เล่มที่ 10 บทที่ 285 ออกมาอีกแล้ว
เช่นนั้นแล้ว…สู้เชื่อว่าคนตรงหน้าคือศิษย์พี่เ้าสำนักตัวจริงไม่ดีกว่าหรือ?…
“เอาเถอะ หากไม่เชื่อก็ไม่เป็ไร อีกสักครู่ผู้าุโอู๋ก็คงจะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นเ้าลองถามดูเองก็แล้วกัน ว่าหลายวันมานี้ข้าเคยไปที่หุบเขาทางเหนือหรือเปล่า…”
“คือว่า…”
“คือว่งคือว่าอะไรอีก?” นักพรตหยางิถลึงตาใส่จิงต้าไห่ทันที ทันใดนั้นจิงต้าไห่ก็ใจนต้องถอยหนีจนเกือบประชิดขั้นบันได เมื่อเห็นดังนั้นนักพรตหยางิก็ตวาดออกมาทันที
“ถ้าไม่มีอะไรทำก็อย่าไปป้วนเปี้ยนแถวบันไดนั่นอีก เพราะผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเกือบทุกคนในทะเลอูไห่ล้วนต้องพลาดท่าให้กับขั้นบันไดนี้มาก่อนทั้งนั้น แถมได้ยินว่ามีคนเคยเห็นสวี่เซียนเหนียงบนนั้นอีกด้วย…”
“…” จิงต้าไห่ได้ยินดังนั้นก็หดคอด้วยความหวาดกลัวทันที เพราะสวี่เซียนเหนียงของสำนักเฟยอวิ๋นได้ชื่อว่าโเี้อำมหิตเป็อย่างมาก เขาคนนี้เคยสังหารคนมานับไม่ถ้วน ต่อให้เป็หญิง แต่ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทะเลอูไห่ โดยไม่ด้อยไปกว่าเหล่าผู้าุโของสามสำนักใหญ่เลยทีเดียว คิดได้ดังนั้นจิงต้าไห่ก็ชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังเกิดเื่ขึ้นแล้ว จึงรีบเอ่ยถามออกไปทันที
“จริงสิ แล้วสวี่เซียนเหนียงอยู่ขั้นที่เท่าไรงั้นหรือ?”
“ยอมเชื่อแล้วงั้นหรือ?” นักพรตหยางิแค่นหัวเราะออกมาทันที ก่อนจะชี้ไปยังขั้นบันไดทั้งสิบแปดขั้น
“หากเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ยืนอยู่บนบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นนี้ก็คือสุดยอดผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันทั้งสิบแปดของทะเลอูไห่ ด้วยตบะพลังของข้าแล้ว อย่างมากก็เป็เพียงหนึ่งในยี่สิบลำดับแรกของยอดฝีมือในทะเลอูไห่เท่านั้น จึงมีโอกาสได้อยู่ในขั้นแรก แต่ระดับสวี่เซียนเหนียงแล้ว เกรงว่าน่าจะอยู่ขั้นที่หกไม่ก็เจ็ด…”
จิงต้าไห่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี…
“แล้วขั้นที่สองจะเป็ใครล่ะ?”
“คาดว่าคนที่อยู่ขั้นสองน่าจะเป็ผู้าุโอู๋แห่งสำนักซินเหอ…” เมื่อนักพรตหยางิพูดจบ ก็หันไปมองจิงต้าไห่ด้วยสายตาประหลาดใจ
“เ้าถามทำไมหรือ?”
“ก็เพราะมีคนก้าวขึ้นไปที่ขั้นสองแล้วน่ะสิ…”
“ใครกัน?”
“หลินเฟย…”
นักพรตหยางิถึงกับชะงักทันที ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“หลินเฟยจากร้านหลอมอาวุธฟานซื่อน่ะหรือ?”
“ใช่แล้ว…”
“แย่แล้วล่ะ!” นักพรตหยางิได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าถอดสีลงทันที
“ผู้าุโอู๋บอกว่าเหล่าผู้าุโของสามสำนักใหญ่ได้หาวิธีออกไปจากที่นี่ได้แล้ว แต่การจะออกไปได้ต้องพึ่งปรมาจารย์หลอมอาวุธเข้าช่วย และคนที่เหล่าผู้าุโหมายตาเอาไว้ก็คือหลินเฟย…”
“ถ้าเช่นนั้น…”
“ถ้าอะไรอีกเล่า ยังไม่รีบหาวิธีช่วยออกมาอีก คนที่อยู่ขั้นที่สองต่อให้ไม่ใช่ผู้าุโอู๋ก็จะต้องเป็ผู้าุโเว่ย เช่นนั้นหลินเฟยจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ๆ…”
เดิมทีหลินเฟยก็เคยปล้นชิงจุดชีพจรหินิญญาของสำนักหนานิมาก่อน ต่อให้นักพรตหยางิไม่ซ้ำเติม ยังไงก็ไม่มีทางเป็ห่วงความปลอดภัยของอีกฝ่ายหรอก…
แต่ประเด็นก็คือ…
‘การจะออกไปจากซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่นี้ จะต้องพึ่งปรมาจารย์หลอมอาวุธ และหลินเฟยก็คือคนคนนั้น หากหลินเฟยเป็อะไรขึ้นมา ทุกคนจะไม่ติดอยู่ที่นี่ไปจนตายหรือ?’
‘เื่ดันเกี่ยวพันถึงความเป็ความตายขนาดนี้ จุดชีพจรเล็กๆจะยังมีค่าอะไรอีก?’
‘ส่วนเ้าหลินเฟยนี่ก็เหลือเกิน พออยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังนี้แล้ว ทั้งที่เป็ช่างหลอมอาวุธเพียงคนเดียว แต่กลับทะลึ่งขึ้นไปที่บันไดหินนั่น?’
‘สถานที่แบบนี้ ใช่ที่ที่คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้งั้นหรือ?’
‘เจอผู้าุโอู๋เข้าแล้วไงต่อ ตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร…’
เมื่อคิดได้ดังนั้นนักพรตหยางิก็ถอนหายใจออกมา หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็ยื่นมือออกไป จากดอกไม้ดอกหนึ่งที่เกิดจากเปลวไฟก็ปรากฏขึ้น จากนั้นนักพรตหยางิก็หันไปเอ่ยกับจิงต้าไห่ที่อยู่ไม่ไกลกัน
“ตอนนี้คงต้องใช้เปลวไฟส่งข่าวให้ผู้าุโอู๋เร่งรุดมาช่วยเสียแล้ว หวังว่าจะทันนะ…”
“ช้าก่อน…” ทว่าจิงต้าไห่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสายตาของเขาในตอนนี้กำลังจ้องเขม็งไปยังขั้นบันไดตรงหน้า…
“มัวรีรออะไรอีกเล่า หากไม่ช่วยละก็…” ทว่านักพรตหยางิยังไม่ทันจะพูดจบ แววตาของเขาก็แข็งค้างไปทันที…
เพราะนักพรตหยางิเหลือบไปเห็นว่ามีร่างของผู้บำเพ็ญหนุ่มคนหนึ่งกำลังปรากฏขึ้นที่บันไดขั้นที่สอง…
ผู้บำเพ็ญหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดอาภรณ์เขียว มีปราณกระบี่รายล้อมรอบตัว ดูจากลักษณะแล้วคงมีอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ขณะที่ปรากฏตัวออกมา ใบหน้านั้นก็ยังมิวายเปื้อนรอยยิ้มประดับไว้…
หากคนคนนั้นไม่ใช่หลินเฟย แล้วจะเป็ใครไปได้ล่ะ?
“เขาๆ… เขาเอาชนะผู้าุโอู่ได้งั้นหรือ?” ภายใต้ความรู้สึกตื่นตระหนกพร้อมกับดีใจนั้น นักพรตหยางิเองก็ถึงกับพูดออกมาไม่เป็ภาษาเลยทีเดียว ก่อนจะที่เขาจะตบเข้าไปที่บ่าจิงต้าไห่ไม่หยุด
“เห็นหรือไม่ๆ เขาเอาชนะผู้าุโอู๋ ไม่เลวเลยๆ สมกับเป็อัจฉริยะที่ผู้าุโชื่อิยังเอ่ยชม ทั้งที่มีขั้นบำเพ็ญเพียงมิ่งหุนเคราะห์สามเท่านั้น แต่กลับเอาชนะผู้าุโอู๋ได้ ฮ่าๆ หากเจอผู้าุโอู๋เมื่อไร ข้าจะต้องเยาะเย้ยเสียหน่อยแล้ว…”
“ใช่ๆ ข้าเห็นแล้วล่ะ หากยังไม่หยุดตบละก็ ข้าคงต้องช้ำในตายเป็แน่…” จิงต้าไห่บ่นกระปอดกระแปดในใจ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะลืมไปแล้วว่าตนเองมีพลังเพียงบันไดขั้นแรกเท่านั้น…
“เร็วเข้า รีบเรียกเขาเอาไว้!” นักพรตหยางิหัวเราะร่าดังด้วยความดีใจ จากนั้นก็ตบบ่าจิงต้าไห่ไปอีกสองที ขณะที่กำลังจะเอ่ยต่อ จู่ๆ กลับต้องร้องเสียงหลงออกมาแทน
“บ้าเอ๊ย นั่นเขาจะทำอะไรน่ะ?!”
เพราะนักพรตหยางิเห็นว่าผู้บำเพ็ญหนุ่ม กำลังก้าวขาขึ้นไปต่อยังขั้นที่สามโดยไม่ลังเล…
หากเวลานี้จะบรรยายถึงความรู้สึกของนักพรตหยางิละก็ คงกล่าวได้ว่าแปรปรวนไปมาไม่หยุดเลยทีเดียว…
‘บ้าไปแล้ว ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังดีใจอยู่หยกๆ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตระหนกแทน…’
ต่อให้คิดจนหัวแตกยังไง นักพรตหยางิก็ไม่เข้าใจว่าหลินเฟยกำลังคิดอะไรอยู่ เป็เพียงผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สาม แต่กลับเอาชนะผู้าุโอู๋จากสำนักซินเหอได้ จะว่าไปแค่เื่นี้ก็พอที่จะคุยโม้ไปชั่วชีวิตแล้ว แต่บัดนี้กลับยังไม่รู้จักพอ คิดจะก้าวขึ้นไปต่ออีก?
“ศิษย์พี่…” จิงต้าไห่เองก็ตกตะลึงจนตาค้างเช่นกัน เป็นานกว่าเ้าตัวจะกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นลงไปได้ และเอ่ยถามออกมา
“ศิษย์พี่คิดว่าคนที่อยู่ขั้นที่สามจะเป็ใครงั้นหรือ?”
“จะเป็ใครไปได้อีกล่ะ เ้าลองคิดดู ขนาดขั้นสองยังเจอผู้าุโอู๋จากสำนักซินเหอ เช่นนั้นขั้นที่สามจะต้องเป็เหล่ยหวังไม่ก็เยาเตาเป็แน่ แต่ไม่ว่าจะเป็ใคร หลินเฟยก็คงต้องตายแหงๆ…” นักพรตหยางิรู้สึกได้ถึงโทสะที่อัดแน่นเต็มอก ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกอยากด่ากราดขึ้นมา
“แล้วถ้าเกิด…”
“ไม่มีถ้า…” ทว่านักพรตหยางิไม่มีโอกาสเอ่ยประโยคที่มั่นใจเต็มร้อยออกมา
เพราะบัดนี้ได้เกิดภาพแสนพิลึกต่อหน้าพวกเขาเข้าเสียแล้ว
นั่นก็คือหลินเฟย…
“เขาๆๆ…เขาปรากฏตัวออกมาอีกคนแล้ว!”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------