สาเหตุน่าจะมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสมบ่อยครั้ง ทำให้ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ ทั้งยังขาดการบำรุงที่เหมาะสม ทำให้ปราณพร่องลงไป เกิดลมจากของเสียอัดเต็มช่องท้อง ทำให้ความร้อนชื้นสะสมภายใน ท้องจึงค่อยๆ บวมขึ้น
“มะ... ไม่ได้ท้องหรือ” ทั้งสองคนต่างไม่อยากจะเชื่อ “น้องสาว ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อเ้านะ แต่เ้าช่วยตรวจให้ละเอียดอีกครั้งได้หรือไม่”
“ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ” ิเป่าจูเข้าใจอารมณ์ของพวกเขา จึงไม่โกรธ ซ้ำยังอธิบายให้ฟังอีกรอบอย่างอดทน
“เอาอย่างนี้ ข้ารู้จักเถ้าแก่หวังของร้านจี้ซั่นถังในเมือง สามารถแนะนำให้ได้ พวกท่านจะได้ไปตรวจโดยเสียค่าวินิจฉัยเพียงเล็กน้อย”
นอกจากจะไม่บันดาลโทสะ ยังแนะนำวิธีการตรวจสอบทางอื่นให้ด้วย
“ไม่ต้องแล้วล่ะ น้องสาว พวกเราเชื่อเ้า” แม้แต่เถ้าแก่หวังของจี้ซั่นถัง ิเป่าจูยังพาออกมาอ้างอิงได้ ดังนั้นจะเป็เท็จไปได้อย่างไร
สีหน้าของสองสามีภรรยาอาบย้อมไปด้วยความผิดหวังอย่างยากจะซ่อนเร้น แท้จริงแล้วภรรยาของหลิวเถี่ยหนิวเองก็มีความรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าที่ท้องใหญ่ดูไม่เหมือนการตั้งครรภ์
แต่เพราะแรงกดดันอย่างหนักจากแม่สามี ทั้งยังปฏิบัติต่อนางด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์
บัดนี้ได้รู้ความจริง นอกเหนือจากความเสียใจก็ยังมีความโล่งอก ไม่ต้องเผชิญหน้ากับแม่สามีอย่างอกสั่นขวัญแขวนทั้งวี่ทั้งวันอีกแล้ว
“แล้วท้องอืดจะต้องรักษาเช่นไร ภรรยาข้าเป็เช่นนี้มาสองสามเดือนแล้ว” หลิวเถี่ยหนิวกลับเป็ห่วงภรรยา แม้จะเสียใจหลังจากสิ่งที่ได้ยิน แต่กลับไม่โมโหหรือเกิดความไม่พอใจ ตรงข้ามยังเป็ห่วงเป็ใยว่าต้องรักษาอย่างไร นี่คือสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งในยุคสมัยที่ถือบุรุษเป็ใหญ่ หากไม่มีทายาทสืบสกุลก็จะโทษแต่สตรีเพียงฝ่ายเดียว
“ข้าจะเขียนเทียบยาให้ พวกท่านไปบ้านท่านหมอหลี่ให้จัดยาตามใบสั่ง ใช้เงินไม่กี่เหรียญทองแดงหรอก” ิเป่าจูกล่าว
ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าในบ้านไม่มีกระดาษและพู่กัน หลังจากคิดอยู่สักพัก ก็หยิบกล่องใส่ยาจากในตู้ออกมา เปิดห่อออก เทสมุนไพรลงในชาม จนเหลือเพียงกระดาษสีเหลืองที่ใช้ห่อสมุนไพร
หลังจากนั้นก็เข้าไปในครัวแล้วดึงถ่านแท่งเล็กๆ ที่เผาจนดำแล้วออกมาจากใต้เตาไฟ เอามาใช้แทนพู่กัน แล้วเขียนชื่อสมุนไพรพร้อมปริมาณลงไปบนกระดาษสีเหลือง
ฉลาดใช้ได้ หลี่ไหวฺอวี้คิดเช่นนี้
“ท่านอาจต้องเอาใจใส่กับอาหารการกินประจำวันมากขึ้น อย่ากินเยอะหรือกินจนอิ่มเกินไป ควรลดอาหารรสเผ็ด ของเย็นหรืออาหารที่ทำมาจากถั่วเหลือง” ิเป่าจูเขียนไปก็กำชับไปพลาง
สองสามีภรรยาต่างพยักหน้ากล่าวขอบคุณ แล้วเก็บกระดาษสีเหลืองไว้ ก่อนหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม จึงหันมามองิเป่าจูอีกครา
“แม่หนูเป่าจู เ้าพอจะมี... พอจะมีเทียบยาที่ช่วยเื่ตั้งครรภ์หรือไม่” หลิวเถี่ยหนิวเอ่ยปากอย่างยากเย็น รู้สึกกระดากที่จะเอ่ยปาก
ถึงอย่างไรผู้อื่นก็เป็เพียงเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น [1] แม้จะรู้วิชาแพทย์ แต่บุรุษอย่างตนเองต้องมาคุยเื่เหล่านี้กับนางก็เป็เื่ที่ชวนให้หน้าม้านอยู่บ้าง
สาเหตุหลักคือกลัวว่าิเป่าจูจะกระอักกระอ่วนใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังใส่ใจเื่การมีทายาทมากกว่า ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่สักพัก ก็ลองถามหยั่งเชิงดู
“อืม... อยากตั้งครรภ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียทีเดียว” ิเป่าจูครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ช้อนตาขึ้นมองพร้อมกับเอ่ยปาก
แววตาของสองสามีภรรยาสว่างสดใสในชั่วพริบตา “มีวิธีจริงหรือ”
“มีน่ะมีอยู่ แต่อาจทำได้ยากน่ะสิ” อย่างน้อยก็ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาสองคน
“ไม่เป็ไร น้องสาว เ้าบอกมาได้เลย ขอเพียงสามารถตั้งครรภ์ได้ พวกเรายินดีทำทั้งสิ้น” ภรรยาของหลิวเถี่ยหนิวเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง
“สมุนไพรของเทียบยานี้ราคาค่อนข้างแพง ชุดเดียวก็ห้าสิบเหรียญทองแดงแล้ว พิจารณาจากสุขภาพของท่าน อย่างน้อยก็ต้องดื่มหนึ่งปีถึงจะได้ผล คิดเป็เงินประมาณสิบตำลึง” ิเป่าจูประเมินราคาคร่าวๆ
ราคาที่คำนวณออกมาประดุจสายฟ้าที่ผ่าลงมาทำลายความหวังของหลิวเถี่ยหนิวสองสามีภรรยาอีกครั้ง
ครอบครัวมีกันสี่คน บิดามารดาชราเกินกว่าที่จะทำงานแล้ว ส่วนภรรยาก็ต้องดูแลบิดามารดาสามี หลิวเถี่ยหนิวจึงเป็เพียงคนเดียวที่หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
ต่อให้ทั้งสี่คนจะไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย เขาหาเงินทั้งปียังได้ไม่ถึงสิบตำลึงด้วยซ้ำ
“พื้นฐานสุขภาพของพวกท่านยังดีอยู่ อย่าไปคิดกังวลเื่มีบุตรมากเกินไป ยิ่งคิดจะยิ่งตั้งครรภ์ยากขึ้น ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า” ยิ่งกดดันมากก็ยิ่งยากจะตั้งครรภ์ได้
สีหน้าของทั้งสองต่างหม่นหมองไม่อาจสะกดกลั้นความผิดหวังเอาไว้ได้
ิเป่าจูคาดเดาไว้แต่แรกว่าผลลัพธ์จะต้องเป็เช่นนี้ ถึงได้กล่าวเตือนและชี้แนะ แต่สองสามีภรรยาไหนเลยจะฟังเข้าหู
นางไหนเลยจะรู้ว่าคนในสังคมยุคศักดินาให้ความสำคัญต่อบุตรเพียงใด ความไม่กตัญญูมีสามประการ ไร้ทายาทคือข้อที่หนักที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้
เื่นี้ิเป่าจูก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เงินสิบตำลึงนางดึงออกมาได้ แต่นางก็ไม่โง่เขลาพอที่จะนำออกมาแจกจ่ายทำกุศล ใช้เงินที่หามาด้วยความยากลำบากเพียงเพราะเวทนาสงสารผู้อื่น
อีกอย่างเงินทุกเหวินทุกตำลึงของนางล้วนมีทางที่ต้องเอาไปใช้
“น้องสาว รบกวนเ้าช่วยเขียนเทียบยาให้ได้หรือไม่ กลับไปแล้วพวกเราจะคิดหาหนทางกันอีกที”
หลังจากไตร่ตรองแล้ว หลิวเถี่ยหนิวก็ยัง้าให้ิเป่าจูเขียนเทียบยาให้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องมีบุตรให้ได้
อย่างมากเขาก็แค่เข้าเมืองไปหางานทำเพิ่ม กลางวันทำงาน กลางคืนขึ้นเขาไปล่าสัตว์ บางทีอาจจะหาเงินได้มากพอที่จะซื้อยาก็ได้
หลิวเถี่ยหนิวสามีภรรยารับเทียบยามา ก่อนที่จะจากไปก็ทิ้งเนื้อหมูเอาไว้บนโต๊ะ ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
หลังจากที่ทั้งคู่จากไปแล้ว ิเป่าจูก็หยิบเนื้อสองชิ้นนั้นเดินเข้าครัว เตรียมทำเป็อาหารเย็นของวันนี้
ชีวิตคนเราทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนเองไม่อาจสมความปรารถนากันทั้งนั้น นางทำได้เพียงดูแลคนใกล้ตัวของตนเอง ดังนั้นจึงมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็เพียงเื่เล็กน้อย ไม่เก็บมาใส่ใจ
แต่ใครจะ รู้หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็มีชาวบ้านมาขอให้รักษามากขึ้น
ที่แท้วันที่หลิวเถี่ยหนิวสองสามีภรรยามาหานาง มีคนมากมายรู้เห็น
ตอนแรกพวกเขายังกลัวถ้อยคำเหลวไหลของหวังซื่ออยู่ จึงไม่กล้ามาให้ิเป่าจูตรวจโรคให้
ต่างรอสามีภรรยาสกุลหลิวออกมาก่อนถึงสอบถาม แต่ไม่นึกว่าสะใภ้สกุลหลิวจะชื่นชมิเป่าจูเป็การใหญ่
แม้แต่คนซื่ออย่างหลิวเถี่ยหนิว ก็ยังอดที่จะกล่าวถ้อยคำดีๆ ออกมาสองสามประโยคไม่ได้
เมื่อทุกคนเห็นว่าิเป่าจูไม่ได้คิดแก้แค้นดังคำกล่าวของหวังซื่อ ต่างก็เริ่มสนใจที่จะมาขอตรวจโรคโดยไม่เสียเงินดูบ้าง แต่ละคนที่มาล้วนเป็คนยากจนไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาแพงๆ
ิเป่าจูคิดว่านี่คือโอกาสดีอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ชาวบ้าน แม้คนจะเยอะมากแต่นางก็มิได้ขับไล่พวกเขากลับไป ตรวจอาการให้ทีละคนด้วยความอดทน
ชาวบ้านก็มีจิตสำนึกที่ดี ส่วนใหญ่เห็นิเป่าจูไม่รับเงินค่าตรวจรักษาก็มักจะทิ้งสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้
หากมิใช่ข้าวโพดก็เป็พืชผลต่างๆ บ้านของตนเองมีอะไรก็เอามามอบให้ิเป่าจู หากไม่มีจริงๆ ก็จะทิ้งไข่ไก่ไว้ให้หนึ่งฟอง
ดังนั้น่นี้ิเป่าจูจึงไม่จำเป็ต้องเข้าเมืองไปซื้ออาหาร แค่ของในบ้านก็จะกินไม่หมดอยู่แล้ว
แต่ก็มีพวกขนสักเส้นก็ถอนไม่ได้ [2] บางคนที่มาให้ิเป่าจูตรวจแทบจะทุกส่วนของร่างกาย แต่พอตรวจเสร็จก็สะบัดก้นจากไป
ิเป่าอวี้ไม่พอใจอยู่เป็ครั้งคราว แม้แต่หลี่ไหวฺอวี้ก็ยังทนดูไม่ได้ในบางครั้ง
แต่ิเป่าจูกลับสงบนิ่ง ไม่ถือสาอะไร
เดิมทีก็เป็เื่ของผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อตกลงไว้ว่าไม่เก็บค่าใช้จ่ายก็คือไม่เก็บ ท้ายที่สุดนางก็ยังได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ
หลังจากนั้นไม่กี่วันิเป่าจูก็ได้รับคำชมอย่างเป็เอกฉันท์ เพราะเทียบยาของนางทั้งราคาถูกและเห็นผลเร็ว ชาวบ้านจึงเริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนาง
ระหว่างเดินไปตามทาง พบปะกับคนไข้ที่มาให้นางรักษา นอกจากจะไม่มีใครหลบเลี่ยงด้วยความหวาดกลัว ยังทักทายนางด้วยรอยยิ้มอีกด้วย
ท่านป้าจงมาเยี่ยมอยู่สองสามครั้ง ก็เบิกบานใจไปกับนางด้วย
คนที่มีความสุขไม่แพ้กันยังมีท่านหมอหลี่อีกคน เขารู้ตัวว่าวิชาแพทย์ของตนเองธรรมดาอย่างยิ่ง รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่ต้องเปลืองสมองหาข้ออ้างมาปฏิเสธการรักษาโรคที่ตนเองรักษาไม่ได้ ยังหาเงินจากการขายยาสมุนไพรได้อีกด้วย จึงลอบดีใจและโล่งใจอยู่บ้างจริงๆ
เมื่อมีคนสุขใจก็ย่อมมีคนทุกข์ร้อนกลัดกลุ้ม
ขณะที่ิเป่าจูกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หวังซื่อกลับไม่พึงพอใจ
เชิงอรรถ
[1] ชาวจีนสมัยโบราณถือว่าอายุ 15 ปี เป็่ที่เด็กหญิงก้าวเข้าสู่วัยสาว เป็วัยที่ปักปิ่นทำผมและสามารถออกเรือนได้แล้ว ถึงเรียกว่า "วัยปักปิ่น"
[2] มาจากสำนวนพักท้ายที่ว่า พ่อไก่เหล็ก-ขนสักเส้นก็ถอนไม่ได้ หมายถึงขี้เหนียวเหมือนพ่อไก่ที่ขนเป็เหล็กทั้งตัว ทำให้ถอนขนไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว
