารวะองค์หญิง!” เมื่อเห็นผู้มาเป็จ้าวซินอี๋ มู่เยี่ยนก็รีบทำความเคารพทันที
จ้าวซินอี๋เผยสีหน้าเย็นเยียบ แต่เมื่อนางหันไปเห็นเย่เฟิง กลับเผยรอยยิ้มอันงดงามที่ดูแล้วสวยงามกว่ายามปกติ ผนวกกับท่วงท่าสูงศักดิ์ เรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ และผิวพรรณขาวนวลไร้ที่ติ ก็สามารถทำให้ผู้ชายสูญเสียสติสัมปชัญญะได้เลย
“เหตุใดเ้าต้องลงมือกับเย่เฟิง ไม่รู้หรือว่าที่นี่คือตำหนักของข้า?” จ้าวซินอี๋ซักถามมู่เยี่ยนด้วยเสียงเ็า ทำมู่เยี่ยนเผยสีหน้าดูไม่ได้ จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “คนผู้นี้พยายามบุกรุกตำหนักขององค์หญิง ข้าน้อยเห็นจึงรีบขัดขวางทันที หาไม่แล้วผลที่จะตามหาอาจคาดเดาไม่ได้ เมื่อครู่ข้าน้อยกำลังจะลงโทษเขา!”
“เื่ตำหนักซินอี๋ของข้าต้องให้เ้ามาจัดการั้แ่เมื่อใดกัน? ข้าเป็คนอนุญาตให้เขาเข้ามาเอง แล้วจะผิดในโทษฐานอะไร” จ้าวซินอี๋กล่าวเสียงเย็นพร้อมเผยสีหน้าสุขุมน่าเกรงขาม
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!” มู่เยี่ยนโค้งตัวยอมรับผิด ก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่ข้าน้อยคิดว่าตำหนักขององค์หญิงเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ชายใดจะเข้าไปได้ หากวันนี้คนผู้นี้ทำลายกฎและแพร่งพรายออกไป เกรงว่าชื่อเสียงขององค์หญิงจะเสียหายได้”
“ผู้บัญชาการมู่ไม่จำเป็ต้องกังวลเื่พวกนี้ เื่ของข้า ข้าย่อมจัดการเองได้” จ้าวซินอี๋กล่าว จากนั้นหันไปมองเย่เฟิงพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า “เราไปกันเถอะ!”
เมื่อกล่าวจบ จ้าวซินอี๋จับมือเย่เฟิงแล้วเดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่สนใจมู่เยี่ยน นี่ทำให้เย่เฟิงนิ่งอึ้ง ใจเขาเกิดความผันผวนเล็กน้อย เนื่องจากมือน้อย ๆ ของจ้าวซินอี๋ข้างนั้นกำลังจับมือเขา
“กร๊อบ!” ขณะที่มู่เยี่ยนมองแผ่นหลังของทั้งสองก็กำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกดังลั่น
“อีกอย่างนะ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปผู้บัญชาการมู่ไม่ต้องลาดตระเวนแถวตำหนักซินอี๋ข้าอีก!” หลังจากสองคนนั้นเข้าตำหนักซินอี๋ พลันเสียงของจ้าวซินอี๋ดังออกมาอีกครั้ง นี่ทำให้มู่เยี่ยนเผยหน้าเขียวก่อนจะะเิโทสะ ที่ผ่านมาเขามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตำหนักซินอี๋มาตลอด แต่บัดนี้จ้าวซินอี๋ขับไล่เขามู่เยี่ยนอย่างนั้นหรือ?
ทั้งหมดนี้เป็เพราะเย่เฟิง เขามู่เยี่ยนไม่เคยอยากฆ่าใครมาก ๆ ขนาดนี้ก่อน เย่เฟิงถือว่าเป็คนแรก
เมื่อเข้ามาข้างในตำหนักซินอี๋ กลิ่นหอมก็ลอยมาแตะจมูกเย่เฟิง มันน่าหลงใหลยิ่งนัก ภายในตำหนักมีการตกแต่งที่ค่อนข้างเป็เอกลักษณ์ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็เรือนพักของหญิงสาว ทุกหนแห่งล้วนแฝงด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ ซึ่งตรงกับจ้าวซินอี๋ทุกอย่าง
“องค์หญิงให้ข้าเข้ามาในนี้มีเื่อันใดหรือ?” ขณะที่เย่เฟิงมองเงาร่างงดงามกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงจึงอดเอ่ยถามเช่นนั้นไม่ได้
“ทำไม เ้าไม่เต็มใจหรือ?” จ้าวซินอี๋เอ่ยถามพร้อมเผยสีหน้าขุ่นเคือง
“ได้เข้ามาในนี้ ข้าย่อมรู้สึกเป็เกียรติ เพียงแต่...” เย่เฟิงกล่าว แต่ประโยคครึ่งสุดท้ายกลับพูดไม่ออก
“แต่อะไร?” จ้าวซินอี๋เอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้
“เพียงแต่ในฐานะผู้ชาย ข้าเกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของท่านเสียหาย” เย่เฟิงกล่าว หลังจากรับรู้กฎของตำหนักซินอี๋ เย่เฟิงก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่เข้ามาในนี้
“จะสนใจความคิดของคนอื่นไปไย ข้าไม่กลัว แล้วเ้าจะกลัวทำไม?” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางยิ้ม เย่เฟิงถึงกับคิดในใจว่า “หญิงผู้นี้ก็มีด้านนี้ด้วยหรือ ช่างน่ารักยิ่งนัก!”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่เฟิงก็ละสายตาไปทางอื่น หากดูต่อไป เขากลัวว่าตัวเองจะถอนตัวไปขึ้น จ้าวซินอี๋ช่างสวยงดงามยิ่ง
“เอาเถอะ ไม่แกล้งเ้าแล้ว เวลาไม่รอใคร เราไปตำหนักสุริยันเถอะ!” จ้าวซินอี๋กล่าว ไม่มีสิ่งอื่นใดกับการให้เย่เฟิงเข้ามาในตำหนักของนาง นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองติดกับของหญิงผู้นี้เข้าแล้ว
ตำหนักสุริยันก็คือสถานที่จัดงานเลี้ยง ขณะนั้นที่จุดต้อนรับในลานกว้างของตำหนักสุริยันนั้นรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด จุดนั้นมีทหารยามรวมตัวอยู่หลายนาย เรียงแถวเป็ระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนกำลังต้อนรับบุคคลสำคัญ
ภายในตำหนักสุริยันก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว คนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นแห่งเมืองหลวงต่างรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าว
“ทูตจากอาณาจักรซ่งมาถึงแล้ว!”
“ทูตจากอาณาจักรฉีมาถึงแล้ว!”
“ทูตจากอาณาจักรเหลียงมาถึงแล้ว!”
.....
เสียงดังกังวานมาจากด้านนอกตำหนัก เพียงเวลาชั่วครู่ทูตจากหกอาณาจักรต่างก็ทยอยมาถึงและเข้ามายังตำหนักสุริยัน ในนั้นทูตจากอาณาจักรเว่ยดูโดดเด่นที่สุด และกระบวนทัพยังใหญ่โต องค์ชายเว่ยฉีเทียนแห่งอาณาจักรเว่ยคือผู้นำกระบวนทัพ ในกระบวนทัพนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็พิเศษ ทุกองค์ประกอบล้วนสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณขาวนวล ขาเรียวยาว อกอวบอิ่ม
ตอนที่คณะทูตจากอาณาจักรเว่ยเข้ามาในตำหนัก คนรุ่นเยาว์หลาย ๆ คนของอาณาจักรจ้าวต่างถูกความสวยของหญิงสาวดึงดูด จากนั้นพากันกระซิบกระซาบ หญิงสาวผู้นั้นก็คือองค์หญิงเว่ยซินหย่า หนึ่งในสี่สาวงามแห่งอาณาจักรเว่ย
ทูตจากอาณาจักรอื่น ๆ ทยอยนั่งประจำที่ ส่วนคณะทูตอาณาจักรเว่ยนั่งในตำแหน่งที่สูงกว่าอาณาจักรอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ถึงอย่างไรอาณาจักรเว่ยก็มีอำนาจและอาณาเขตมากที่สุดในแดนชิงอวิ๋น เรียกได้ว่าเป็อาณาจักรหลักแห่งแดนชิงอวิ๋น
ชายหนุ่มชุดอสรพิษเหลืองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กิเลนตรงใจกลางห้องโถง ชายผู้นี้ดูแล้วอายุประมาณ 18-19 ปี หน้าตาหล่อเหลา มีท่วงท่าไม่ธรรมดา เพียงนั่งอยู่เฉย ๆ ก็ราวกับเป็ผู้สูงส่งที่ทำให้ผู้คนต้องยอมศิโรราบ เขาก็คือองค์ชายรองแห่งอาณาจักรจ้าวผู้มีนามว่าจ้าวเยี่ย เป็บุตรของกษัตริย์แห่งอาณาจักรจ้าวและเสียนเฟย
จ้าวเยี่ยเป็คนมีพร์ ฉลาดหลักแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์จริงใจ ไม่ผลีผล่ามไม่ใจร้อน เขาได้รับความนิยมมากในเมืองหลวงและยังได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายท่าน
นอกจากนี้พร์ด้านวรยุทธ์ของเขายังยอดเยี่ยมมากอีกด้วย อายุ 15 ปีก็บรรลุขั้นรวมชี่ หนึ่งปีต่อมาเขาปลุกิญญาาที่สอง บัดนี้องค์ชายรองจ้าวเยี่ยกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้แล้ว
จ้าวเยี่ยเพียงนั่งตรงนั้น ความเฉิดฉายของทุกคนในตำหนักสุริยันราวกับถูกบดบังทันที มีเพียงองค์ชายเว่ยฉีเทียนที่เด่นไม่แพ้ไปกว่าองค์ชายรอง ซึ่งเว่ยฉีเทียนก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้เช่นกัน
ทั้งสองคนคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่อายุไม่ถึง 19 ปี ภายภาคหน้าไม่ว่าพวกเขาจะเติบโตไปทางด้านไหน ผู้คนก็ยากที่จะคาดเดาได้
“องค์ชายรอง ข้าได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงขององค์หญิงจ้าวซินอี๋มา จึงอยากพบเป็การพิเศษ ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะมาเมื่อใดหรือ?” เว่ยฉีเทียนเอ่ยถามจ้าวเยี่ยพร้อมโค้งคำนับ
“พี่เว่ยใจเย็น ซินอี๋รับปากข้าแล้วว่าจะมา นางต้องมาแน่ เพราะนางไม่เคยโกหกพี่ชายอย่างข้าคนนี้” จ้าวเยี่ยกล่าวพลางยิ้ม ระหว่างพูดคุยกันนั้น เขาสุภาพเรียบร้อย ไร้ซึ่งความสุขุมเยือนเย็น ถือว่าดูเข้าถึงได้เลยทีเดียว
“ผู้แซ่เว่ยตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ยลโฉมองค์หญิงซินอี๋” เว่ยฉีเทียนกล่าวพลางยิ้ม จุดประสงค์ที่เขามาอาณาจักรจ้าว ประการแรกคือเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่ง ประการที่สองคือเพื่อยลโฉมความงามขององค์หญิงจ้าวซินอี๋
“องค์หญิงซินอี๋มาถึงแล้ว!” ขณะนั้นมีเสียงดังมาจากข้างนอกตำหนักสุริยัน ทำให้ทุกคนในตำหนักสุริยันได้ยินชัดเจน พวกเขาจึงหันไปมองทางเข้าตำหนัก หมายยลโฉมองค์หญิงจ้าวซินอี๋
องค์หญิงจ้าวซินอี๋คือหญิงสาวที่ราวกับเทพธิดา พวกเขาต่างชื่นชอบอีกฝ่าย หากชายใดคว้าใจของจ้าวซินอี๋ไปครอง ต่อให้ทำงานหนักสิบปี พวกเขาก็ยอม
นาทีนี้เองเงาร่างงดงามก็ได้ปรากฏตัวในสายตาของเหล่าผู้คน
นางผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ เรือนร่างสมส่วน อวัยวะบนใบหน้าสมบูรณ์แบบราวกับประติมากรรม ทั้งยังแฝงกลิ่นอายสง่างดงามที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลง
การปรากฏตัวของนางดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็จำนวนมาก
“องค์หญิงจ้าวซินอี๋สวยเหลือเกิน แม้จะเป็เซียนสตรีบน์ก็ด้อยกว่าองค์หญิงซินอี๋!” ทุกคนต่างมองไปที่จ้าวซินอี๋เป็สายตาเดียวกัน พวกเขาเพียงชื่นชมแต่มิกล้าิ่ประมาท
เว่ยฉีเทียนหันไปมองจ้าวซินอี๋เช่นกัน เพียงแวบเดียวเว่ยฉีเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์ ใต้หล้านี้มีสตรีงดงามเช่นนี้ปรากฏตัวั้แ่เมื่อใดกัน เขาในฐานะองค์ชาย พบเห็นสตรีมาก็ไม่น้อย หากเปรียบเทียบกับจ้าวซินอี๋ สตรีเ่าั้ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลยสักนิด
แต่ไม่นานเว่ยฉีเทียนก็ต้องขมวดคิ้ว ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้กลับถูกทำลาย เพราะข้างกายองค์หญิงมีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาว และผิวต้องขาว ท่วงท่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ แม้จะเผชิญหน้ากับผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ก็ยังคงใจเย็น
“เขาคือใคร เหตุใดปรากฏตัวพร้อมกับองค์หญิงซินอี๋?” ผู้คนไม่น้อยคิดเช่นเดียวกันขณะมองเย่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ จ้าวซินอี๋ เหล่าคนที่เลื่อมใสศรัทธาจ้าวซินอี๋กลับดูไม่ชอบใจ
“องค์หญิงซินอี๋คือผู้สูงศักดิ์ ชายผู้นี้มีสิทธิ์อะไรมาเดินเคียงข้างองค์หญิงซินอี๋?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะตอนนี้มีหลายคนพบแล้วว่าเย่เฟิงอยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 5
แน่นอนว่าในหมู่คนเหล่านี้มีบางคนรู้จักเย่เฟิง ซึ่งพวกเขาต่างมองเย่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
ส่วนเย่เฟิงไม่สนใจที่คนเ่าั้จ้องมองเขา เพียงเดินตามจ้าวซินอี๋ไปยังใจกลางห้องโถง
“ท่านพี่รอง ซินอี๋มาช้าไป” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางยิ้มให้กับจ้าวเยี่ย
