แสงสีส้มอ่อนของรุ่งอรุณ สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาภายในห้องโดยสาร ยังคงอบอวลไปด้วยไอความง่วง ผมขยับตัวเล็กน้อย เสียงผู้คนเริ่มพูดคุยกันแ่เบา บ่งบอกว่าใกล้ถึงปลายทางแล้ว
ผมหันมองหมอนาวินที่ยังคงหลับตาพิงเบาะอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเ็ายามตื่น ตอนนี้อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมมองเขาจนรถทัวร์เริ่มเคลื่อนช้าลง จนจอดสนิทนิ่ง ก่อนเสียงคนขับประกาศสั้น ๆ ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว พร้อมประตูรถเปิดกว้างออก ผู้คนทยอยขึ้นหยิบสัมภาระ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นตัวอาคารต่าง ๆ ในเมืองไม่ได้สูงใหญ่มากนัก หมอนาวินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เพื่อปรับให้ชินกับแสง เขาหันมามองผมเล็กน้อยยังคงมีความง่วงเคลือบอยู่
“ไหวไหม?” เขาพยักหน้าเบา ๆ แทนการตอบ ผมรีบเอื้อมไปหยิบกระเป๋า ก่อนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหมอเอื้อมมาจับแขนผมไว้
“เดี๋ยวผมหยิบให้” หลังจากนั้นผมเดินตามเขาเดินลงจากรถทัวร์ แล้วหันมองไปรอบ ๆ แน่นอนว่าเป็การออกต่างจังหวัดครั้งแรกในชีวิต ผมไม่คุ้นชินบรรยากาศเหล่านี้เท่าใด แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเมื่อเห็นเขายืนอยู่เคียงข้าง
‘ผมจะทำให้เขารักผมให้ได้ เมื่อใดที่รักหมดใจ เมื่อนั้นก็ถึงเวลาต้องชดใช้’
“มองหน้าผมแบบนั้น คิดอะไรอยู่” เสียงเขาเอ่ยขึ้นทำให้ผมได้สติกลับมา
“เปล่า” ผมตอบพลางกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวจะมีรถกระบะของชาวบ้านมารับ เราต้องไปอีกไกลกว่าถึงหมู่บ้านที่ตั้งหน่วยแพทย์” เขาบอกพลางกวาดตามองหาใครบางคน ผมมองตามสายตาเขาไปเห็นรถกระบะเก่า ๆ คันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล มีชายชาวเขาตัวเล็ก ๆ กำลังโบกมือให้
เราสองคนช่วยกันขนสัมภาระขึ้นท้ายกระบะ ผมเหลือบมองหมอนาวินที่กำลังคุยกับคนขับรถกระบะอย่างเป็กันเอง ก่อนพวกเราจะะโขึ้นท้ายปะทะเก่า ๆ คันนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ
ถนนขรุขระเป็หลุมเป็บ่อ ทำให้รถสั่นะเืตลอดเวลา หมอนาวินนั่งอยู่ข้างผมในกระบะหลัง สายลมเย็น ๆ ปะทะใบหน้า พาเอากลิ่นดินและกลิ่นพืชป่าเข้ามาในจมูก
ผมหันมองเส้นทางที่คดเคี้ยว ลึกเข้าไปในหุบเขาเขียวขจี ต้นไม้สูงใหญ่ ขึ้นปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นแสงแดด อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ยิ่งลึกเข้าไปสัญญาณโทรศัพท์ก็ยิ่งหายไปเป็ขีดๆ จนดับสนิทในที่สุด
“เห็นไหมว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณ” หมอนาวินพูดขึ้นเรียบ ๆ โดยไม่หันมามอง ผมพยักหน้ารับรู้
“มีแค่หมอ...ผมก็พอใจแล้ว” สีหน้าเขาสะดุดนิ่งเล็กน้อย หากแต่เก็บอาการบางอย่างไว้ แล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหนูอย่างคุณ จะอดทนกับความยากลำบากได้นานแค่ไหน”
“ก็คอยดู” ผมพูดเชิงท้าทาย พลางหันมองไปรอบ ๆ กลิ่นอายของดินและธรรมชาติทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
รถกระบะจอดลงที่หน้าบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ยกสูงจากพื้น หันมองไปรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้เหมือนอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นดิน เ้าเด็ก ๆ ตัวเล็กวิ่งเข้ามายืนมอง เสื้อผ้าและรองเท้าขาดวิ่น ทุกอย่างตรงหน้าทำให้ผมตกตะลึงเหมือนกำลังหลุดเข้ามาในยุคโบราณ
“คีย์!” เสียงของหมอนาวินทำให้ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วหันมองเขา
“ช่วยขนของหน่อย” ในรถกระบะไม่ได้มีแค่สัมภาระของเราแต่ยังมีอุปกรณ์การแพทย์อีกส่วนหนึ่งด้วย
“เดี๋ยวคุณหมอพักที่นี่ได้เลยนะ ผมจะขนอุปกรณ์การแพทย์ไปให้เ้าหน้าที่ที่โรงเรียน” หมอพยักหน้า แล้วพาผมขึ้นไปยังบ้านไม้ยกสูง ที่พอกันแดดกันลมได้ พอหันมองทุกอย่างแล้วพบว่า สถานที่นี้โอบล้อมด้วยูเาและธรรมชาติอันสงบเงียบ
“พร้อมหรือยัง?” หลังจากวางสัมภาระไว้อย่างดีแล้วเขาจึงหันมายังผมแล้วเอ่ยขึ้น
“ต้องทำยังไง” ผมตอบกลับ เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำยังไงต่อ
หลังจากนั้นหมอนาวินก็พาผมไปยังศูนย์กลางของหมู่บ้าน ที่เป็โรงเรียนขนาดจิ๋ว ไม่ใหญ่มาก เ้าหน้าที่คนอื่น ๆ มาถึงก่อนหน้านานแล้ว พวกเขาช่วยกันจัดสถานที่ ระหว่างนั้นมีเด็กเล็ก ๆ ะโเรียกด้วยความดีใจ
“คุณหมอมาแล้ว” หมอนาวินยิ้มบาง และเรียกเด็ก ๆ เข้ามาลูบหัวทีละคน ภาพของเขาในตอนนี้ดูอบอุ่นเป็กันเองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยืนมองห่าง ๆ เห็นประกายความสุขในดวงตาของเขา เมื่อได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่้าความช่วยเหลือ
“คีย์มาช่วยผมหน่อย” เสียงหมอนาวินดึงสติกลับมา ผมเดินเข้าไปช่วยขนของและอุปกรณ์ทางการแพทย์ลงจากรถ มีเด็ก ๆ หลายคนเข้ามาช่วยพร้อมรอยยิ้มสดใส
ขณะที่ช่วยยกกล่องยาอยู่นั้น พลันเห็นเด็กชายคนหนึ่งพยายามช่วยยกอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของเขามุ่งมั่น แต่ดูเหมือนกำลังอ่อนแรงเกินไป ผมเอื้อมมือไปช่วยพยุงกล่องให้
“ไหวไหม” เด็กชายพยักแล้วส่งยิ้ม ผมรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของรอยยิ้มนั้น
เราใช้เวลาที่เหลือของวันนั้น ในการจัดเก็บอุปกรณ์ จัดเตรียมพื้นที่สำหรับตรวจรักษา และทำความคุ้นเคยกับชาวบ้าน หมอนาวินดูคล่องแคล่วและเป็กันเองกับทุกคน คอยอธิบายและให้คำแนะนำต่าง ๆ กับชาวบ้านอย่างใจเย็น ผมได้แต่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ และคอยช่วยอยู่ห่าง ๆ ไม่เข้าไปวุ่นวาย
ตกกลางคืน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับที่สว่างกว่าในเมืองหลายเท่า ไม่มีแสงไฟจากตึกสูงมาบดบัง มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงและไฟฉายที่ส่องสว่างเป็จุด ๆ หมอนาวินจุดตะเกียงเ้าพายุให้แสงสว่างภายในบ้านพักชั่วคราวของเราสองคน
“เปลี่ยนใจอยากกลับกรุงเทพฯ หรือยัง” หมอนาวินตอนนี้อยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่ยังคงสวมแว่นตาอยู่เสมอ ผิวพรรณของเขาขาวละเอียดรับกับใบหน้าจนผมเผลอมองอยู่นาน
“ถ้าเปลี่ยนใจ พรุ่งนี้ผมจะให้คนไปส่งคุณที่ท่ารถ”
“ใครบอกว่าผมเปลี่ยนใจ ผมบอกแล้วไง ว่าที่ไหนมีหมอ ผมก็อุ่นใจ” เขามองผมนิ่ง แล้วเผยยิ้มเล็กน้อย พลางเงยหน้ามองบนท้องฟ้าที่มีดาวพราวระยิบ พร้อมสายลมอ่อนพัดมาปะทะกายเบา ๆ
“คิดยังไงถึงอยากตามมา อยู่บ้านสบาย ๆ ไม่ชอบเหรอ?”
“ถ้าผมไม่ตามมา ผมจะรู้ไหม ว่าหมอเป็คนแบบไหน ทุ่มเทเพื่องาน และคนอื่นยังไง” เขาหลุดยิ้มเล็กน้อย
“กำลังชมผมอยู่งั้นเหรอ” ผมพยักหน้าเบา ๆ
“หมอเก่งมากเลยนะ สำหรับชาวบ้านที่นี่แล้ว หมอและทีมแพทย์ทุกคนคือความหวังจริง ๆ นั่นแหละ” ระหว่างที่ผมพูดอยู่ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะ หมอชะงักเล็กน้อยแล้วหันไปหยิบขนมปังในกระเป๋าออกมายื่นให้
“รองท้องก่อน”
“ไม่เอาอะ รอกินข้าวพร้อมหมอดีกว่า”
“งั้นก็ไปช่วยคุณป้าคำแปงทำอาหาร จะได้กินเร็วขึ้น” ผมได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกี้เีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จะหันกลับไปกินขนมปังก็ไม่ทันแล้ว
“ไหนบอกว่าจะมาเรียนรู้ไง แค่ทำอาหารร่วมกับชาวบ้านก็ไม่อยากแล้วเหรอ?” เื่อะไรผมจะยอมให้เขาดูถูกความสามารถที่มีอันน้อยนิด ผมจำใจลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังหมอนาวินลงไปด้านล่าง ที่มีหญิงกลางคนคนหนึ่งกำลังสาละวนกับการทำอาหาร
“รอหน่อยนะคะ พอดีว่าฉันต้องทำหลายอย่าง วันนี้ยุ่งกว่าทุกวัน ขอโทษที่ช้านะคะ” เธอพูดภาษาถิ่นที่ผมก็พอฟังออกอยู่บ้าง
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมกับเพื่อนว่าจะมาช่วย” คุณป้าคำแปงชะงักเล็กน้อย แล้วหันมองไปยังของสดที่วางอยู่ มีทั้งเนื้อและเตาที่ยังไม่ได้จุด
“เอ่อ..ก็ได้ค่ะ งั้นรบกวนคุณหมอช่วยล้างและหั่นผักให้หน่อยนะคะ”
“ทั้งหมดนี่เลยเหรอครับ” ผมหันไปถามคุณป้า เพราะว่ามันเยอะเกินกว่าที่พวกผมสองคนจะกินหมด
“ใช่ค่ะ ทั้งหมดเลย มีเ้าหน้าที่ที่พักตรงนั้นอีกสามคน ฉันต้องทำเผื่อเขาด้วยค่ะ”
“ได้ครับ” เมื่อเข้าใจเหตุผล ผมก็เข้าไปช่วยคุณป้าทันที พวกเราสองคนช่วยกันล้างผัก ล้างเนื้อ ท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงที่จุดตามมุมต่าง ๆ
ผมเผลอหันมองเขาขณะกำลังล้างผัก ผิวเนียนละเอียดใต้แว่นตาขนาดกำลังพอดี ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคน ๆ นี้ ถึงจะดูเ็าและพูดน้อย แต่ก็มีมุมที่ใส่ใจและอ่อนโยนอยู่บ้าง
ผมรีบดึงสายตากลับมาจดจ่อกับผักสดในมือ พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป
ไม่ได้นะคีย์ นายมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้ อย่าเผลอไผลไปกับภาพลวงตา
“เมื่อกี้ แอบมองผมอีกแล้วนะ” คำพูดเขาทำให้ผมชะงักเล็กน้อย แล้วใช้ด้านมืดของตัวเองกลบเกลื่อน
“อยู่กันสองคน จะให้ผมมองใคร ถ้าไม่ใช่คุณ” หากแต่อีกฝ่ายยิ้มตอบอย่างรู้ทัน ทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า
“ผมไปหั่นผักให้คุณป้าดีกว่า” ว่าแล้วผมก็เบี่ยงตัวออกจากตรงนั้นแล้วไปนั่งยังโต๊ะไม้เล็ก ๆ หยิบเขียงแล้วมีดขึ้นมาหั่นผัก พร้อมสายลมพัดโชยมาเบา ๆ ท่ามกลางขุนเขาและบรรยากาศเงียบสงบ
ผมกำลังหั่นฟักทองลูกใหญ่ เนื้อของมันแข็งกว่าที่คิด ทำให้ต้องออกแรงกดมีดลงไปลึก ๆ วินาทีนั้นเอง คมมีดที่ออกแรงกดก็ปาดเข้าที่นิ้วโป้งมือซ้ายอย่างจัง
“อ๊ะ!” ผมเผลออุทานออกไปด้วยความใ มองเื เืสด ๆ ซึมขึ้นมาทันที เจ็บจี๊ดจนต้องชักมือกลับตามสัญชาตญาณ
“คีย์! ทันใดนั้นเสียงของหมอนาวินก็เอ่ยขึ้น แค่เสี้ยวนาทีเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้า โดยไม่รู้ว่าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่
“ใต้ตายเถอะ!” เขาพึมพำเบา ๆ แล้วจับข้อมือผมไว้แน่นโดยไม่ถามสักคำว่าผมโอเคไหม เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะบรรจงพันรอบนิ้วที่เืยังไหลไม่หยุด
“แผลเล็กนิดเดียวมั้ง” ผมรู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยใจแข็งสู้เสือ
“คุณเป็หมอ หรือผมเป็?” เขาขมวดคิ้วตัดบท พลางจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง
“แผลมีโอกาส อักเสบติดเชื้อได้นะ ที่นี่ไม่มีห้องปลอดเชื้อ ไม่มียาเพียงพอ ถ้าติดเชื้อขึ้นมา คุณจะลำบากรู้ไหม?” ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกแปลก ๆ ไม่ใช่เพราะเจ็บแผล แต่เพราะน้ำเสียงของเขา ไม่ใช่แค่แพทย์กำลังพูดกับผู้ป่วย แต่มันแสดงถึงความเป็ห่วงที่ออกมาจากหัวใจ ระหว่างนั้นใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด แต่ยังคงความนิ่งเฉย ก่อนจะเปิดผ้าออก
“แผลลึกพอสมควร ต้องเย็บ” เขาพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับผม ก่อนจะปล่อยมือผมชั่วครู่ แล้วหันไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่เตรียมมาสำหรับหน่วยแพทย์โดยเฉพาะ