เสี่ยวอวี่ได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา “เช่นนั้นจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
ซูิเยว่มองนางอย่างหน่ายใจ “เ้านี่ไม่ได้เื่เลย เ้าร้อนใจอะไร? ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน [1]”
เสี่ยวอวี่ยังคงจมอยู่ในความคิด ซูิเยว่ใช้ตะเกียบเคาะถ้วยอย่างหงุดหงิด “ทานเสร็จแล้วก็ออกไปกับข้า”
“หา เอ่อ ไปไหนเ้าคะ?”
แต่ก่อนซูิเยว่ชอบอยู่ในจวนไม่ชอบออกไปไหนเท่าไร ทว่าั้แ่เดือนก่อนหลังจากป่วยหนักนิสัยก็ร่าเริงสดใสมากกว่าแต่ก่อน หากไม่มีอะไรก็ชอบออกไปนอกจวน
“ถึงตอนนั้นเ้าก็จะรู้เอง ไปเรียกเสี่ยวหยวนมา แล้วก็อีกเดี๋ยวจัดรถม้ามาหนึ่งคัน ไม่ต้องให้องครักษ์ในจวนตามมา”
ซูิเยว่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดให้เสี่ยวอวี่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะไปทำอะไร
ความจริงแล้วอีกเดี๋ยวซูิเยว่มีเื่สำคัญที่ต้องไปทำ ชาติก่อนหลังจากนางคบกับองค์ชายห้าก็ได้รู้ว่าลูกน้องของเวิ่นจงเฉิงมีทหารที่เก่งกาจคนหนึ่ง ทหารคนนั้นเป็พ่อค้าที่ร่ำรวยและคอยถวายชีวิตให้กับองค์ชายห้ามาโดยตลอด
เขาเองก็เป็พ่อค้าที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ให้ความช่วยเหลือองค์ชายห้ามากมาย ซื่อสัตย์มาก แถมยังให้กำลังทรัพย์และทรัพย์สินจำนวนมาก
ทว่าต่อมาพ่อค้าคนนั้นก็ไม่อยากทำแล้ว เขาอยากจะออกจากองค์ชายห้าเต็มที แต่มีหรือที่คนอย่างองค์ชายห้าจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ?
เขาไม่อยากปล่อยผลประโยชน์เช่นนี้ไป อีกอย่างไม่มีทางปล่อยให้คนที่รู้ความลับมากมายไปแน่ ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปสังหารพ่อค้าคนนี้
หากนับตามลำดับเวลาแล้วคงจะเป็วันนี้พอดี วันที่องค์ชายห้าได้ส่งคนไปฆ่าพ่อค้าคนนี้เมื่อชาติก่อน ตอนนั้นซูิเยว่ก็อยู่ข้างกายพอดีจึงได้ยินสถานที่ซ่อนตัวของพ่อค้า
ดังนั้นนางจะต้องหาพ่อค้าคนนั้นให้เจอก่อนนักฆ่าพวกนั้นเพื่อช่วยเขาเอาไว้
ซูิเยว่ทานอาหารเช้าเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปเปลี่ยนเป็ชุดที่เคลื่อนไหวง่าย
“เอาล่ะ เื่จะช้าไม่ได้ พวกเรารีบออกเดินทางกันเถิด”
ทั้งสองคนออกจากเรือนก็เจอเข้ากับหนิงหยวนในเรือนเข้าพอดี “เสี่ยวหยวน ออกไปกับข้า”
หนิงหยวนเองก็ไม่ได้ถามมาก อย่างไรซูิเยว่ให้เขาทำอะไรเขาก็ทำ ทั้งสามคนออกจากจวน รถม้าที่ซูิเยว่สั่งเสี่ยวอวี่ให้ไปเตรียมเมื่อครู่ก็ได้มาจอดเทียบที่หน้าประตูแล้ว
ลุงฝูผู้ดูแลภายในจวนยืนอยู่ด้านข้าง “คุณหนู ท่านจะออกจากจวนหรือ? ให้ข้าส่งองครักษ์ติดตามรักษาความปลอดภัยให้ท่านหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง” ซูิเยว่ปฏิเสธ “ข้าแค่ออกไปที่ไกลๆ ไม่ต้องส่งคนตามมา”
ลุงฝูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอซูิเยว่หันมามอง สายตาของลุงฝูก็เบือนหลบไปขณะที่เขาสบตากับนาง
สายตาของซูิเยว่เย็นเยียบเล็กน้อย น้ำเสียงก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้คนอื่น “จะทำอะไรก็เป็อิสระของข้า ลุงฝูไม่ต้องมากังวลใจหรอก”
“เอ่อ ขอรับๆ ๆ” ลุงฝูรีบพยักหน้ารับคำ
หลังจากนั้นเสี่ยวอวี่กับซูิเยว่ก็ขึ้นรถม้าไป จนกระทั่งหนิงหยวนขับรถม้าออกมาได้ไกลมากแล้ว
ลุงฝูถึงได้ดึงสายตาที่ปรากฏความมึนงงเล็กน้อยกลับมา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่มีอะไรที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
“คุณหนู พวกเราจะไปไหนหรือเ้าคะ?” ซูิเยว่นั่งพิงพนักพิงหลังภายในรถ เสี่ยวอวี่นั่งอยู่ข้างนาง จนกระทั่งรถม้าออกจากเขตของจวนสกุลซูแล้ว หนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าถึงได้หันกลับมาแหวกม่านยื่นหน้าเข้ามาถาม
“ไปที่วัดเฉิงหวาง”
“ไปที่นั้นทำไมหรือขอรับ?”
หนิงหยวนไม่เข้าใจ “หากคุณหนูจะไปขอพร ไปที่เขาจิ่วหลีที่นอกเมืองก็ได้ขอรับ วัดเฉิงหวางนั้นมันรกร้างมาหลายปีมากแล้ว”
ถึงแม้เขาจะถามเช่นนี้ แต่ก็ขับรถม้าไปทางวัดเฉิงหวางที่อยู่นอกเมืองตามคำสั่ง
ซูิเยว่แหวกม่านตรงหน้าต่างดูด้านนอกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าจะไปหาคนคนหนึ่งที่วัดเฉิงหวาง”
ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็อยากถามพ่อค้าคนนั้นก่อนที่เวิ่นจงเฉิงจะหาเจอ เขารู้ความลับขององค์ชายห้าและกุมไม้ตายเอาไว้เยอะมาก จะให้เขาตกไปถึงมือของเวิ่นจงเฉิงก่อนไม่ได้
หนิงหยวนเองก็ไม่ได้ถามมาก ทำเพียงแค่หน้าที่ที่ซูิเยว่มอบหมายให้เขา
จากจวนสกุลซูไปถึงวัดเฉิงหวางที่อยู่นอกเมืองห่างกันไม่ไกลนัก หากใช้แส้เร่งความเร็วมากก็จะถึงในอีกสองชั่วยาม แล้วยิ่งกับการขับรถม้าที่ช้ากว่าการขี่ม้าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้วันนี้ซูิเยว่ต้องตื่นเช้าหน่อย
ระหว่างทางซูิเยว่เปิดผ้าม่านมองออกไปด้านนอกรถม้าไม่หยุด ตอนนี้รถม้าได้ขับออกมาจากเขตตัวเมืองครึกครื้นแล้ว ถนนสองข้างทางก็เงียบขึ้นมา รอบทางเป็เขตที่พักอาศัยของประชาชน
“หนิงหยวน ไวกว่านี้อีกได้หรือไม่?”
หนิงหยวนหันกลับไปมองซูิเยว่ที่อยู่ในรถม้า “เช่นนั้นคุณหนูนั่งดีๆ นะขอรับ”
พอพูดจบหนิงหยวนก็ยกแส้ในมือขึ้นฟาดไปที่หลังของม้า
เสียง “เพี๊ยะ” ดังขึ้น ม้าร้องฮี้ก่อนจะออกวิ่งไปด้านหน้า
ซูิเยว่พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง โชคดีที่เสี่ยวอวี่พยุงนางได้ทันเวลา “ไม่เป็ไรใช่ไหมเ้าคะ?”
“ไม่เป็ไร” ซูิเยว่ส่ายหน้า สีหน้าจริงจังขึ้นมาหน่อย
นางยกมือขึ้นลูบตำแหน่งรองเท้าข้อสูงของตัวเอง ตอนที่เพิ่งออกจากเรือน นางได้ซ่อนมีดสั้นเอาไว้ในนั้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
“หนิงหยวน”
“ขอรับ คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งหรือขอรับ?”
ซูิเยว่พูดเสียงเข้ม “เคล็ดวิชาลับการต่อสู้ที่ข้าสอนเ้า เ้าฝึกฝนเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
หนิงหยวนไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ซูิเยว่ก็ถามเช่นนี้ เขาชะงักไปก่อนจะตอบกลับ “ฝึกไปได้พอสมควรแล้วขอรับ แต่ว่าต่อสู้จริงข้ายังไม่แน่ใจ ข้าเองก็ไม่เคยประมือกับใครมาก่อน”
“เช่นนั้นถ้าหากเจอยอดฝีมือห้าหกคนเข้ามา เ้าจะมีความมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะหนีได้?”
เดิมซูิเยว่ไม่อยากจะถามคำถามนี้ แต่อีกเดี๋ยวหากเกิดเื่ขึ้นมาจะทำอย่างไร? กลุ่มคนที่องค์ชายห้าฝึกฝนมาก็ไม่ใช่คนที่ฝึกมาเสียเปล่าเสียด้วย
หนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตอบคำถามของซูิเยว่
“ถ้าให้สู้กับยอดฝีมือห้าหกคน ข้าคงเอาชนะไม่ได้หรอกขอรับ แต่ถ้าให้หนี ข้ามั่นใจว่ามีเจ็ดถึงแปดส่วนที่จะหนีออกมาได้ คุณหนู ในหนังสือวิชาลับที่คุณหนูให้ข้ามีหลายท่าที่เอาไว้หนีขอรับ”
พูดถึงตรงนี้ในใจของหนิงหยวนก็รู้สึกได้ว่าธุระที่ซูิเยว่ไปทำในครั้งนี้อาจจะอันตรายเล็กน้อย “แต่คุณหนูโปรดวางใจ หากมีเื่อะไร เสี่ยวหยวนจะสละชีพและไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณหนูาเ็ขอรับ”
“พูดอะไรโง่ๆ น่ะ?” ซูิเยว่ถอนหายใจ “ข้าก็แค่อยากจะถามเ้าเฉยๆ ่นี้ข้าไม่ได้จับตาดูเ้า แอบอู้อีกแล้วใช่หรือไม่”
เพื่อหลีกเลี่ยงเื่ไม่คาดฝัน ความจริงแล้วซูิเยว่ยังมีอีกแผน ใน่นี้ที่ไม่มีอะไรทำ ซูิเยว่ก็เอาวิชาแพทย์ที่เรียนมาเมื่อชาติก่อนออกมาทบทวนแล้วทำผงยาพิษเอาไว้ป้องกันตัว ตอนที่ออกมาเมื่อเช้านางก็ได้พกมาด้วย
“วางใจเถิด คุณหนู คุณหนูดีกับข้าขนาดนี้ ข้าจะไปกล้าแอบอู้ได้อย่างไร” เสี่ยวอวี่นั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันอยู่ข้างๆ มาตลอด
ฟังมาได้สักพักก็รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ จึงมองซูิเยว่ด้วยความกังวลเล็กน้อย “คุณหนูเ้าคะ”
“เอาล่ะ อย่ากังวลใจไป ไม่มีเื่อะไรจริงๆ”
เชิงอรรถ
[1] เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้