จู่ๆ เฒ่าฟางที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปเมืองซา ไปรับหลานชายคนเล็กกลับมาด้วย” หากให้กล่าวจากใจจริง เขากังวลมาตลอดว่า แม่สามีที่ี้เียิ่งกว่าหมูจะดูแลหลานชายคนเล็กได้ไม่ดี
หลี่หรูอี้ไม่ได้มองไปยังเฒ่าฟาง เอาแต่จ้องมองตู้เลี่ยง “นางทนรับความเหนื่อยไม่ได้อีกแล้วเ้าค่ะ เหนื่อยเพียงเล็กน้อยก็รับไม่ไหว นางเลี้ยงบุตรคนเล็กไม่ไหวแน่ หากท่านไม่ฟังคำแนะนำของข้า เกรงว่าอาการป่วยเดิมๆ ของนางจะกำเริบซ้ำ หากเป็เช่นนั้นท่านก็อย่ามาขอร้องข้าอีกเลย”
ฟางซื่อและคนอื่นๆ รับยาสิบแปดห่อและสูตรอาหารสำหรับหนึ่งเดือนเอาไว้ก่อนพากันกลับไป บนโต๊ะแปดเซียนมีค่ารักษาของตู้เลี่ยงวางอยู่ เป็ตั๋วเงินมูลค่าสิบตำลึง ใต้โต๊ะมีขาหมูหนึ่งขาและไข่ไก่หกสิบฟอง ซึ่งเป็ของฝากจากเฒ่าฟางวางอยู่
จ้าวซื่อเอ่ยขึ้นว่า “อีกหนึ่งปีอาการของฟางซื่อจะดีขึ้นหรือไม่”
“หากร่างกายไม่เหนื่อยล้า จิตใจไม่ว้าวุ่น กินอาหารตามสูตรที่ข้าเขียนให้อย่างสม่ำเสมอ อีกหนึ่งปีนางจะอาการดีขึ้นแน่นอนเ้าค่ะ” อาการไตอักเสบของฟางซื่ออยู่ในระยะเริ่มต้น หากเป็หนักกว่านี้จะมีอาการปัสสาวะเป็พิษ ถ้าเป็เช่นนั้นก็ได้แต่รอความตายอยู่ที่บ้านแล้ว
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากอาการของฟางซื่อดีขึ้น ลูกๆ ของนางก็มีที่พึ่งแล้ว หรูอี้นับว่าเ้าได้ทำความดีสะสมบุญแล้ว”
โบราณกล่าวว่า บุตรมีมารดาเลี้ยงดูนับว่าเป็สมบัติล้ำค่า บุตรไม่มีมารดาเลี้ยงดูก็เปรียบเสมือนรากหญ้า ไม่ว่าจะปู่ย่า ตายาย หรือบิดา ก็ไม่อาจแทนที่มารดาได้ เช่นนี้บุตรทั้งสามของฟางซื่อก็ไม่ต้องสูญเสียมารดาั้แ่ยังเล็กแล้ว
หลี่ซานเอ่ยว่า “หรูอี้ รอให้แม่เ้าคลอดก่อน เ้าก็ซื้อบ่าวหญิงวัยแรกรุ่นให้แม่เ้าเรียกใช้สักคนเถิด”
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวซื่อก็ปรายตามองไปทางหลี่ซานผู้มีใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ยยิ้มๆ ว่า “วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไร”
หลี่ซานมีท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ฟางซื่อมีลูกสามคนก็เหนื่อยจนแทบไม่รอดแล้ว เ้าคลอดลูกให้ข้าห้าคน อีกไม่นานก็จะมีอีกสองคน ข้ากลัวว่าร่างกายของเ้าจะเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว”
“บ่าวหญิงวัยแรกรุ่นหรือ” หลี่หรูอี้กล่าวคำว่า แรกรุ่น ดังเป็พิเศษ ใช้สายตาคาดคั้นมองไปทางหลี่ซาน “ท่านพ่อ จะซื้อบ่าวเหตุใดต้องซื้อบ่าวแรกรุ่นเ้าคะ?”
หลี่ซานรีบตอบ “เ้าอย่าเข้าใจข้าผิด บ่าวแรกรุ่นมีร่างกายแข็งแรงย่อมช่วยแม่เ้าทำงานได้มาก”
จ้าวซื่อตำหนิขึ้นบ้าง “หรูอี้ พ่อเ้าเป็คนซื่อสัตย์ ข้าเชื่อใจเขาได้ เ้าอย่าหยอกล้อพ่อเ้าเลย”
หลี่หรูอี้กลอกตาหลายครั้ง จากนั้นจึงต้องมองไปทางหลี่ซาน “โบราณกล่าวว่า ยามบุรุษร่ำรวยจะเปลี่ยนไป ส่วนสตรีจะร่ำรวยเมื่อเปลี่ยนตนเอง ตอนนี้ท่านพ่อมีเงินส่วนตัวไม่น้อยเลยทีเดียว”
จ้าวซื่อเอ่ยถาม “พี่ซาน ท่านเก็บสะสมเงินทองเพื่อจะนำไปซื้อที่ไม่ใช่หรือ เหตุใดข้าไม่เห็นท่านซื้อที่เลยเ้าคะ?”
“ตอนนี้ที่ดินขึ้นราคา ข้าจะรอให้อากาศเย็นลงสักหน่อย ให้ที่ดินราคาลดลงก่อนค่อยซื้อ” หลี่ซานกลัวหลี่หรูอี้จะเอาเงินที่เขาเก็บไว้ซื้อที่ไปซื้อคน จึงรู้สึกกระวนกระวายจนเหงื่อท่วมตัว
ตอนบ่ายหลี่หรูอี้นำขาหมูไปเก็บ ใช้กระดูกหมูมาตุ๋นกับหัวไชเท้า ส่วนหนังหมูก็นำไปเก็บไว้ให้แข็ง นำส่วนเนื้อเอามาทำเป็หมูน้ำแดง ให้หลี่ซานนึ่งหมั่นโถวแป้งขาวหลายหม้อ
แม้ครอบครัวจะทำเต้าหู้ขายก็ไม่สามารถกินอาหารจากถั่วเหลืองได้ทุกมื้อทุกวัน นอกจากนั้นหากกินอาหารจากถั่วเหลืองมากเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่เดินทางกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว พวกเขาพบจินโต้วโต้วที่ยืนรออยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน
ในมือของจินโต้วโต้วมีปลาหนักสองสามชั่งอยู่ตัวหนึ่ง มืออีกข้างถือตะกร้าที่มีไข่ไก่อยู่สามสิบฟอง เขายื่นของให้พี่น้องตระกูลหลี่ บอกให้พวกเขานำกลับไปกินที่บ้าน
แม้ครอบครัวหลี่จะกินปลาและไข่เป็ประจำ แต่สำหรับครอบครัวจินแล้วปลากับไข่นับเป็อาหารราคาแพง
หลี่เจี้ยนอันเอ่ยขึ้นว่า “เ้าเอาของพวกนี้มาให้พวกเราทำไม”
จินโต้วโต้วมีท่าทีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป
หลี่ฝูคังส่ายหน้า “โต้วโต้ว พวกเราไม่รับของโดยไม่มีเหตุผล หากเ้าไม่พูด พวกข้าก็จะไม่รับไว้”
จินโต้วโต้วเอ่ยเสียงแ่และใบหน้าแดงขึ้น “พ่อแม่ข้าใช้ให้ข้ามาถามว่า พวกเ้าจะขายเต้าหู้ให้ครอบครัวเราได้หรือไม่”
เด็กชายทั้งสี่แห่งตระกูลหลี่มองหน้าสบตากัน ปกติหลี่หรูอี้เป็คนดูแลเื่การค้าของครอบครัวมาตลอด ตอนนี้ กระทั่งหลี่ซานก็ยังต้องฟังคำของนาง
หลี่เจี้ยนอันกล่าวขึ้นว่า “ข้าว่าเอาเช่นนี้เป็อย่างไร เ้านำของเหล่านี้กลับบ้านไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปถามคนในครอบครัวแล้วเย็นนี้ค่อยตอบเ้า”
“พี่ชาย ข้าจะรอคำตอบอยู่ที่บ้าน” จินโต้วโต้วไม่ยอมรับของคืน เขารีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
สี่พี่น้องได้แต่ถือปลาและไข่ไก่กลับมาที่บ้าน เมื่อเดินเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อรวมไปถึงกลิ่นหอมหวานของหัวไชเท้าจางๆ คืนนี้น้องสาวทำของอร่อยอีกแล้วกระมัง
หลี่หรูอี้คิดว่าพวกพี่ชายเป็คนซื้อปลาและไข่ไก่กลับมา จึงพูดยิ้มๆ ว่า “พวกท่านใจกว้างกว่าท่านพ่อเสียอีก ถึงกับใช้เงินส่วนตัวซื้อปลาซื้อไข่กลับมาเชียว”
หลี่อิงฮว๋ารู้ว่าน้องสาวเพียงหยอกล้อเท่านั้น เขาอธิบายว่า “ปลากับไข่พวกนี้พวกเราไม่ได้ซื้อ เป็ครอบครัวของ จินโต้วโต้วมอบให้เป็ของขวัญ พวกเขาอยากให้เ้าช่วยเหลือ”
“อ้อ... เื่ที่พวกเขาจะขอร้องก็คือ เื่ขอซื้อเต้าหู้จากบ้านเราใช่หรือไม่” หลี่หรูอี้เห็นพวกพี่ชายมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด “ตอนบ่ายอวี๋เอ้อร์ฉ่าวเอาน้ำผึ้งมาให้พวกเราขวดหนึ่ง กล่าวแฝงความนัยว่า อยากซื้อเต้าหู้ของพวกเรา ข้าตอบตกลงไปแล้ว เดาว่าจินโต้วโต้วรู้ว่า อวี๋เอ้อร์ฉ่าวทำสำเร็จ จึงอยากนำของขวัญมาให้พวกท่านระหว่างทาง เพื่อให้ข้าตอบรับเื่ขายเต้าหู้ให้ครอบครัวเขากระมัง”
พวกซื่อโก่วจื่อ ต้าจู้จื่อ อวี๋เอ้อร์ฉ่าว และจินโต้วโต้วเคยทำงานให้บ้านหลี่มาก่อน จึงนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องบ้านหลี่
พวกซื่อโก่วจื่อขายเต้าหู้จนมีเงินไปซื้อล่อแล้ว ส่วนพวกต้าจู้จื่อเป็คนตระกูลหวัง ขายเต้าหู้ได้เงินสี่สิบห้าสิบทองแดงทุกวัน อวี๋เอ้อร์ฉ่าวและจินโต้วโต้วย่อมเกิดความอิจฉา ผู้ใหญ่ที่บ้านพวกเขามีความสัมพันธ์ธรรมดากับผู้ใหญ่บ้านหลี่ จึงทำได้เพียงใช้ให้อวี๋เอ้อร์ฉ่าวและจินโต้วโต้วมาขอร้องพี่น้องบ้างหลี่แทน
หลี่เจี้ยนอันถามว่า “น้องห้า เ้าจะตกลงเื่ขายเต้าหู้ให้ครอบครัวจินหรือ”
“เ้าค่ะ เขาเป็สหายกับพวกท่านมาั้แ่เด็ก อีกทั้งนิสัยใจคอก็ไม่เลว ทางครอบครัวพวกเขาและพวกเราก็รู้จักกันดี พวกเราขายเต้าหู้ให้พวกเขาได้” หลี่หรูอี้ปรายตามองไป เห็นหลี่ซานยิ้มกว้าง จึงทราบว่าบิดาของตนคาดหวังให้เต้าหู้ของครอบครัวขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเราขายเต้าหู้ให้ครอบครัวจินได้วันละเท่าใด” หลี่อิงฮว๋าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้ากลัวว่าหากมากเกินไป ครอบครัวจินจะมีเงินทุนไม่พอ”
สภาพของครอบครัวจินไม่ต่างจากบ้านสวี่ในกาลก่อน เมื่อประเมินดูแล้ว แม้จะรวมเงินของครอบครัวมาทั้งหมด ก็ยังมีไม่ถึงสามสิบทองแดง
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นว่า “ครอบครัวละห้าสิบชั่ง ชั่งละสามทองแดงครึ่ง หากบ้านจินมีเงินทุนไม่พอ ก็สามารถใช้ธัญญาหาร ถั่วเหลือง ผัก หรือผลไม้มาแลกเปลี่ยนได้ ข้าก็บอกเช่นนี้กับอวี๋เอ้อร์ฉ่าว”
จ้าวซื่อเห็นสามีและอารองของเด็กๆ นั่งเตรียมกินข้าวอยู่แล้ว ส่วนตนก็หิวจนท้องร้อง จึงรีบเรียกลูกๆ ให้มานั่งประจำที่ “อาหารจะเย็นหมดแล้ว กินไปคุยไปเถิด”
เด็กชายบ้านหลี่กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินทางไปยังบ้านจินอีกครั้ง คนบ้านจินย่อมรู้สึกขอบคุณพี่น้องบ้านหลี่ยิ่งนัก
คนของหมู่บ้านหลี่เดินทางไปขายเต้าหู้ตระกูลหลี่ในแต่ละพื้นที่รอบๆ บริเวณเป็ระยะทางร้อยลี้เป็ประจำทุกวัน ลูกค้าบอกต่อกันไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็สิบ จากสิบเป็ร้อย จากร้อยเป็พัน แม้แต่เด็กก็ยังรู้จักเต้าหู้ตระกูลหลี่
บ่ายวันนี้มีหิมะตก นี่เป็หิมะแรกของปี ฤดูหนาวมาถึงแล้ว
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทั้งฟ้าและดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน หากทอดสายตามองไปจะพบเพียงสีขาวบริสุทธิ์
บนถนนของเมืองเยี่ยน ณ อำเภอฉางผิง มีชายฉกรรจ์ร่างผอมหน้าดำคนหนึ่ง เขาสวมหมวกสาน สะพายสัมภาระใบใหญ่ไว้บนหลัง กำลังเดินทอดน่องอยู่กลางพื้นหิมะ
รถม้าหรูหราหลายคันเคลื่อนผ่านเขาไป ทำให้ดินกระเด็นโดนเขาเล็กน้อย เขาโกรธจนด่าบรรพบุรุษของคนบนรถม้าไปหลายระลอก โชคดีที่ใกล้ถึงบ้านแล้ว ความรู้สึกอยากรีบกลับบ้านจึงเข้ามาแทนที่ความหงุดหงิดได้อย่างรวดเร็ว
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้