ลานอันหวาอยู่ไม่ไกลจากลานฮ่าวอู๋ เจินจูจึงมาถึงได้อย่างรวดเร็ว
นางทำความเคารพฮูหยินกั๋วกงเป็อันดับแรก แล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้โหยวอวี่เวย
“พี่สาวสกุลโหยวท่านมาแล้ว!”
โหยวอวี่เวยก็หันมายิ้มหวานทางนางเช่นกัน ปรากฏลักยิ้มน้อยๆ สองข้างขึ้น เต็มไปด้วยความน่ารักอย่างมาก
“หากข้ายังไม่มาหาเ้าอีก เ้าคงจะหนีไปถึงที่อื่นแล้วกระมัง”
ฮูหยินกั๋วกงเห็นสองคนสนิทกันมาก จึงวางใจลงได้
นางกำชับให้เยว่อิงคอยปรนนิบัติให้ดี แล้วจึงกลับห้องของตัวเองไป
เจินจูสังเกตเห็นอารมณ์สนุกสนานของฮูหยินไม่ร่าเริงสักเท่าไร จึงถามโหยวอวี่เวยเบาๆ “ท่านคุยอะไรกับนางหรือ ทำไมข้ารู้สึกอารมณ์ของนางตกต่ำเล็กน้อย”
“ใช่หรือ?” โหยวอวี่เวยชะงักเล็กน้อย “ไม่ได้คุยอะไรเลย แค่ถามเื่ทั่วไปของท่านแม่ข้า แล้วข้าก็บอกนางว่าท่านแม่ตั้งครรภ์เลยทานเก่งจนอ้วนขึ้นไม่น้อย อื้ม ก็ประมาณนี้แหละ”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง เป็สตรีผู้หนึ่งที่มีความยุ่งยากใจเื่ให้กำเนิดบุตรอีกคนแล้ว มารดาเถอะ สตรียุคโบราณอยากเป็แม่หมูกันยิ่งนัก บุตรคนเดียวก็ยังรู้สึกว่ามีไม่พออีก
สองคนกลับไปถึงลานอันหวาที่เจินจูพักอาศัย หลังเข้าไปด้านในห้องแล้ว เยว่อิงก็ยกน้ำชามาให้พวกนาง หลังจากนั้นก็หลบไปห้องเล็กที่อยู่ด้านข้าง
จื่อยู่ยืนอยู่ข้างประตูด้วยความนอบน้อม
เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงสองคน โหยวอวี่เวยจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น? จู่ๆ ถอนหายใจทำไมหรือ?” เจินจูถาม
“สองวันมานี้ที่บ้านบรรยากาศไม่ค่อยดีอย่างมาก ข้าเลยตั้งใจออกจากบ้านมาเพื่อหลบบรรยากาศนั้นสักหน่อย”
ใบหน้าโหยวอวี่เวยประดับไว้ด้วยความกลัดกลุ้ม
เื่ของโหยวเสวี่ยชิงยังไม่คลี่คลาย แม้การตกเป็ผู้ต้องสงสัยในการฆ่าคนตายของนางจะขจัดออกไปได้แล้ว แต่สติของนางเลอะเลือนเสมอมา หัวเราะร้องไห้แปรปรวนไม่แน่นอน ท่านปู่กับท่านลุงใหญ่เคยไปเยี่ยมนางแต่นางจำผู้ใดไม่ได้เลย สมุนไพรต้มแก้พิษกรอกลงไปอยู่ทุกวัน ประสิทธิผลน้อยนิดยิ่งนัก
หลังท่านลุงรองคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านของท่านปู่ครึ่งวันก็ถูกหามกลับไป ได้ยินว่าหลังกลับไปก็เป็ไข้สลบไสลไม่ได้สติ ขณะนี้ยังนอนอยู่บนที่นอนอยู่เลย
ส่วนท่านพ่อแม้บนใบหน้าจะยิ้มอยู่ แต่ความกังวลในดวงตาลึกๆ กลับปกปิดไว้ไม่มิด
บรรยากาศอึดอัดในบ้านหนักหน่วงอย่างมาก ในใจโหยวอวี่เวยกลัดกลุ้มนัก จึงอยากมาหานางเพื่อระบายความทุกข์
“เื่ลูกผู้พี่ของท่าน ทางครอบครัวท่านจะจัดการอย่างไรหรือ?” เื่ของโหยวเสวี่ยชิง เจินจูรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กน้อย แม้การแอบคบชู้ของนางจะผิดศีลธรรมอย่างมาก แต่ใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อเปิดโปงต่อหน้าสาธารณะชนก็น่าอึดอัดไม่น้อยเลยจริงๆ
“เชอะ จั่วฉงจงหน้าไม่อายผู้นั้น เ้ารู้ไหมเขาทำอย่างไร? เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กล่าวร่ำไห้ร้องทุกข์ บอกว่าเขารู้ว่าลูกผู้พี่ของข้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับองค์ไท่จื่อมานานแล้ว แต่ด้วยฐานะขององค์ไท่จื่อ เขากล้าเพียงโมโหแต่ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่อดทนมาตลอดจนถึงตอนนี้ หลังจากนั้นยังบอกว่าเขา้าหย่ากับลูกผู้พี่แต่จวนท่านโหวเหวินชางมีอำนาจมาก เขากลัวได้รับการแก้แค้นจึงอยากให้ฮ่องเต้ช่วยออกหน้าตัดสินให้เขา”
“ฮ่องเต้เพิ่งประสบกับความเ็ปที่สูญเสียองค์ไท่จื่อไป กำลังตกอยู่ในความโศกเศร้าอาดูร เขากลับดีเสียนี่ะโออกมาประณามองค์ไท่จื่อว่าล่อลวงภรรยาตัวเอง จั่วฉงจงผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าโง่หรือไม่? ต่อให้องค์ไท่จื่อจะไม่ดีอย่างไรแต่ก็เป็โอรสของฮ่องเต้ อีกทั้งคนได้ตายไปแล้วยังไปยัดโทษให้เขาอีก เ้าว่า ฮ่องเต้จะไม่มีโทสะได้หรือ” โหยวอวี่เวยหยุดถอนหายใจและกล่าวต่อ
“ต่อมาฮ่องเต้ตำหนิเขาด้วยความกริ้วอยู่พักหนึ่ง ตรัสว่าวาจาและการกระทำของเขาสามหาวนัก ประพฤติตนเลินเล่อ มีหลังบ้านที่ไม่สงบก่อความวุ่นวาย ตำหนิอยู่นานพักหนึ่ง จากนั้นให้คนลากเขาไปโบยยี่สิบไม้”
“ฮ่าๆ สะใจเสียจริง แม้ลูกผู้พี่คนรองจะมีส่วนไม่ดี แต่เขาก็ไม่ใช่บุรุษเกินไปแล้ว หาก้าหย่าก็ควรรอจนนางได้สติก่อนแล้วค่อยว่ากันสิ ตอนนี้เอะอะขึ้นมาจนคนเขารู้กันหมด ท่านลุงรองไม่มีทางปั้นหน้าแล้วให้ลูกผู้พี่ไร้ยางอายอยู่บ้านเขาต่อเช่นกันนั่นแหละ”
“เฮ้อ แต่ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่จะตื่นขึ้นมาได้เมื่อไร ท่านป้าสะใภ้รองก็ไปดูแลนางแล้ว ท่านลุงรองเจ็บป่วยไม่มีคนดูแล น้องชายลูกผู้น้องก็ไปเรียนอยู่ข้างนอก ที่บ้านไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคน น่าเวทนาจริงๆ”
โหยวอวี่เวยถอนหายใจอีกครั้ง ท่านลุงรองดูแลนางไม่แย่เลย ตอนนางไปอำเภอเจิ้นอัน เขาก็ส่งผู้ติดตามที่ใกล้ชิดที่สุดมาขับเกวียนให้นาง
“…เขามีคนรับใช้คอยจัดการดูแล ไม่มีทางเป็อะไรหรอก” เด็กรับใช้และสาวใช้หญิงชรามากมายจะไม่มีคนดูแลเสียที่ไหน
“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ หญิงรับใช้จะเทียบกับญาติพี่น้องได้หรือ?” นางบุ้ยปาก พลางหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์หนึ่งที
เจินจูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สำหรับนางแล้วไม่ว่าจะเป็คนรับใช้หรือญาติพี่น้อง ขอแค่พยายามดูแลอย่างเต็มที่ก็พอ ไม่เช่นนั้นแม้บางคนที่มีคนสนิทที่สุดอยู่ข้างกาย ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการดูแลที่ดีได้เช่นกัน
“ท่านแม่ของท่านเป็อย่างไรบ้าง? นางไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรใช่ไหม?”
“อื้ม ท่านแม่สบายดีมาก นางไม่ได้เป็กังวลเลย เพราะตลอดมาก็ไม่ได้ชอบลูกผู้พี่คนรองคนนี้อยู่แล้ว ท่านแม่ข้าบอกว่าลูกผู้พี่คนรองเป็คนชื่นชอบในความฟุ้งเฟ้อ ั้แ่เด็กมักชอบอาจเอื้อมขึ้นมาเทียบกับพวกข้าพี่น้องผู้หญิงไม่กี่คน วัสดุแบบของเสื้อผ้าหากไม่สมใจปรารถนาพอกลับห้องไปก็โยนถ้วยชาทิ้ง หากบังเอิญพบเครื่องประดับศีรษะบนมวยผมรูปแบบเหมือนกัน พอหันหลังไปก็ตบตีสาวใช้อยู่พักหนึ่ง พฤติกรรมเช่นนี้มีมากจนนับไม่ถ้วน ท่านแม่รับรู้ทั้งหมดแต่คร้านจะสั่งสอนนางนัก”
“ภายหลังเพื่อจะได้แต่งงานให้ขุนนางที่มีระดับสูง นางจึงยั่วยวนจั่วฉงจงอย่างไม่สนเกียรติหน้าตา ท่านแม่ถึงเกิดโทสะอย่างมาก ไปรวมตัวกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ตำหนินางอยู่ทีหนึ่ง ว่านางทำลายหน้าตาของสกุลโหยว ทั้งที่ความเป็จริงท่านแม่กลัวว่าการแต่งงานของชนรุ่นน้อยอย่างพวกข้า จะถูกเื่ของนางทำให้เกิดความเดือดร้อนยุ่งยากเข้า”
โหยวอวี่เวยเอ่ยไม่หยุดปาก กล่าวเื่กวนใจมากมายของที่บ้านให้เจินจูฟัง สภาพจิตใจของนางถึงได้สบายใจขึ้นหน่อย
“ไม่เป็ไรหรอก พี่ห้าของท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น ท่านรอเป็ฮูหยินสกุลกู้อย่างสบายใจได้เลย”
เจินจูรู้ว่านางกังวลใจเื่อะไร หัวใจของสาวน้อยมักทุกข์ร้อนใจในประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของตนเองกันทั้งนั้น เื่การแต่งงานของนางกับกู้ฉียังไม่ได้กำหนดลงแน่นอน แล้วมาประสบกับเื่เช่นนี้จะไม่กังวลใจได้อย่างไร
ใบหน้าของโหยวอวี่เวยแดงขึ้นเล็กน้อย นางปิดเปลือกตาลง “เ้าก็คิดว่าพี่ห้าไม่ใช่คนเช่นนั้นด้วยใช่ไหมล่ะ”
“เขาเป็คนเช่นไร ท่านยังไม่แน่ชัดอีกหรือ นี่มีอะไรต้องถามอีก”
เจินจูแหย่นางอย่างขบขัน
นางขัดเขินใบหน้าแดง หมุนกายกลับมาตอบโต้ สองคนหัวเราะหยอกเย้ากันขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่งถึงหยุดลงได้ พอทะเลาะเย้าหยอกกันไปเช่นนี้ อารมณ์ของโหยวอวี่เวยจึงดีขึ้นไม่น้อย นางจับมือของเจินจูอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
“ผ่านไปอีกไม่กี่วันเ้าก็จะกลับแล้ว ไม่อยากให้เ้าไปเลย พอเ้ากลับไป คนที่ข้าจะพูดคุยด้วยได้ก็ไม่มีแล้ว”
เจินจูมองความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหันของนาง ไม่อยากให้บรรยากาศกลับไปหดหู่ลงอีก จึงกล่าวกับนางด้วยความซุกซน “อีกไม่นานท่านก็จะเป็เ้าสาวแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องเตรียมสินเดิมของฝ่ายสาวหรอกหรือ น่าจะยุ่งมากกระมัง มีเวลาว่างมาหาคนคุยเล่นเสียที่ไหนล่ะ”
โหยวอวี่เวยตกตะลึง คิดไปมาเล็กน้อยก็เป็ความจริง แม้ท่านแม่ช่วยเตรียมสินเดิมฝ่ายสาวไว้ให้นางั้แ่เนิ่นๆ มากมายแล้ว แต่ของบางอย่างยังจำเป็ต้องเตรียมด้วยตัวเองอีก
นางหันไปหัวเราะกับเจินจู ใบหน้างดงามสว่างไสว กอปรกับรอยยิ้มเซ่อซ่าบนใบหน้า ทำให้เจินจูกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
...จวนองค์ชายสาม ภายในที่พักฟางหวา
เขตที่พักอาศัยอันแสนกว้างขวางดูดีที่เช่อเฟยหลัวเชี่ยนขององค์ชายสามอยู่อาศัย กว้างใหญ่สวยงามเป็สง่าอย่างมาก เป็หนึ่งในเขตที่พักอาศัยภายในจวนที่ทัศนียภาพดีที่สุด เสียงร้องขับขานของนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วมีความสุขอยู่เสมอ
แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ
ไม่เหมือนการใช้ชีวิตในแบบที่เป็ปกติทุกวันของนาง
หลัวเชี่ยนแต่งให้กับองค์ชายสามมาห้าปี ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดภายในลานที่พักอาศัยอย่างมั่นคง
เสื้อผ้าและสิ่งที่สวมใส่ประดับหรูหรา รูปแบบการใช้ชีวิตดูดี เสพสุขไปกับความฟุ้งเฟ้อทุกอย่างที่มีให้นาง
ขอเพียงองค์ชายสามอยู่ภายในจวน มากกว่าครึ่งจะใช้เวลาอยู่ในเขตที่พักอาศัยของนาง นางสนมผู้อื่นพยายามอย่างสุดแรงก็แย่งเกียรตินี้ไปจากนางไม่ได้
นางมีสิทธิ์อะไรน่ะหรือ?
หลัวเชี่ยนงดงามมาก ไม่ใช่ความสวยอย่างกล้วยไม้ที่เลอค่า และก็ไม่ใช่ความงามอย่างสัตตบรรณที่เรียบบริสุทธิ์อีกด้วย แต่เป็ความงามพริ้งพรายอย่างโบตั๋นที่เอาแต่ใจตัวเอง งดงามจนสว่างสดใสดังมนต์ต้องคน คิ้วดำเฉียงเรียวยาว ลูกตาสีเข้มลุ่มลึก ริมฝีปากแดงฟันขาว นับเป็สตรีงามที่โดดเด่นไร้ผู้ใดเหมือน
หานอี้ชื่นชอบความงามที่เฉิดฉายดั่งดอกไม้ของนาง ท่าทางรูปร่างงดงามยั่วยวนผิวขาวราวหิมะ ขณะที่โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก ดวงตาคู่งามสวยหยาดเยิ้ม ริมฝีปากดุจผลอิงเถาแดงชุ่มชื้นน่ามอง ล้วนทำให้เขาลุ่มหลงจนหลุดออกมาไม่ได้ทั้งสิ้น
สามารถกล่าวได้ว่าต้นทุนที่มากที่สุดของหลัวเชี่ยน ก็คือใบหน้าอันแสนโสภาสะกดสายตาผู้คนที่ผู้เป็บิดามารดามอบให้
ตอนนี้... ได้มลายหายไปจนสิ้นแล้ว
นางข่มความรู้สึกที่อยากกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเอาไว้ ในขณะที่มองกระจกทองแดงทรงดอกกระจับลวดลายหงส์คู่ที่นางชื่นชอบมากที่สุดในวันปกติ ด้วยความสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งกาย
ใบหน้าของคนที่ปรากฏอยู่ด้านในกระจก ทำให้นางรู้สึกพังทลายสิ้นหวัง
เม็ดเล็กๆ สีแดงผุดขึ้นเต็มทั่วใบหน้าของนาง ทั้งแดงทั้งคัน ทั้งน่าสะพรึงกลัวและอดทนได้ยาก แต่นางไม่กล้าเกา มือของนางกำไว้แน่นอยู่บนที่วางแขนของเก้าอี้ไม้จันทน์แกะสลักช่อดอกโบตั๋น กลัวมากว่าพอทนไว้ไม่ไหวจะเกาใบหน้าของตัวเองจนลายพร้อย
เมื่อคืนนางกลับมาถึงในจวนด้วยความกระวนกระวานใจดังมีไฟแผดเผา ตามตัวท่านหมอหลวงมาทำการตรวจทันที
ตามการวินิจฉัยของท่านหมอหลวง นางถูกพิษแปลกๆ ชนิดหนึ่งที่แพร่หลายอยู่ในยุทธภพเข้า ผู้ที่โดนพิษชนิดนี้ดั่งเป็ลมพิษก็ไม่ปาน จะเกิดเม็ดเล็กๆ สีแดงขึ้นไปทั่วทั้งกายอย่างหนาแน่น ทั้งคันทั้งชา ยิ่งแตะต้องจะยิ่งคัน ประสิทธิภาพของพิษเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด แม้จะเกาจนตุ่มกระจายก็ทำได้เพียงยิ่งเพิ่มความคันและชาให้มากขึ้นเท่านั้น
พิษชนิดนี้ไร้ยาถอน แต่ประสิทธิผลของพิษจะหายขาดได้ในสามวันสองคืน
ท่านหมอหลวงระมัดระวังไปจนถึงขั้นเป็ความหวาดกลัว พิษชนิดนี้เห็นได้ชัดว่าจะทำลายรูปโฉมที่แสนงดงามของเช่อเฟย แม้สามวันสองคืนนี้นางจะไม่จับไม่เกา แต่เกรงว่าคงจะเหลือร่องรอยเล็กๆ มากมายทิ้งไว้เช่นกัน
หลัวเชี่ยนรู้สึกตื่นตระหนกจนสีหน้าซีดขาวหวาดกลัวทันที สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของนางก็คือโฉมหน้านางดวงนี้
เขากล้าทำเช่นนี้กับนางเชียวหรือ หลัวเชี่ยนโมโหจนแทบอยากเป็บ้า
แต่ความเห็นของท่านหมอหลวง แม้พิษนี้ไร้ยาถอน ทว่าสามารถใช้ยาบรรเทาอาการได้
หลังนางดื่มสมุนไพรต้มที่ขมเสียยิ่งกว่าหวงเหลียนลงไปสามเทียบ ทำให้ดึงของเหลวสีดำออกมาได้ในปริมาณมาก
ในขณะที่นางคิดว่าความร้ายแรงของพิษได้รับการถอนแล้ว ทั่วทั้งกายก็เริ่มแดงขึ้นและค่อยๆ ผุดตุ่มเม็ดเล็กมากมาย ตอนแรกยังเป็เพียงเม็ดเล็กๆ ต่อมายิ่งเม็ดโตขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งขึ้นหนาแน่นมาก
จนกระทั่งตอนนี้ นางทนที่จะจ้องหน้าของตัวเองตรงๆ ไม่ได้แล้ว
ช่างน่ากลัวเกินไปยิ่งนัก นางมองเพียงหนเดียวรู้สึกว่าตัวเองต้องฝันร้ายไปชั่วชีวิต
หลัวเชี่ยนปิดลานบ้านของตัวเองสนิทตัดขาดจากโลกภายนอก สั่งให้สาวใช้ออกไปให้หมด รั้งท่านหมอหลวงให้อยู่ในห้องพักแขก ในบ้านเหลือเพียงเมอเมอไป๋ไว้คอยดูแลนางเพียงผู้เดียว
นางหวาดกลัวยิ่งนัก ใบหน้าที่น่าหวาดกลัวนี้ หากให้ฝ่าาเห็นเข้า เกรงว่าคงไม่คิดจะเหยียบเข้ามาในลานบ้านของนางอีกเลยเป็แน่
นางจะให้เื่เช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ขอแค่นางไม่เกา ทนให้ผ่านสามวันสองคืนนี้ไปได้ก็พอแล้ว ใช่... หากทนผ่านไปได้ก็จะดีขึ้นแล้ว
่นี้องค์ชายสามเริ่มเข้าวังไปทำความเคารพฮ่องเต้ทุกวัน หยุดอยู่ภายในวังเป็เวลานานมาก นางต้องระวังหน่อย อย่างไรก็ต้องทนผ่าน่นี้ไปให้ได้
หลัวเชี่ยนให้เมอเมอไป๋ก้าวขึ้นเตียงไม้หนานมู่สลักทองเพื่อมามัดนางไว้ ใช้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมัดมือและเท้าแต่ละข้างของนางให้ดี ป้องกันเผื่อว่านางทนอาการคันไม่ไหวแล้วจะเกาตัวเองเข้า
หลัวเชี่ยนถูกผ้ามัดขึงกางแขนขา กลั้นความเ็ปและคันคะเยอที่จวนจะทนไม่ไหวไว้ นางกัดฟันจนเสียงดังกึกกรอด ั์ตาปรากฏความโกรธแค้นอำมหิตวาบขึ้น
หลัวจิ่ง เ้าคอยดูเถอะ เ้าทำให้ข้าใช้ชีวิตลำบาก เ้าก็จะไม่มีทางได้มีชีวิตสุขสบาย พวกเขาตายกันไปหมดแล้ว ทำไมเ้ายังมีชีวิตอยู่? เ้ารู้สึกผิดต่อพวกเขา ทำไมเ้าไม่ตายตามไปด้วยเลยล่ะ?
เ้ามันสมควรตาย! สมควรตาย!
หลัวเชี่ยนออกแรงบิดร่างกาย ความคันทวีขึ้นจนเกิดเป็ความรู้สึกน่าหวาดกลัวแทรกซึมเข้าสู่กระดูก ทำให้นางจิตใจร้อนรุ่มเสียจนแทบอยากเป็บ้า
ท่านปู่โง่เง่ายิ่งนัก เ้าก็ด้วยโง่เง่าไม่ต่างกันเลย หากองค์ชายสามขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุดของต้าสยา นางก็จะสามารถกลายเป็สตรีชนชั้นที่สูงที่สุดของต้าสยา พวกเ้าไม่คิดว่าข้าจะนำพาความเฟื่องฟูมาให้ แต่กลับถ่วงแข้งขาคนแล้วคนเล่าอีก ล้วนเป็คนโง่บัดซบหนึ่งกลุ่มทั้งสิ้น
ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพกลายเป็พันกระดูกแห้งเหี่ยว [1] หนทางของการขึ้นรับตำแหน่ง หากมีคนตายไปนิดหน่อยจะนับว่าเป็อะไร อยากกลายเป็คนเหนือคนก็ต้องมีการเสียสละ การตายของสกุลหลัวนางก็ไม่อยากให้เป็เช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อเื่เป็เช่นนี้ไปแล้ว เหตุใดยังต้องวนกลับมาหาที่นางด้วย ไม่ใช่ว่านางเป็ผู้สังหารหลายสิบชีวิตของสกุลหลัวเสียเมื่อไร
องค์ไท่จื่อไม่ใช่ว่าสิ้นพระชนม์แล้วหรือ? ความแค้นที่ยิ่งใหญ่นี้ได้รับการแก้แค้นแล้ว จะคว้านางไว้เพื่ออะไร? เห็นว่านางรังควานง่ายงั้นหรือ?
ความเ็ปและอาการคันอย่างมากกระจายไปทั่วทั้งกาย ทำให้นางแผดเสียงดังขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ เมอเมอไป๋รีบยัดผ้าผืนใหญ่ใส่เข้าในปากนางทันที
หลัวเชี่ยนทุกข์ทรมานจนอยากะเิออกมา ด่าทอสาปแช่งหลัวจิ่งอย่างเดือดดาลในใจหนึ่งรอบ
รอให้นางได้นั่งบนตำแหน่งที่สูงที่สุดก่อนเถอะ นางจะบดกระดูกเขาให้แหลกเป็ขี้เถ้าเลย [2]
เชิงอรรถ
[1] ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพกลายเป็พันกระดูกแห้งเหี่ยว หมายถึง ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพนั้น ได้อาศัยการพลีชีพของคนมากมายมหาศาลเพื่อแลกมา
[2] บดกระดูกเขาให้แหลกเป็ขี้เถ้า หมายถึง เมื่อคนตายแล้วจะนำกระดูกคนผู้นั้นไปบดให้แหลกเป็ผุยผงและโปรยทิ้งให้ทั่ว เป็การบรรยายถึงความเคียดแค้นจงเกลียดจงชังสุดขีด