หลังจากเดินทางกลับมาถึงเมืองเตี๋ยฮวาแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นรีบรุดหน้าไปที่จวนอัครเสนาบดีมู่ ในเวลานี้หน้าประตูมีทหารจำนวนมากเฝ้ายามอยู่ด้านหน้า
ทหารเ่าั้เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามา ต่างกีดกันนางไม่ให้เข้าไปด้านใน
“ทำไมข้าจะเข้าไม่ได้?” มู่อวิ๋นจิ่นถามขึ้นด้วยความเศร้าสร้อย
“พระชายาหกเป็คนของจวนองค์ชายหกไปแล้ว ย่อมไม่มีความสัมพันธ์กับจวนอัครเสนาบดีมู่ ฝ่าามีบัญชา ทุกคนในจวนอัครเสนาบดีมู่ ห้ามเข้าออกทั้งสิ้น ห้ามมีการเยี่ยมเยือนทั้งนั้น” ทหารเอ่ยด้วยความขึงขัง
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจ ยอมควักป้ายประจำตัวของฉู่ลี่ที่มอบให้นางก่อนลงรถม้า “ตอนนี้เข้าไปได้หรือยัง?”
องครักษ์เ่าั้เห็นป้ายสีหน้าถอนสี รีบโค้งคำนับผายมือให้นางเข้าไปได้
มู่อวิ๋นจิ่นก้าวย่างเข้าไปแล้ว เห็นทหารเฝ้าอยู่ทุกจุดทุกมุม นางเดินไปที่ห้องโถงรับรอง ไม่เห็นผู้ใดแม้แต่คนเดียว
มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินไปด้านหลังของจวน เห็นมู่อวิ๋นหานและอัครเสนาบดีมู่พ่อลูกกำลังเล่นหมากกระดานอยู่ในศาลา
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่” มู่อวิ๋นจิ่นะโขึ้นมา
เมื่อทั้งสองเห็นมู่อวิ๋นจิ่นมารีบหยุดเล่นทันที อัครเสนาบดีมู่ดีใจจนต้องลุกขึ้น เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “อวิ๋นจิ่น”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับ “อืม” จากนั้นมองไปที่มู่อวิ๋นหานที่ยังมีแววตาแน่นิ่ง เหมือนไม่มีเื่เกิดขึ้นที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั่งลงพร้อมหน้าในศาลา มู่อวิ๋นจิ่นค่อยๆ เอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่วางแผนอะไรไว้บ้าง?”
อัครเสนาบดีมู่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “พ่อเป็อัครเสนาบดีมาหลายปี คราวนี้คงถึงจุดจบแล้ว ฉินเฟิ่งจอมชั่วคนนั้น ถอนตัวออกจากราชสำนักไปหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังเ้าเล่ห์เพทุบายได้มากถึงเพียงนี้”
เมื่อเห็นอัครเสนาบดีมู่จนปัญญาไร้หนทางแก้ไข มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยหันไปหามู่อวิ๋นหาน “แล้วพี่ใหญ่ละ?”
มู่อวิ๋นหานก้มหน้าลง หยิบหมากที่อยู่ในมือขึ้นมา แล้วเงยหน้ายิ้มน้อยๆ “อวิ๋นจิ่นคงมีวิธีในใจแล้ว”
“พี่ใหญ่มั่นใจในตัวน้องขนาดนั้นเชียว?” มู่อวิ๋นจิ่นแอบยิ้มมุมปาก
“พี่เชื่อใจเ้า” มู่อวิ๋นหานหันมองมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไม่ลังเลสงสัยในตัวนาง
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ ลุกขึ้นยืนเอามือพ่ายหลัง เดินก้าวจากไป “รอฟังข่าวดีจากข้าแล้วกัน”
อัครเสนาบดีมู่ยืนมองดูแผ่นหลังของมู่อวิ๋นจิ่น “อวิ๋นหาน อวิ๋นจิ่นนาง……”
“ท่านพ่อ ท่านมองไข่มุกล้ำค่าเม็ดนี้เป็ผักปลามานานหลายปี ยังจำได้ไหมว่าท่านแม่ของนางเป็ใคร?”
อัครเสนาบดีมู่ถอยผงะไปก้าวหนึ่ง แววตาเปี่ยมด้วยความอากูรและเศร้าสลด
ถูกต้องแล้ว อวิ๋นจิ่นเป็บุตรสาวของนาง บุตรสาวของนางย่อมมิใช่สตรีธรรมดา……
……
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกจากจวนอัครเสนาบดีมู่ก็มุ่งหน้าตรงไปที่วังหลวง ผ่านเข้าไปถึงวังหลัง
จู่ๆ ในระหว่างที่นางได้พบคนที่ไม่อยากเห็นขี้หน้ามากที่สุดในเวลานี้
“มู่อวิ๋นจิ่น……”
“องค์หญิงห้า มีธุระอันใดเ้าคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นชายตามองเหยียดๆ ฉู่ชิงเฉียง
“เปิ่นกงจู่หาเ้า ต้องมีธุระด้วยหรือ ภายในใจของเ้าน่าจะรู้ดีกว่าใครมิใช่เหรอ?” ฉู่ชิงเฉียงพูดพลางยื่นมือไปลูบผมมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นปัดทันที “ข้ายังมีธุระต้องทำ ไม่มีเวลามาสนใจเ้าหรอก!”
“มีธุระด้วยเหรอ? เ้าเพิ่งเดินทางกลับเมืองเตี๋ยฮวาก็รีบร้อนเข้าวัง คงมิได้มาด้วยเื่ของคนอัครเสนาบดีมู่กระมัง?”
“เื่ของคนอัครเสนาบดีมู่ยังมิต้องร้อนใจไป เปิ่นกงจู้ยังมีเื่สำคัญกว่าจะบอกเ้า” ฉู่ชิงเฉียงเล่าโดยลืมความเจ็บที่มู่อวิ๋นจิ่นปัดมือเมื่อครู่สิ้น
มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้มมองไปทางฉู่ชิงเฉียงอย่างสังเวช “ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรพูดคุยกันอีก มีเพียงดูแลตัวเองให้ดี อย่าพลาดพลั้งแล้วกัน แล้วเื่ที่องค์หญิงห้าจะคุยคือเื่ใด?”
ฉู่ชิงเฉียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไปที่หน้าตาที่เดียดฉันท์ของมู่อวิ๋นจิ่น
ทำไมกัน?
มู่อวิ๋นจิ่น เหตุใดเ้ามีจิตใจดีเช่นนี้ ฉู่ชิงเฉียงอุตส่าห์ส่งชายชุดดำไปฆ่านาง แต่นางกลับรักษาสัญญาที่ให้ไป
ยิ่งไปกว่านั้น เื่ระหว่างนางกับหรงิ่ยังมีเื่ใหญ่ที่สำคัญอยู่
“คำพูดของเ้าจริงหรือไม่?” ฉู่ชิงเฉียงรู้สึกแปลกใจ
“ข้าจะรักษาคำพูดที่ให้ไว้ให้นานที่สุด ขอให้องค์หญฺงห้ารักษาคำพูดเช่นกัน อย่างไรเสีย ในฐานะองค์หญิงซีหยวน หากมีเื่ชั่วแปดเปื้อน อาจกระทบความสัมพันธ์ของทั้งสองประเภท……”
สิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นเดินยิ้มอย่างสาแก่ใจไปทางสวนดอกเหมย
ฉู่ชิงเฉียงได้แต่ยืนมองกัดฟันกรอดๆ แววตาเคียดแค้นอยากกินเืกินเนื้อ จากนั้นยื่นมือไปหยิบดอกโบตั๋นที่กำลังบานสะพรั่งดอกหนึ่ง มาเด็ดกลีบออกทีละเล็กทีละน้อย หัวเราะอย่างชั่วร้าย “มีเพียงคนตายเท่านั้น ถึงจะพูดไม่ได้……”
……
เมื่อเดินมาถึงสวนดอกเหมย มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปทางตำหนักฉินไท่เฟย เห็นแม่นมชวีเห็นจึงเดินเข้าไปหา “พระชายาหกมาแล้วเพคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ “ไท่เฟยอยู่ในตำหนักหรือเปล่า?”
“่นี้ไท่เฟยสุขภาพไม่ค่อยสู้ดี นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงตลอด พระชายาตามบ่าวเข้าไปด้านในเถอะเ้าค่ะ” แม่นมชวีเดินนำทางไป
เมื่อย่างก้าวเข้าไปในห้องบรรทมส่วนตัวของฉินไท่เฟย กลับได้กลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว
“แค่กๆๆๆ” ฉินไท่เฟยที่เอาแต่นั่งนอนบนเตียง ไอขึ้นหลายครา สีหน้าซีดเซียวไร้เืฝาด
“ไท่เฟย พระชายาหกมาเยี่ยมแล้วเพค่ะ” แม่นมชวีเดินเข้าไปประคองหลังให้ฉินไท่เฟยนั่งขึ้นพิงพนัก
ฉินไท่เฟยพยายามให้หายใจให้โล่งที่สุด พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ในห้องจึงสั่งขึ้นว่า “พวกเ้าออกไปก่อน”
“เพค่ะ ไท่เฟย” แม่นมชวีพานางกำนัลคนอื่นออกไปจนหมด
ภายในห้องบรรทมจึงเหลือเพียงมู่อวิ๋นจิ่นและฉินไท่เฟย
พอฉินไท่เฟยเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยกมือชี้ไปทางเก้าอี้ “นั่งลงก่อน”
“ไม่ต้องหรอกเพค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นยืนดูฉินไท่เฟยป่วยด้วยอาการที่ค่อนข้างหนัก ในใจกลับเศร้าโศกไม่น้อย
“หลานมาที่นี่ มีเื่จะขอร้องอายเจีย[1]ใช่ไหม?” ฉินไท่เฟยยกชาขึ้นจิบแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ใช่แล้วเพค่ะ ฉินไท่เฟยรอบรู้ทุกอย่าง ดูท่าคงรู้ว่าอวิ๋นจิ่นมาขอร้องเื่ใดเพค่ะ”
“อายเจียไม่ชอบคำพูดที่มีอ้อมค้อมแบบนี้เลย ชอบจิ่นเอ๋อร์คนเก่า” ฉินไท่เฟยเอ่ย
“เมื่อก่อนจิ่นเอ๋อร์จริงใจกับคนที่ใจจริง ส่วนคนจอมปลอมไม่เคยไว้หน้า ไท่เฟยเห็นด้วยไหมเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นอมยิ้ม
ฉินไท่เฟยหัวเราะชอบใจ พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เ้าพูดได้ถูกต้อง”
“หลานกังวลเื่ที่ตระกูลฉินจะมาลอบเล่นงานลับหลัง ทำให้ท่านพ่อของหลานที่เป็อัครเสนาบดีมานานหลายปีต้องหยุดลง ในเื่ที่ว่าเป็ขุนนางน้ำดีหรือฉ้อฉลนั้น ไท่เฟยคงทราบเื่นี้ชัดเจนเพค่ะ”
“ไท่เฟยอยากช่วยเหลือฝ่าาให้แผ่นดินในอาณาจักรซีหยวนมั่นคงสถาพร หวังว่าไท่เฟยจะช่วยมิให้ถูกขุนนางฉ้อฉล ชั่วร้าย ทำตามอำเภอใจชอบใช่ไหมเพค่ะ”
“ไท่เฟยคงทราบดี ท่านพ่อของหลานจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่ออาณาจักรซีหยวน หากครั้งนี้ถูกตระกูลฉินโค่นล้มลง ตำแหน่งถัดไปที่ตระกูลฉินโค่นต้องไม่พ้นราชครูจ้วง ถึงตอนนั้นคงไม่มีผู้ใดจะเทียบอำนาจกับตระกูลฉินได้เพคะ ”
“หากเป็เื่จริง สถานการณ์ในราชสำนักจะเป็เช่นไรนั้น ฉินไท่เฟยจะนึกออกไหมเพคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นร่ายยืดยาวออกมารวดเดียว ทำให้ฉินไท่เฟยอึ้งจนบอกไม่ถูก จากนั้นไอกระแอมเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “อายเจียยังฟังไม่บอกแม้แต่น้อย ว่าเ้ามาขอร้องให้ช่วยเหลือ!”
“หลานไม่ได้ขอร้องไท่เฟย หลานเพียงวิเคราะห์สถานการณ์ที่เป็อยู่ให้ฟัง หากมองในมุมมองของคนจวนอัครเสนาบดีมู่และฉินไท่เฟยแล้ว ไท่เฟยกับหลานควรคิดถึงบ้านเมืองเป็หลักถึงถูกต้องเพคะ”
“ดังนั้น ฉินไท่เฟยไม่ควรอยู่เฉยปล่อยให้ขุนนางน้ำดีถูกใส่ร้ายป้ายสี ยิ่งไปกว่านั้นไม่ให้ขุนนางชั่วได้รวมตัวเป็กลุ่มใหญ่เพคะ”
“หึๆๆๆ ” ฉินไท่เฟยหัวเราะชอบใจ ยกมือขึ้นชี้มู่อวิ๋นจิ่น “อวิ๋นจิ่น เมื่อก่อนอายเจียดูเ้าผิดไปจริงๆ”
“แล้วตอนนี้ เห็นชัดเจนแจ่มชัดหรือยังเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นมองฉินไท่เฟยด้วยตาไร้ความหวาดกลัว
อันที่จริง การมาฉินไท่เฟยในครั้งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
“หลานอยากให้อายเจียทำยังไงบ้าง?” ฉินไท่เฟยนิ่งอยู่พักใหญ่ เอนตัวลงไปนอนดังเดิม แววตาสอดส่องไปด้านนอก
“ให้ฝ่าาถอนทหารที่เฝ้าจวนอัครเสนาบดีมู่ คืนความบริสุทธิ์ให้กับจวนอัครเสนาบดีมู่ และประกาศให้ใต้หล้าทราบว่าคนอัครเสนาบดีมู่บริสุทธิ์ผุดผ่องเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นบอกความในใจ
“ความ้าของหลานไม่น้อยเชียว” ฉินไท่เฟยเอ่ยปากพูด
มู่อวิ๋นจิ่นหันมองด้วยแววตาจริงจัง “เื่นี้ไม่รู้ว่าไท่เฟยจะสามารถช่วยได้ไหมเพคะ?”
“หลานกลับไปรอฟังข่าวดีจากอายเจียแล้วกัน” ฉินไท่เฟยไม่อยากบอกรายละเอียดให้นางฟัง
ในที่สุด ความตั้งใจของมู่อวิ๋นจิ่นในวันนี้ก็สำเร็จ นางรอประโยคนี้จากปากฉินไท่เฟยมานานแล้ว คราวนี้สามารถกลับได้เเล้ว
หลังจากนั้นฉินไท่เฟยที่พิงหัวเตียง ได้ะโเรียกแม่นมชวีเข้ามาหา
แม่นมชวีรีบกุลีกุจอเข้ามาทันใด “ฉินไท่เฟยมีเื่ใดเพคะ……”
“ประคองอายเจียขึ้นมาเกล้าผม แต่งตัว ประเดี๋ยวอายเจียจะไปเข้าเฝ้าฝ่าา” ฉินไท่เฟยยกแขนให้แม่นมชวีเข้ามารับ
“ไท่เฟย ร่างกายของท่าน……” แม่นมชวีเป็กังวลมิอยากให้ไป ทว่ามิอาจขัดคำสั่งได้
การป่วยหนักในครั้งนี้ เกิดขึ้นอย่างผิดปกติวิสัย
“อายเจียจะไปเข้าเฝ้าฝ่าาเพื่อปรึกษาหารือในเื่ที่สำคัญ อายเจียกลัวว่าหากไม่พูดตอนนี้ ต่อไปคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว” ฉินไท่เฟยเดินลงจากเตียง เลือกใส่ชุดกระโปรงสีแดงสด
จากนั้นไม่นาน ฉินไท่เฟยแต่งองค์ทรงเครื่องเป็ที่เรียบร้อย เดินฉายเดี่ยวโดยไม่ต้องให้ผู้ใดประคอง พร้อมกับถือคฑาทองประจำตำแหน่ง เดินไปพระที่นั่งหรงเสียง ด้วยท่าทางอ่อนช้อย งดงามเกินใคร
มู่อวิ๋นจิ่นที่แอบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ เห็นฉินไท่เฟยย่างเข้าไปอย่างสง่างาม ออร่าประกายรอบตัว จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็หันหลังเดินจากไป
……
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ สายลมพัดอ่อน มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ที่เรือนลี่เฉวียนในจวนองค์ชายหก แหงนหน้าผินจันทรา พลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะหินเบาๆ ด้วยความอดทนรอไม่ไหว
“คุณหนู คุณหนู……” จื่อเซียงรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ะโด้วยเสียงดีใจ “ฝ่าายอมถอนทหารและยกเลิกการกักบริเวณที่จวนอัครเสนาบดีมู่แล้วเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับทราบ แววตากลับนิ่งสงบ “เอาแต่ยกเลิกการกักบริเวณจะมีประโยชน์อะไร?”
“ฝ่าาได้ขอโทษอัครเสนาบดีมู่ ทั้งยังพระราชทานของล้ำค่ามิน้อยเป็การปลอบใจ โดยตรัสว่าเื่นี้เป็เพียงความเข้าใจผิดเองเ้าค่ะ”
“อีกอย่าง ฝ่าาตัดเงินเบี้ยหวัดของอดีตแม่ทัพฉินเป็ระยะเวลาสามเดือน!”
มู่อวิ๋นจิ่นค่อยยิ้มอย่างโล่งใจ พอนึกถึงเื่เมื่อสายที่เห็นฉินไท่เฟยดูไม่ค่อยให้ความสำคัญ จิตใจของนางกลับรู้สึกอธิบายไม่ถูก
[1] อายเจีย สรรพนามที่สนมระดับฮองเฮาและไท่เฟยใช้เรียกแทนตนเอง