เล่มที่ 4 บทที่ 107
ชิงยวี่ยังคงหงุดหงิดกึ่งสับสน ก่อนหน้าเขาไม่ได้สืบสวนภูมิประเทศอย่างชัดเจน ทว่าดวงตาของมู่หรงฉิงเป็ประกาย นางตบมือทั้งสองข้างและเหมือนจะตื่นรู้อะไรบางอย่าง “รีบดูเร็วเข้า รีบหาดูว่าพอจะหาสัตว์ป่าที่สามารถทำเป็เหยื่อล่อได้หรือไม่?”
ชิงยวี่ยังคงปวดศีรษะอยู่ว่าจะหากับดักได้จากที่ใด และเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง มือของเขาก็สั่นเทา เกือบจะโยนนางเป็เหยื่อล่องูหลามั์แล้ว “ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยช่างเป็คนตลกจริงๆ ในสถานการณ์อันตรายนี้ก็ยังมีความกล้าที่จะเผชิญกับมัน ผู้น้อยขอชื่นชมจริงๆ”
“ข้าไม่ได้พูดเล่น ถ้าเ้าสามารถหาเหยื่อล่อให้ข้าได้ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ข้าจะสามารถฆ่างูหลามั์ได้ในทันที” นางใช้คำพูดให้ฟังดูยิ่งใหญ่ไว้ก่อน เท่าที่จำได้เป้ยหนิงเคยบอกว่า ใบของหญ้าชิงโยวหนึ่งใบ มีพิษเพียงพอที่จะล้มสิงโตตัวเต็มวัย งูหลามั์ตัวนี้ดูแข็งแรงกว่าสิงโตตัวเต็มวัย ถึงกระนั้นนางก็สามารถใส่หญ้าชิงโยวให้มากเล็กน้อย ด้วยวิธีนั้นย่อมไม่ต้องกลัวว่าพิษจะไม่ทำให้งูหลามั์ตายได้
ขณะมู่หรงฉิงพูดเช่นนั้น ชิงยวี่จึงเหลือบสายตามองนางปราดหนึ่งซึ่งความหมายในแววตาฉายให้เห็นได้ชัดเจน นั่นคือกำลังสงสัยว่าสมองของนางใช้การไม่ได้เหมือนเฉินเทียนหยูหรือไม่?
มู่หรงฉิงถูกชิงยวี่มองก็รู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย ถ้างูหลามตัวนี้ปกป้องหญ้าชิงโยว เช่นนั้นมันอยู่ใกล้กับหญ้าชิงโยวหรือไม่? และพิษของหญ้าชิงโยวมีผลกับมันหรือไม่?
หลังจากขบคิด มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกว่าศีรษะของนางใหญ่ขึ้นมาแล้ว เวลานี้ควรจะทำอย่างไรดี? ถ้ารอแต่ให้ชิงยวี่เหาะไปรอบๆ เมื่อกำลังภายในหมดลง จะถูกงูหลามั์กลืนเข้าไป? หรือจะร้องะโขอความช่วยเหลือ และให้จ้าวจื่อซินใช้มีดสั้นอาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาในการทำลายงูหลามั์?
ถึงกระนั้นไม่ว่านางจะคิดอย่างไร นางก็รู้สึกว่านี่เป็ปัญหาใหญ่ มีดสั้นของจ้าวจื่อซินเล่มนั้น มองดูอย่างไรก็ช่างธรรมดาเหลือเกิน งูหลามั์ตัวนี้สวมชุดเกราะเกล็ดสีฟ้า ไม่ต้องคิดมากย่อมรู้ว่าเกราะเกล็ดนั้นหนาแค่ไหน มันไม่ใช่เื่ง่ายที่จะสามารถฆ่ามันได้?
หลังจากครุ่นคิดในใจอยู่หลายตลบ ท้ายที่สุดนางก็รู้สึกว่าการลองใช้หญ้าชิงโยวเป็วิธีที่เหมาะสมมากกว่า
เพียงแต่สัญชาตญาณแห่งการล่าที่งูหลามั์ปล่อยออกมารุนแรงเกินไป สัตว์ตัวเล็กๆ แค่ได้กลิ่นอันตรายจากระยะไกล พวกมันก็ซ่อนตัวจนไม่ให้เห็นแม้แต่เงา พวกมันจะยืนโง่เพื่อให้พวกเขาจับพวกมันเสียที่ไหนเล่า?
“ดูเหมือนว่าจะมีกับดักอยู่ข้างหน้า” ชิงยวี่พูดด้วยความดีใจ เขาหายใจเข้าลึกๆ และกระโจนไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ครั้นได้ยินว่ามีกับดัก มู่หรงฉิงก็คล้ายมีพละกำลังขึ้นมาด้วย ดวงตาของนางเป็ประกายมองไปข้างหน้าด้วยหวังว่าจะมีกับดักจับงูหลามั์ตัวนี้จริงๆ
กับดักในูเาโดยทั่วไปแล้วมีไว้สำหรับการล่าสัตว์ และกับดักที่นี่ก็ทำขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาโจมตี ดังนั้นมันยิ่งกลายเป็สิ่งที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ชิงยวี่โอบมู่หรงฉิงออกจากป่าที่ดูปกติ ในใจพลอยรู้สึกวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น
กับดักจับสัตว์สามารถทำร้ายคนได้เช่นเดียวกัน หากมีคนบังเอิญติดกับดักโดยไม่ทันระวัง มีความเป็ไปได้ว่า เขาอาจจะเสียชีวิตได้มากที่สุด
คิดได้ดังนั้น เขาจึงเตือนตัวเองให้ระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาไม่อาจลดความเร็วของฝีเท้าลงได้ สังเกตจากสถานการณ์ยามนี้ เรียกได้ว่าข้างหน้ามีหมาป่าและข้างหลังมีเสือ ไม่ว่าจะเร่งฝีเท้าให้เร็ว หรือลดความเร็วของฝีเท้าให้ช้าลง ต่างเป็อันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
“ชิงยวี่ เ้าช่วยแสร้งทำเป็ว่าจะกระโจนเข้าไป แล้วหันหลังกลับได้หรือไม่?” คำถามดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าไร้สาระ นางรู้สึกชัดเจนว่ามือของชิงยวี่กำลังสั่นเทาอีกหน นางรู้ว่าเขา้าทิ้งระยะห่างจากงูหลามั์
นั่นคงไม่น่าแปลกถ้านางมีความคิดเพ้อฝันไม่สมกับความเป็จริง เป็เพราะในบทละครเขียนได้อย่างวิเศษเกินไป โดยบรรยายไว้ว่า ผู้ที่มีทักษะการต่อสู้ระดับสูงจะสามารถขึ้นสู่ฟ้าและมุดลงดินได้ แม้ว่าจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่กระนั้นคงไม่น่าเป็เื่ยากที่จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องชีวิต
มู่หรงฉิงยังคงคิดพิจารณา นางควรจะเตือนชิงยวี่หรือไม่ว่า อย่าโยนนางไปให้งูหลามั์เพราะอาการมือสั่นของเขา ถึงอย่างไรในท้ายที่สุดแล้วนางยังมีหลายสิ่งที่ยังต้องทำ นางยังมีความแค้นที่ยังไม่ได้แก้แค้น ดังนั้น นางจึงไม่สามารถตายได้ในเวลานี้ และไม่สามารถตายในูเาที่แห้งแล้งและรกร้าง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น นางไม่สามารถตายในปากของงูหลามั์ตัวนี้ที่ไม่เป็ที่รู้จักมากนัก
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะพูดออกมา นางกลับได้ยินเสียง ‘ฟุ่บๆ’ จากทางด้านซ้ายและทางด้านขวา เสียงนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้ว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว
นั่นคือหน้าไม้ ฟังจากเสียงแล้วรับรู้ได้ทันทีว่าคราวนี้จบจริงๆ แล้ว
เสียงการเคลื่อนที่ของลูกธนูดังติดต่อกันซ้ำๆ ทั้งยังเห็นสีดำเป็เงาบนลูกศรที่พุ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งยืนยันได้ชัดว่ามันอาบยาพิษ
มันเหมาะสมกับการกำจัดสัตว์ร้าย แต่ถ้าใช้กับคน มันคงดูโเี้มากเกินไป
“ฮูหยินน้อย ในเวลานี้ฮูหยินน้อยควรจะมีสมาธิมากกว่านี้” ชิงยวี่ถือดาบด้วยมือขวา ขยับดาบเป็วงกลมเพื่อใช้พลังดาบปกป้องพวกเขาทั้งสอง ถ้ามู่หรงฉิงให้ความร่วมมือสักเล็กน้อย เขาคงไม่จำเป็ต้องใช้พลังมาก ทว่ามู่หรงฉิงกลับฟุ้งซ่านอีกหนซึ่งเป็สาเหตุให้ชิงยวี่อยากจะอาเจียนออกมาเป็เื เขาถึงกับอยากจะโยนนางไปให้งูหลามั์ตัวนั้นแล้ว
ครั้นได้ยินเสียงตักเตือนของชิงยวี่ มู่หรงฉิงถึงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา วันนี้นางฟุ้งซ่านและเหม่อลอยอยู่สองสามหนซึ่งแปลกมาก หลังจากเห็นว่าชิงยวี่ไม่อาจต้านทานได้ นางจึงรีบมองไปยังสภาพแวดล้อมรอบๆ อาวุธจากกับดักเ่าั้มีไว้ใช้เพียงชั่วคราว แม้หลังจากนี้อาจปรากฏอาวุธลับชนิดอื่นๆ ถึงกระนั้นผลสุดท้ายเกรงว่าคงเป็เื่ยากที่ชิงยวี่จะต้านทานได้
“ถ้าสัตว์ร้ายตกลงไปในกับดัก พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร?” ที่นี่ห่างจากต้นไม้ด้วยระยะห่างร้อยลี้ นางไม่ได้หวังว่าจ้าวจื่อซินและคนอื่นๆ จะสามารถมาช่วยได้ทัน แต่อย่างน้อยถ้าพวกเขาได้รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและมาทันเวลาย่อมดีที่สุด แต่ถ้าพวกเขามาช้า อย่างน้อยขอแค่พวกนางยังมีลมหายใจ ก็จะสามารถมีชีวิตได้อีก
แม้ว่ามันเลวร้ายเกินไปที่จะคิดอย่างนั้น แต่นางไม่มีทางที่ดีไปกว่านี้แล้วจริงๆ
ในระหว่างสนทนา ทั้งคู่ง่วนอยู่กับการหลบลูกศรพิษ งูหลามั์ทั้งคำราม ทั้งสะบัดหางของมัน กวาดลูกธนูออกเป็ชิ้นๆ ไปทั่วพื้น บ่งชี้ให้เห็นว่างูหลามั์มีเกล็ดที่แข็งมากเพียงใด ลูกศรพิษเ่าั้แทบจะไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยว โชคดีที่งูหลามั์โกรธเกรี้ยว มันกวาดลูกศรพิษที่ยิงออกมาหล่นลงบนพื้นไปทั่ว นั่นเป็สาเหตุให้ชิงยวี่สามารถปกป้องทั้งสองคนด้วยรัศมีดาบของเขา ไม่เช่นนั้นลูกศรพิษจำนวนมากพุ่งเข้ามา แม้ว่าชิงยวี่จะมีทักษะการต่อสู้ที่สูงสักแค่ไหน พวกเขาทั้งสองคงมีชะตากรรมกลายเป็ตะแกรง นั่นคือถ้าศัตรูไม่ตาย คนที่ตายอาจจะเป็พวกเขาทั้งสองคนก็เป็ไปได้
“มีห้องมืดอยู่ตรงขอบของกับดัก ตราบใดที่เหยื่อตกลงไปในกับดัก ระฆังด้านในก็จะดังขึ้น” หลังจากลูกศรพิษพุ่งออกไปหมดแล้ว ชิงยวี่จึงอุ้มมู่หรงฉิงกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และทั้งสองคนก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้พลางหยุดพักผ่อนสักพักหนึ่ง “เมื่อลูกศรอาบยาพิษพุ่งออกมา คนที่นั่นย่อมรู้แล้ว นอกจากนั้นหากพวกเขาเห็นว่าผู้น้อยซึ่งตามหาฮูหยินน้อย ไม่ได้กลับไปเป็เวลานาน เกรงว่าพวกเขาคงคิดได้แล้วว่า พวกเราตกอยู่ในอันตราย เวลานี้พวกเขาน่าจะอยู่ระหว่างการเดินทางมาที่นี่”
ทั้งสองยืนอยู่บนกิ่งไม้เพื่อพักผ่อนสักครู่ แต่งูหลามั์ที่อยู่ด้านล่างไม่เต็มใจที่จะให้โอกาสกับพวกเขา หลังจากรับรู้ว่าพวกเขายืนอยู่ มันก็พุ่งเข้ามาหาดุจแสงสีเงิน
มู่หรงฉิงตกตะลึง ครู่ก่อนลูกศรพิษพุ่งใส่มันอย่างดุเดือด งูหลามั์ตัวนี้กลับไม่มีเจตนาจะหนีแต่อย่างใด คิดว่ามันคง้าให้นางยอมมอบหญ้าชิงโยวกลับคืนไปกระมัง?
คิดได้ดังนั้นจึงยกมือขึ้นดึงที่คาดสัมภาระออก ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไม่มอบหญ้าชิงโยวให้กับงูหลามั์ ไม่เช่นนั้นเฉินเทียนหยูจะเป็อย่างไรเล่า?
งูหลามั์พุ่งเข้ามาประชิดทันทีทันใด ชิงยวี่อุ้มมู่หรงฉิงเหาะหนีไปอีกหนโดยโผนทะยานจากต้นไม้ต้นนี้ไปยังต้นอื่น พริบตาต่อมาต้นไม้ต้นนั้นก็ถูกงูหลามั์กวาดลงบนพื้นด้วยความแรง
แต่มันเป็การเปิดใช้งานกับดักอื่นๆ เช่นเดียวกัน จังหวะนั้นได้ปรากฏแผ่นเหล็กที่มีรอยหยักบริเวณขอบพุ่งมาจากรอบๆ ซึ่งถ้าเกิดถูกกระแทกด้วยแผ่นเหล็กเหล่านี้ นั่นจะเป็อันตรายถึงแก่ชีวิต
มีแผ่นเหล็กอยู่้า ด้านล่าง ด้านซ้ายและด้านขวา แม้จะ้าหลบหลีก ก็ไม่อาจหลบหลีก หาก้าหนีก็ไม่มีทางหนี ชั่วขณะนั้นชิงยวี่ทำได้แค่กัดฟันและทะยานเข้าหางูหลามั์แทนที่จะถอยหนี
หลังจากลูกธนูพิษพุ่งเป็คลื่นในคราวก่อน งูหลามั์ก็ตื่นตระหนกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมันเห็นแผ่นเหล็กจำนวนมากบีบตัวเข้ามา มันจึงยิ่งตื่นตระหนกและไม่สบายใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ งูหลามั์สะบัดหางด้วยหวังว่าจะทำให้แผ่นเหล็กใกล้ๆ กระเด็นออกไป
งูตัวนี้สะบัดหางด้วยพละกำลังมหาศาล เนื่องจากร่างกายของงูหลามั์แข็งราวกับเหล็ก มันจึงไม่มีร่องรอยาแจากขอบหยักของแผ่นเหล็ก แต่สถานการณ์นั้นก็ทำให้ปรากฏช่องว่างระหว่างแผ่นเหล็ก ถึงแม้ว่าจะมีแผ่นเหล็กเคลื่อนที่ตามมาหลังจากนั้น แต่ถ้าใช้โอกาสนี้ในการกระโจนออกจากกับดักก็จะสามารถรอดชีวิตได้
ชิงยวี่ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาโอบมู่หรงฉิงไว้ในอ้อมแขนและลอดผ่านช่องว่างที่มี เมื่อทั้งสองคนลงไปยืนนิ่งอยู่บนพื้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงงูหลามั์แผดเสียงคำรามอยู่ในกับดัก
แม้ว่าร่างกายของงูหลามั์จะแข็งพอๆ กับเหล็ก แต่คลื่นแผ่นเหล็กหยักซัดเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามันจะไม่มีเืออก แต่ก็สามารถกระแทกเนื้อหนังและทำลายมันได้
ในเวลานี้ มู่หรงฉิงถึงได้กล่าวว่า “เสี่ยงมากเกินไปแล้ว”
กับดักเหล่านี้สามารถช่วยผู้คนได้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็สามารถปลิดชีพผู้คนได้เช่นเดียวกัน หากหลงเข้าไปในกับดักใดกับดักหนึ่ง เกรงว่าคงเป็เื่ยากที่จะรอดชีวิตได้
“ฮูหยินน้อยจะต้องระวัง การวางใจในเวลานี้มันช่างเร็วเกินไปแล้ว” ชิงยวี่ถือดาบยาว และมองไปยังสภาพแวดล้อมรอบๆ สามทิศทางด้วยสายตาของเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ในระยะที่ห่างจากกับดักแล้ว แต่เขามักจะรู้สึกว่า เขาไม่ได้ออกจากพื้นที่ของกับดักอย่างสมบูรณ์
เดิมทีมู่หรงฉิงเพิ่งโล่งใจ แต่หลังจากเห็นท่าทางจริงจังของชิงยวี่ นางพลอยรู้สึกประหม่าไปด้วย แต่หลังจากเดินสองสามก้าวกลับไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลก มู่หรงฉิงจึงก้าวเท้าเดินไปหาชิงยวี่พร้อมหันไปมองทางที่เขาอยู่ “ชิงยวี่ เ้าคิดว่าปี้เอ๋อร์เป็อย่างไร?”
“ปี้เอ๋อร์? ก็ไม่เลว นางฉลาดมีไหวพริบ และนางยังภักดีต่อฮูหยินน้อยด้วย” ชิงยวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่หรงฉิงถึงถามเช่นนั้น และเขาก็ไม่มีเวลาขบคิดมากมาย เขาคิดแค่ว่าต่อจากนี้จะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นอีกหรือไม่
มู่หรงฉิงได้ยินว่าชิงยวี่มีความประทับใจที่ดีต่อปี้เอ๋อร์ นางก็รู้สึกดีใจ ชิงยวี่มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แม้นาง้า ถึงกระนั้นมันย่อมเป็ไปไม่ได้ที่จะแย่งชิงใครบางคนจากจ้าวจื่อซิน
ทว่าถ้าชิงยวี่และปี้เอ๋อร์รักกันล่ะ? ด้วยวิธีดังกล่าวก็นับได้ว่าชิงยวี่เป็คนของนางครึ่งหนึ่งแล้ว ใช่หรือไม่? ในเวลานั้นมันน่าจะเป็เื่ง่ายกว่าถ้า้าใช้งานทักษะความสามารถของเขา
มู่หรงฉิงคิดว่า มันเป็ความคิดที่ดีไม่น้อย แต่อย่างไรจำต้องซักถามให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าชิงยวี่ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้น นางคงไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามได้ แต่ถ้าชิงยวี่ไม่คัดค้าน นางก็ค่อยจัดการอย่างช้าๆ
ถึงกระนั้นนางคงต้องถามท่าทีของปี้เอ๋อร์ด้วย หากปี้เอ๋อร์ไม่ชอบชิงยวี่ นางคงไม่สามารถบังคับได้
ในใจคิดพิจารณา ทว่ามู่หรงฉิงไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของชิงยวี่ ครั้นได้ยินเสียงของชิงยวี่ร้องว่า “ระวัง” มันจึงสายเกินไปแล้ว
มู่หรงฉิงแค่รู้สึกว่าร่างกายของนางหนาวสะท้านเพียงชั่วครู่หนึ่ง ความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่าร่างกายอาจจะรับรู้ถึงอันตราย ในจังหวะที่กำลังจะหันกลับไปดูว่ามีอะไรอยู่ด้านหลัง ชิงยวี่ได้ดึงตัวของนางเข้าหาด้วยความว่องไว ก่อนหมุนตัวและทิ้งร่างลงกับพื้น