ซ่งมู่ไป๋รีบบึ่งไปหาเซี่ยโม่ทันทีที่ได้ยินข่าว มาถึงบ้านตระกูลอู๋ เขาเห็นเด็กสาวกำลังจัดการอยู่กับฟืนกองใหญ่
“โม่โม่ เธอได้ยินข่าวหรือยัง เซี่ยอวิ๋นแต่งงานแล้ว”
“ได้ยินข่าวแล้วค่ะ พี่ซ่ง ที่ชีวิตเธอต้องเป็แบบนี้เพราะเธอทำตัวเอง” เซี่ยโม่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาะโลงจากรถจักรยาน หลังจากจอดรถแล้วก็เข้าไปช่วยเด็กสาวจัดการกับกองฟืน “เซี่ยอวิ๋นแต่งงานแล้ว ทีนี้หวางลี่ลี่ก็จะมีเวลาว่าง”
ประโยคนี้ราวกับช่วยเตือนเซี่ยโม่ให้ตระหนัก พี่ซ่งพูดถูก หากหวางลี่ลี่มีเวลาว่างย่อมต้องคิดวางแผนเล่นงานเธออีกแน่
่นี้พอเห็นว่าตัวเองมีที่พึ่งก็ลดการป้องกันลงไปพอสมควร
สมองเธอหมุนคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดี
จะรอให้แม่ดอกบัวขาวเป็ฝ่ายลงมือก่อนก็ใช่ที่ เธอเลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม “พี่ซ่ง พี่ว่าฉันควรทำยังไงดีคะ”
“ในเมื่อว่างงั้นก็ต้องทำให้หวางลี่ลี่ยุ่ง จนไม่มีเวลามาวางแผนมาเล่นงานเธอ”ซ่งมู่ไป๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็ว
“ความหมายของพี่คือ?”
“ลงมือกับเซี่ยอวิ๋นดีกว่า เมื่อวานฉันให้คนไปสืบข่าวที่บ้านสามีของเธอมาแล้ว เห็นว่าเมื่อวานเธออาละวาด ตอนนี้สามีกับแม่สามีเบื่อหน่ายในตัวเซี่ยอวิ๋นมาก”
เซี่ยโม่เข้าใจความหมายที่พี่ซ่ง้าจะสื่อแล้ว “พี่ซ่ง พี่กำลังจะวางแผนให้สามีส่งตัวเซี่ยอวิ๋นคืนให้หวางลี่ลี่ หวางลี่ลี่จะได้ไม่มีเวลามาวางแผนมาเล่นงานฉันใช่ไหมคะ”
แววตาซ่งมู่ไป๋เต็มไปด้วยความเ้าเล่ห์ ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ต้องทำให้หวางลี่ลี่ยุ่ง จะได้ไม่มีเวลามาคิดเล่นงานคนอื่น”
เธอรู้สึกตื้นตันใจเหลือจะกล่าว พี่ซ่งเห็นเื่ของเธอเป็เหมือนเื่ของตัวเอง พยายามทำทุกอย่างเพื่อเธอ แล้วเธอล่ะทำสิ่งใดบ้าง?
ที่ผ่านมาเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ รอรับความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม ทั้งยังคอยผลักไสเมื่อสบโอกาส
ในสายตาคนอื่น เธอเป็แค่เด็กสาวตัวผอมแห้งไม่มีอะไรดี ทั้งยังมีภาระคือน้องชายและคุณตาคุณยาย เป็เพียงลูกเป็ดขี้เหร่ที่น่าดูแคลน คุณค่าพอกันกับหญ้าข้างทาง
ในขณะที่พี่ซ่งคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หน้าที่การงานก็ดี พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์ มีทั้งฐานะและคนหนุนหลัง
พี่ซ่งอุตส่าห์มีความรู้สึกดีๆ ให้ มั่นคงต่อเธอเพียงผู้เดียว ทว่าเธอกลับเอาแต่คิดมาก
“พี่ซ่ง ขอบคุณพี่มากนะคะที่ทำเพื่อฉัน รอให้ถึงฤดูหนาวพวกเราค่อยหา่ว่างๆ จัดงานหมั้นกัน” ั์ตาใสกระจ่างมองชายหนุ่มอย่างซาบซึ้ง
ซ่งมู่ไป๋นึกว่าตัวเองหูฝาด เขานิ่งอึ้งมองหน้าเด็กสาวอยู่นานกว่าจะคลำหาเสียงตัวเองเจอ
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรค่ะ ถ้าไม่ได้ยินก็ช่างมันเถอะ” เซี่ยโม่หุบยิ้มก่อนจะพูดอย่างแง่งอน พี่ซ่งไม่เชื่อเธอหรืออย่างไรกัน
“ฉันได้ยิน เพียงแต่ฉันแค่ไม่อยากจะเชื่อ เธอพูดจริงเหรอ เธอตัดสินใจแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มมองเซี่ยโม่ด้วยแววตาน่าสงสาร น้ำเสียงเองก็เจือความออดอ้อนไม่น้อย
เด็กสาวพยักหน้า ใบหน้าซับสีแดงจางขณะเอ่ย “พี่ดีกับฉันแค่ไหน ฉันเห็นอยู่ในสายตามาตลอด และฉันก็จดจำความดีของพี่เอาไว้แล้ว แต่ฉันอยากรู้ว่า ทำไมพี่ถึงมาชอบหน่ออ่อนของต้นไม้ที่ยังไม่โตดีอย่างฉันได้”
ซ่งมู่ไป๋ตอบโดยไม่ปิดบัง “ฉันชอบที่เธอเป็คนเข้มแข็ง ชอบที่เวลาเจอปัญหาแต่เธอไม่ยอมแพ้และเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ชอบที่เธอเคารพคนแก่รักเด็ก ชอบที่เธอมีจิตใจดี แล้วก็ชอบสายตาที่เหมือนมีดวงดาวอยู่ข้างใน”
ในสายตาพี่ซ่งเธอมีดีขนาดนั้นเลยหรือ?
เซี่ยโม่ได้แต่นิ่งเงียบ ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ฉันชอบท่าทางโง่งมแต่ก็น่ารักของเธอ ฉันอยากจะคอยดูแลและปกป้องเธอตลอดไป” ความรู้สึกของซ่งมู่ไป๋ถูกเรียงร้อยผ่านคำพูดเรียบง่ายและซื่อตรง
เธอนึกถึงประโยคหนึ่งในชาติที่แล้วขึ้นมาได้ ในสายตาคนรักแลเห็นไซซี[1]หากเราชอบใครสักคน ต่อให้คนคนนั้นจะมีข้อเสียมากมาย แต่ในสายตาเรากลับมองว่าเป็ข้อดี
ชาติที่แล้วเซี่ยโม่อยู่ตัวคนเดียวจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ชาตินี้เธอนึกว่าจะต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบเดิมเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าคนไม่มีอะไรดีอย่างเธอจะกลายเป็ดอกไม้เลอค่าในสายตาคนอื่นขึ้นมาได้
“แค่หมั้นค่ะยังไม่ได้แต่งงาน ต้องรออีกหลายปีฉันถึงจะยอมแต่งงานกับพี่ แต่ถ้าระหว่างนั้นพี่ไปชอบคนอื่น อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน” กลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ใจ เธอเลยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ไม่มีทาง ฉันชอบหน่ออ่อนของต้นไม้ต้นนี้แค่ต้นเดียว ดอกไม้ดอกอื่นฉันไม่แลหรอก ฉันจะรอจนกว่าเธอจะโตพอ จะรอจนกว่าเธอจะเป็ฝ่ายยอมเอ่ยปากตกลงแต่งให้ฉันเอง” ซ่งมู่ไป๋ยืนยันหนักแน่นพร้อมรอยยิ้ม
แม้ภายนอกเธอจะยังเยาว์วัย หากภายในเธอคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อมีผู้ชายที่ดีขนาดนี้มารักมาชอบ ในใจเธอย่อมมีความสุข
“พี่ซ่ง พวกเราจะหมั้นกันแล้ว งั้นพี่เล่าเื่ครอบครัวของพี่ให้ฉันฟังได้ไหมคะ แต่ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็ไรนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเล่าเื่ราวของครอบครัวตัวเองพอสังเขป “งั้นเดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้พ่อของฉันเป็คนที่มีอำนาจคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่กี่ปีก่อนถูกบีบให้วางอำนาจในมือ ฉันมีพี่ชายสองคนพี่สาวสองคน ฉันเป็คนสุดท้อง เป็เพราะเื่ของพ่อทำให้พี่ๆ ของฉันได้รับผลกระทบไปด้วย”
เซี่ยโม่เข้าใจสถานการณ์ดี พอถึงปีหน้าทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้ว
“แล้วเื่ที่พี่จะหมั้น พวกท่านจะไม่คัดค้านเหรอคะ”
“ไม่คัดค้าน ฉันเคยเขียนจดหมายไปบอกพวกท่านแล้วว่ากำลังดูใจกับเธออยู่”
“ใครดูใจกับพี่กัน” เซี่ยโม่ตาโต ใบหน้าแดงก่ำพอกับมะเขือเทศ
ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “เธอเคยพูดว่าให้ดูๆ กันไปก่อน ถ้าเข้ากันได้ค่อยหมั้นกัน แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่เรียกว่าดูใจแล้วเรียกว่าอะไร”
ก็ได้ ผู้ชายคนนี้มีเหตุผลมาใช้อ้างอยู่เสมอ ทำเอาเธอถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เซี่ยโม่นึกถึงภาพในอนาคตตอนไปพบกับพ่อและแม่สามี เพียงแค่คิดเธอก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
เห็นท่าทางเขินอายของเด็กสาว ซ่งมู่ไป๋ก็ยกยิ้มพอใจก่อนจะพูดต่อ “ฉันยังมีอีกชื่อหนึ่ง ชื่อว่าซ่งมู่หยาง”
เธอหันไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกตะลึง น้ำเสียงที่เอ่ยถามสั่นเครือเล็กน้อย “พี่มีอีกชื่อว่าอะไรนะคะ”
“ซ่งมู่หยาง ทำไมเหรอ”
ตอนแรกเซี่ยโม่ยังนึกสงสัยอยู่ว่า พี่ซ่งเป็คนฉลาด ทั้งมีความสามารถและฐานะดี ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขาในชาติที่แล้วมาก่อนเลย
ที่แท้ในอนาคตชายหนุ่มคือคนที่รวยที่สุดของประเทศนี่เอง
่ปฏิรูปเศรษฐกิจ พี่ซ่งและกลุ่มเพื่อนของเขาธุรกิจที่ทำกำไรสูงแทบจะทุกประเภท
ต่อมามีข่าวว่าเขาบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้แก่ประเทศ ก่อนจะลาออกจากบริษัท ให้ลูกน้องเข้ามารับ่ต่อ แล้วผันตัวไปอยู่เื้ัแทน
ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ แต่ผลงานของเขาก็ส่งผลต่อคนรุ่นหลังอย่างมาก
หากเอาตัวเธอในชาติที่แล้วไปเปรียบเทียบ ขอบอกเลยว่ายังห่างชั้นกันอีกไกล
อีกฝ่ายคือบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุด ในขณะที่เธอเป็แค่นักธุรกิจตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
เซี่ยโม่คิดพร้อมกับมองชายหนุ่มด้วยสายตาเลื่อมใส เธออยากถามออกไปเหลือเกินว่า ฉันเกาะขาพี่ตอนนี้ทันไหมคะ
เธอจำได้อย่างแม่นยำว่า ชาติที่แล้วถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็บุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ มีหญิงสาวทั่วประเทศขอเป็แฟนคลับ แต่ไม่รู้เหตุใดจนถึงอายุสามสิบกว่าปีอีกฝ่ายก็ยังอยู่ตัวคนเดียว
ทั้งเธอยังไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาคบหากับผู้หญิงคนไหน
เห็นเด็กสาวนิ่งไป ซ่งมู่ไป๋จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็อะไรไป”
เธอรวบรวมสติกลับคืนมาก่อนจะตอบ “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าชื่อของพี่เพราะดี ฉันชอบมาก”
“ชอบก็ดีแล้ว ไว้วันไหนเดี๋ยวฉันเอาสมุดบัญชีของฉันมาให้เธอ พวกเรากำลังจะหมั้นกันแล้ว ต่อไปเธอดูแลเื่เงิน ส่วนฉันรับผิดชอบทำงานหาเงิน”
ทำไมว่าที่คนร่ำรวยที่สุดในประเทศตอนหนุ่มถึงได้โง่แบบนี้กันเล่า
ไม่กลัวถูกหลอกหรืออย่างไร?
“พี่ซ่ง อย่าเอาสมุดบัญชีของพี่มาเก็บไว้ที่ฉันเลยค่ะ พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน ไว้รอให้พวกเราแต่งงานกันฉันค่อยเข้าไปดูแลเื่เงินของพี่ก็ได้”
ในอนาคตเธอจะได้ดูแลเื่เงินของบุคคลผู้มีฐานะร่ำรวยที่สุดในประเทศ เพียงแค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
“เธอดูแลให้ฉันั้แ่ตอนที่พวกเราหมั้นกันก็ได้ ฉันอยากให้เธอดูแลเื่เงินให้ฉัน” น้ำเสียงชี้ชัดว่าชายหนุ่มทั้งคาดหวังและรอคอย
เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของพี่ซ่ง เธอจึงจำใจต้องพยักหน้าออกไป “ก็ได้ค่ะ”
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นกุมแก้มตัวเอง หากแฟนคลับสาวๆ ในอนาคตของพี่ซ่งรู้ว่า บุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศตอนหนุ่มๆ เอาแต่คอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเด็กสาวคนหนึ่งคงจะใจสลายกันน่าดู
แถมตอนนี้ชายหนุ่มผู้เป็ขวัญใจสาวๆ คนนั้นกำลังจะกลายเป็คู่หมั้นของเธอ คิดแล้วก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกไปว่าค่อยจัดงานหมั้นตอนฤดูหนาว หากเลื่อนกำหนดขึ้นมาให้เร็วกว่าเดิมจะได้หรือไม่?
เซี่ยโม่ทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ่นี้ไม่มีฤกษ์ดีเสียด้วย
ครั้นเห็นเด็กสาวนิ่งไป ซ่งมู่ไป๋จึงยกมือลูบศีรษะทุยอย่างเป็กังวล “เป็อะไรไป ทำไมท่าทางเธอดูไม่ดีใจเลย”
เธอรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยออกมา “พวกเราหมั้นตอนปีใหม่ดีไหมคะ วันแรกของปี 1977”
“ฉันแล้วแต่เธอ เธอว่าวันไหนดีก็เลือกเอาวันนั้น” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แค่ได้หมั้นหมายก็ถือว่าน่ายินดียิ่งแล้ว
เด็กสาวมีสีหน้าพึงพอใจ “นี่ก็บ่ายมากแล้ว เดี๋ยวฉันรีบเข้าครัวไปทำอาหารก่อน รอคุณตา คุณยาย กับอาจารย์กลับมา พวกเราค่อยบอกข่าวดีกับพวกท่าน ระหว่างนี้พี่ช่วยไปรับเฉินเฟิงกับสือโถวที่โรงเรียนแทนฉันได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
ซ่งมู่ไป๋รับคำ จากนั้นขี่จักรยานไปรับเด็กชายทั้งสองคนที่โรงเรียนประถมตามคำไหว้วาน
ส่วนเซี่ยโม่จัดการกองฟืนต่อ ก่อนจะเข้าไปในห้องครัวเพื่อล้างมือและเริ่มทำกับข้าว
กุนเชียงกับเนื้อเค็มที่ทำเก็บเอาไว้คราวที่แล้วสามารถนำมากินได้อยู่ ในครัวยังมีผักกาดขาว มันฝรั่ง และหัวไชเท้าเก็บเอาไว้ เธอเลยนำออกมาทำน้ำแกง
นอกจากนี้ยังหยิบเนื้อหมูสดจากในโกดังสินค้าออกมาทำลูกชิ้นความสุขสี่ประการ เมื่อทำอาหารมื้อพิเศษเสร็จทุกคนในบ้านก็ทยอยกันกลับมา
“วันนี้วันอะไร ทำไมหลานถึงทำอาหารเต็มโต๊ะแบบนี้” เมื่อเห็นอาหารเรียงรายเต็มโต๊ะคุณยายจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
ซ่งมู่ไป๋เป็ฝ่ายแย่งตอบ “คุณยายครับ โม่โม่ตอบตกลงว่าจะหมั้นกับผมแล้วครับ”
ทุกคนหันไปมองทั้งคู่เป็ตาเดียวกัน
เซี่ยเฉินเฟิงปรบไม้ปรบมืออย่างดีอกดีใจ “วันนี้พี่สาวจะหมั้นแล้ว!”
“หนูกับพี่ซ่งว่าจะรอให้ถึงปีใหม่ก่อนแล้วค่อยหมั้นกันค่ะ” เซี่ยโม่พูดต่อ ใบหน้าจิ้มลิ้มบัดนี้แดงก่ำด้วยความเขินอาย
“อย่างไรวันนี้ก็มีของกินมากมายเต็มโต๊ะ ถ้าจะหมั้นกันวันนั้นไม่สู้หมั้นวันนี้ไม่ดีกว่าหรือ” คุณปู่จ้าวเสนอ รอยยิ้มแห่งความสุขระบายเต็มใบหน้าของชายชรา
คุณตาคุณยายพูดสนับสนุนคุณปู่จ้าว “ปีใหม่อากาศหนาว เปลี่ยนมาหมั้นวันนี้ดีกว่า”
ซ่งมู่ไป๋หันไปมองเด็กสาวอย่างคาดหวัง “โม่โม่ พวกเราเปลี่ยนมาหมั้นวันนี้ดีไหม”
เซี่ยโม่อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าวันนี้เธอยังไม่ค่อยพร้อม ทั้งขาดแคลนดอกกุหลาบ แหวนหรือช็อกโกแลตก็ไม่มีเตรียมไว้สักอย่าง
แต่เมื่อคิดดูอีกที ต่อให้เป็่ปีใหม่ก็ไม่มีของเหล่านี้เช่นกัน
รู้แบบนี้เธอไม่ทำอาหารเต็มโต๊ะก็ดี ทุกคนจะได้ไม่ปุบปับเปลี่ยนวันหมั้นมาเป็วันนี้แทน
เธอได้หมั้นหมายกับว่าที่ขาใหญ่ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศทั้งที ตอนนี้คงต้องจัดงานแบบเรียบง่ายไปก่อน อนาคตค่อยเพิ่มความหรูหราอลังการ
เมื่อต้องเผชิญกับสายตารอคอยของคนในบ้านและสายตาคาดหวังของพี่ซ่ง เซี่ยโม่จึงต้องพยักหน้ายินยอมด้วยใบหน้าเขินอายและหัวใจที่เต้นแรง
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยะโตัวลอยอย่างดีใจ “เย่ ผมมีพี่เขยแล้ว!”
-------------------------------
[1] ในสายตาคนรักแลเห็นไซซี หมายถึง ในสายตาคนรักกันย่อมเห็นอีกฝ่ายสวย หล่อและดีที่สุด
