แต่ภายในวังนั้นไม่มีค่าพอให้พูดถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาขององค์หญิงสีที่ไม่ได้รับความรักเลย หลายปีมานี้ก็ยังเป็ได้แค่จาวอี้ อีกอย่างองค์หญิงเองก็ไม่กล้าพูดเื่พวกนี้กับเวิ่นจิ่นหยาง คนคนนั้นเป็คนอย่างไรนางรู้ดี
เขาสนใจแค่ตำแหน่งฮ่องเต้กับอำนาจเท่านั้น พวกองค์ชายกับองค์หญิงพวกนั้น นางไม่เห็นเวิ่นจิ่นหยางจะชอบคนไหนเป็พิเศษ เพราะนางรู้เื่นี้อยู่แล้วถึงได้กล้าแข็งข้อกับองค์หญิงสี
“ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ นะเ้าคะ?”
“วางใจเถิด” ซูิเยว่ถอนหายใจน้อยๆ
“มารดาขององค์หญิงสีเป็แค่จาวอี้คนหนึ่งเท่านั้น ครอบครัวมารดาของพระมารดาเองก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร ส่วนท่านพ่อของข้าอย่างไรก็เป็ข้าราชการ ถึงแม้องค์หญิงสีจะไปกราบทูลฮ่องเต้ เ้าว่าฮ่องเต้จะเลือกใครระหว่างจาวอี้กับขุนนางใหญ่คนหนึ่ง”
เสี่ยวอวี่ได้ยินก็วางใจ หลังจากที่ซูิเยว่ออกไปได้ไม่นาน ที่ห้องพักชั้นสามของจิ่นชางเก๋อก็มีคนสองคนเดินออกมา
จี๋โม่หานสวมชุดสีม่วงอ่อนนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีหลิงชวนเป็คนคอยเข็นให้
ั้แ่หลังจากที่ซูิเยว่บอกครั้งที่แล้ว จี๋โม่หานก็เปลี่ยนจากเก้าอี้รถเข็นเซวียนอวี้มาเป็รถเข็นธรรมดา มือที่วางอยู่บนที่วางแขนค่อยๆ จับเข้าหากันช้าๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่หลิงชวนที่อยู่ด้านหลังเขารู้ดี เ้านายของตนโกรธอีกแล้ว
จิ่นชางเก๋อคือธุรกิจที่จี๋โม่หานบริหารอย่างลับๆ วันนี้ว่างๆ จึงมาดูสักหน่อย แต่เขาก็บังเอิญมาเจอกับซูิเยว่ที่มาซื้อของที่นี่เข้าพอดี
เดิมทีหลิงชวนอยากจะออกไปทัก แต่ถูกจี๋โม่หานห้ามเอาไว้ก่อน ต่อมาทั้งสองคนก็อยู่ในห้องนั้นและเห็นองค์หญิงสีเข้ามาหาเื่ซูิเยว่
หลิงชวนพูดเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจ “เ้านาย เมื่อครู่เหตุใดท่านถึงไม่ให้กระหม่อมออกหน้าพ่ะย่ะค่ะ?”
ั้แ่ซูิเยว่เริ่มรักษาดวงตาให้กับจี๋โม่หาน นางจึงมักจะมาที่จวนอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าเป็คนสนิทกันแล้ว ความประทับใจที่หลิงชวนมีต่อซูิเยว่ก็ไม่เลวเลย
จี๋โม่หานเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงแฝงความเย็นเยียบเอาไว้ “นางสามารถจัดการเื่นี้ได้โดยที่คนอื่นไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอ”
“เช่นนั้น...” หลิงชวนเงียบไปครู่หนึ่ง “ทางด้านองค์หญิงเจ็ดจะทำอย่างไร องค์หญิงเจ็ดนิสัยยโสโอหัง วันนี้คุณหนูซูตบนางไป นางไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“คนที่พลิกสถานการณ์ไม่ได้ ไม่มีทางอยู่ในสายตาของข้า ส่วนหลันจาวอี้ก็ยิ่งไม่มีค่าอะไรให้ต้องกลัว” จี๋โม่หานพูดอย่างไม่ใส่ใจมากเท่าไรนัก เขารู้ว่าซูิเยว่เองก็คิดถึงขั้นนี้ถึงได้กล้าลงมือกับองค์หญิงสี “แต่ว่า....”
จี๋โม่หานพูดด้วยเสียงเย็นลง
“เ้านายมีอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อองค์หญิงสีทำเช่นนี้ก็ต้องสั่งสอนเสียหน่อย”
จี๋โม่หานไม่ได้บอกว่าจะสั่งสอนอะไร แต่หลิงชวนนั้นเข้าใจแล้ว “รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
พอซูิเยว่กลับไปถึงจวนก็ได้โยนเื่ขององค์หญิงสีทิ้งไปด้านหลัง คนอย่างองค์หญิงสีนั้นไม่มีค่าให้นางนึกถึง
นางเอาผ้าที่ซื้อมาปูลงบนโต๊ะ จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวอวี่ไปหาปากกาที่ใช้สำหรับทำเสื้อผ้ามา จากนั้นก็เขียนโครงร่างเสื้อผ้าคร่าวๆ ลงบนผ้าไหม
ครั้งนี้นางวางแผนจะทำกระโปรงเอวสูงยาวลากพื้น หลังจากวาดแบบเสร็จแล้ว ซูิเยว่ก็ให้เสี่ยวอวี่เอาชุดไปส่งตัดที่ร้านตัดเสื้อของจวนสกุลซูเพื่อทำเป็ชุด
ต่อมานางก็เอากระดาษปากกามาเริ่มออกแบบ ถึงตอนนั้นแล้วก็ค่อยนำภาพไปปักลงบนเสื้อ ซูิเยว่วางแผนจะใช้ด้ายสีทองบนส่วนท่อนบนกับเอวปักปีกเฟิ่งหวง
ผ้าสีขาวอมฟ้าเข้ากับภาพวาดที่ปักด้วยด้ายสีทองอย่างพอดิบพอดี ส่วนท่อนล่างนางวางแผนจะใช้ด้ายสีเงินปักดอกมู่จิ่นฮวา [1]
งานทั้งหมดถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว เหลือแค่รอทางห้องตัดเสื้อทำเสร็จ นางก็เริ่มลงมือปักได้เลย
ระยะห่างจากวันเกิดของไทเฮายังเหลืออีกหลายวัน เวลายังถือว่าเพียงพอ แต่อย่างไรซูิเยว่ก็ยังประเมินการเอาคืนขององค์หญิงสีต่ำเกินไป นางไม่ไปหาเื่ เื่ก็มักจะมาหานางอยู่ดี
เช้าวันถัดมา ซูิเยว่ส่งให้เสี่ยวอวี่ไปดูที่ร้านตัดเสื้อผ้าว่าทำไปถึงไหนแล้ว ผลสรุปคือเสี่ยวอวี่เพิ่งออกจากเรือนไปได้แค่ครู่เดียวก็กลับเข้าเรือนมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เป็อะไรไปหรือ?”
เสี่ยวอวี่ท่าทางกังวลหนักพูดอย่างร้อนใจ “คนในวังมาเ้าค่ะ หนูปีเพิ่งออกจากเรือนไปก็เจอพ่อบ้านกับเมอเมอในวัง เขาบอกว่าเป็คนของตำหนักจิ่นเหอมารายงานว่าหลันจาวอี้เรียกตัวคุณหนูให้เข้าวัง ตอนนี้รออยู่ด้านนอกเ้าค่ะ จะทำอย่างไรดีเ้าคะ?”
เสี่ยวอวี่มีสีหน้าร้อนรน ร้อนจนเหมือนมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อน “จะต้องเป็เพราะเื่เมื่อวานแน่ๆ องค์หญิงเจ็ดเก็บความเกลียดเอาไว้ในใจแล้วนำไปบอกพระมารดา ตอนนี้หลันจาวอี้เรียกคุณหนูเข้าวังแล้ว นางต้องมีความคิดไม่ดีแน่นอนเ้าค่ะ”
ซูิเยว่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย คิ้วขมวดเข้าหากัน นางคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงสีจะวุ่นวายได้ถึงขนาดนี้ หลันจาวอี้เรียกนางเข้าวัง จะต้องมีความคิดที่ไม่ดีแน่
“คุณหนู” น้ำเสียงของเสี่ยวอวี่เครือไปด้วยน้ำตา “หรือไม่พวกเราไปบอกใต้เท้าซูกันเถิดเ้าค่ะ ตอนนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีคงจะอยู่ที่ห้องตำรา”
“ไม่ต้อง” ซูิเยว่ปฏิเสธ “บอกท่านพ่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
ซูิเยว่ไม่เข้าใจบิดาของตนเลย เมื่อชาติก่อนตอนที่นางกำลังจะตาย ท่านพ่อของนางก็ไม่เคยออกหน้ามาก่อน ตอนนี้จะออกหน้าให้นางเพื่อเื่แค่นี้หรือ?
“พวกเราจะทำอย่างไรดีเ้าคะ คุณหนู?”
ซูิเยว่ถอนหายใจอย่างจนใจ นางลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตัวเอง “จะทำอะไรได้ล่ะ? เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว เดี๋ยวก็มีทางแก้เอง ต้องเข้าไปดูที่วังก่อน”
องค์หญิงสี้าจะหาเื่นาง อีกทั้งนิสัยเอาแต่ใจไร้เหตุผลนั่น เื่ที่ซูิเยว่ไปตบหน้านางเมื่อวาน นางไม่มีทางหยุดง่ายๆ แน่ หลันจาวอี้เองก็มีบุตรสาวเป็องค์หญิงสีเพียงพระองค์เดียว นางจะต้องไม่ยอมกลืนอารมณ์โกรธนี้ไปแน่นอน
ซูิเยว่พูดจบก็สาวเท้าเดินออกไปด้านนอก เสี่ยวอวี่เองก็รีบตามหลังนางไป
ทั้งสองคนออกมาถึงโถงหน้าของหอฮวาซีแล้ว ด้านในห้องโถงมีคนสองคนยืนอยู่อย่างที่คิด พ่อบ้านฝูซูยืนสีหน้าเคร่งเครียด ด้านข้างมีสตรีคนหนึ่งยืนอยู่
สตรีคนนั้นแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเมื่อเห็นซูิเยว่เดินออกมา แววตามองพิจารณาซูิเยว่ั้แ่บนลงล่างอย่างไม่ปิดบัง เมื่อพิจารณาจบแล้วก็แค่นเสียงเหอะออกมาไม่ดังและไม่เบามาก
ซูิเยว่ทำเป็มองไม่เห็นท่าทางนั้นแล้วเดินไปตรงหน้าพ่อบ้าน “ฝูซู”
“คุณหนู” ฝูซูพูดไปก็หมุนตัวไปทางสตรีด้านข้างแล้วแนะนำ “ท่านนี้คือเมอเมอมาจากในวังขอรับ บอกว่าหลันจาวอี้เรียกคุณหนูเข้าเฝ้า”
ซูิเยว่ฟังจบก็ยิ้มเล็กน้อยหันหน้าไปโค้งตัวให้กับสตรีคนนั้นแล้วพูดอย่างน่ารัก “สวัสดีเมอเมอ”
เสียงของสตรีคนนั้นตอบอืมออกจากจมูก ไม่ดังและไม่เบามาก
“ในเมื่อคุณหนูมาแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าเข้าวังเถิด อย่าให้จาวอี้ต้องรอนาน”
“เ้าค่ะ” ซูิเยว่เองก็ไม่ได้พูดอะไร นางรับคำอย่างจริงใจ
ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี เมื่อคิดเช่นนี้ ซูิเยว่ก็รู้สึกว่าอย่างไรก็ได้ขึ้นมา
สตรีคนนั้นพูดจบก็เดินออกไปด้านนอก ซูิเยว่พาเสี่ยวอวี่ตามไปด้านหลัง เพิ่งจะเดินไปก้าวเดียว สตรีคนนั้นก็หันกลับมามองเสี่ยวอวี่แล้วพูด “จาวอี้ตรัสว่า วันนี้มีแค่คุณหนูเข้าวังได้เพียงคนเดียว สาวใช้ตามมาด้วยไม่ได้”
เชิงอรรถ
[1] ดอกชบาจีน