องค์หญิงใหญ่กล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงเดินไปทางประตู ยามที่ผ่านเหยียนอู๋อวี้ นางพลันหยุดเดินอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ได้สตรีงามเลอโฉมไม่มีผู้ใดเทียบได้ เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูหน่อย”
เหยียนอู๋อวี้เมื่อถูกเรียกชื่อ นางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับองค์หญิงใหญ่
ทันทีที่องค์หญิงใหญ่สบตาสายตานาง นางพลันตกตะลึงชั่วขณะจนก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ดวงตานี้เหมือนกับคนผู้นั้นมาก ---- เมื่อนางมองใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน ความหวาดกลัวในใจนางพลันลดลงเล็กน้อย นางปกปิดความรู้สึกทันทีและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเป็หญิงงามล่มเมืองที่ไหน ใบหน้าหรือก็ธรรมดา ยังสู้เสด็จแม่ของข้าในครานั้นไม่ได้เลย”
เหยียนอู๋อวี้รีบก้มศีรษะยินยอมแต่โดยดี องค์หญิงใหญ่เพิกเฉยต่อนาง และพาซวี่หรงออกไปด้วยท่าทีหยิ่งทะนงตน
สีหน้าของไทเฮาแดงก่ำด้วยความโมโห
เมื่อครั้งที่นางอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง นางใช้รูปโฉมดึงดูดอดีตฮ่องเต้จนได้รับความโปรดปรานจากพระองค์จนกระทั่งมาอยู่ถึงจุดนี้ เื่ราวในอดีตนี้เคยเป็หนามตำใจนางมาโดยตลอด ยามนี้องค์หญิงใหญ่ดึงเื่นี้ขึ้นมาพูด ความเกลียดชังในใจนางจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ทำได้เพียงลุกขึ้นยืนตามแรงประคองของแม่นมซูแล้วเอ่ยกับเต๋อเฟยด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “อายเจียเหนื่อยแล้ว เื่ที่เหลือเ้าจัดการด้วย”
เต๋อเฟยตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อม รอจนกระทั่งไทเฮาเดินออกไป นางยืนตัวตรงมองกลุ่มนางสนมที่คุกเข่าอยู่ในลานหน้าตำหนักแล้วกล่าวว่า “เมื่อองค์หญิงใหญ่ทรงบอกออกมาแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ของขวัญจากองค์หญิงให้ทูตซวี่หรง เื่นี้เป็ความเข้าใจผิด กลับไปก็รบกวนน้องหญิงซูเฟยคืนสิ่งเหล่านี้ให้กับองค์หญิงใหญ่”
ฮวารั่วซีรู้สึกประหลาดใจเมื่อจู่ๆ เต๋อเฟยเรียกชื่อนาง คาดว่าองค์หญิงใหญ่เป็สตรีดุร้าย เต๋อเฟยไม่อยากไปจึงโยนเผือกร้อนชิ้นนี้ให้นาง เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงรู้สึกไม่พอใจทันทีและกำลังจะกล่าวปฏิเสธ ฉับพลันนางคิดถึงเื่เมื่อคืนที่นางรับปากไทเฮาว่าจะช่วยเต๋อเฟยทุกอย่าง นางจึงทำได้เพียงกลบความขุ่นเคืองไว้ในใจและพยักหน้าตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อม
เต๋อเฟยรู้สึกโล่งใจพลางเอ่ยอีกครั้งว่า “วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนกันเถิด” หลังเอ่ยจบจึงเดินนำออกจากเรือนเตี๋ยฟาง พร้อมกวาดสายตามองร่างไร้ิญญาของขันทีที่นอนอยู่บนพื้นพลางท่องว่า ‘อมิตาพุทธ’ ก่อนจะสั่งให้องครักษ์ลากขันทีทั้งสองไปฝัง
เมื่อทุกคนเห็นเต๋อเฟยเดินออกไป ทุกคนภายในลานกว้างพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีสาวใช้คอยประคอง ภายในใจยังคงรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ทางซูอิ่งรีบลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปประคองเหยียนอู๋อวี้ทันที นางเหลือบมองซูอิ่งแล้วพลันรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจเล็กน้อย กระนั้นนางยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด นางกำลังจะเตรียมออกไปจากเรือน ทว่าน้ำเสียงของฮวารั่วซีกลับดังมาจากด้านหลัง นางเดินตามมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี “น้องหญิง ไข่มุกนี้ล้ำค่ามากนัก นำมันกลับไปเถิด?”
การกระทำของฮวารั่วซีครานี้มีความนัยบางอย่างแอบแฝงชัดเจน ภายนอกทำตัวเป็คนดี ทว่าผู้อื่นจะคิดไปว่านางมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับทูตซวี่หรงจริงๆ
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเ็าภายในใจ ภายนอกเผยสีหน้าแปลกใจพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่เต๋อเฟยกล่าวว่าส่งสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดส่งกลับไปที่ตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ องค์หญิงใหญ่ยังบอกอีกว่าจะส่งกลับคืนเ้าของเดิมเอง หม่อมฉันคุกเข่าอยู่ไกลได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนักเพคะ”
ฮวารั่วซีใบหน้าแย้มยิ้มในใจขุ่นเคือง “ไข่มุกเป็ของพระราชทานจากฝ่าา ย่อมแตกต่างจากสิ่งของทั่วไปเหล่านี้ ดังนั้นพี่หญิงจึงอยากถามน้องหญิงว่า้านำมันกลับไปหรือไม่?”
เหยียนอู๋อวี้เหลือบมองสร้อยข้อมือด้วยสีหน้ารังเกียจพลางกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่คิดสนใจกับสิ่งของที่บุรุษโสมมผู้นั้นแตะต้อง หากพี่หญิงชอบมัน ก็ขอมอบให้พี่หญิง หม่อมฉันคิดว่าองค์หญิงใหญ่คงจะไม่รู้กระมัง น้องหญิงเห็นพี่หญิงห้อยไข่มุกห้าเม็ดที่คองดงามยิ่งนัก เพิ่มอีกสองเม็ดยิ่งสง่างามมากขึ้น หากไม่พอ หม่อมฉันยังมีอีกหนึ่งเม็ด กลับไปจะให้ซูอิ่งนำไปให้พี่หญิงนะเพคะ” หลังกล่าวจบ นางหยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะมองฮวารั่วซีแล้วยกยิ้มมุมปากครึ่งหนึ่งพลางกล่าวต่อ “ถือว่าเป็ของขวัญแทนคำขอบคุณพี่หญิงสำหรับบัวหิมะเทียนซาน”
เดิมทีฮวารั่วซี้าทำให้เหยียนอู๋อวี้ต้องอับอาย ไม่้าให้เหยียนอู๋อวี้พูดจาเฉียบคมจนลดคุณค่าของไข่มุกจนไร้ค่า หนำซ้ำยังลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุรุษผู้นั้นอีกด้วย นางโกรธมากเสียจนแทบอดกลั้นไม่อยู่ อยากจะเข้าไปดึงสร้อยคอของนางออก ทว่านางไม่สามารถแสดงท่าทีโกรธเคืองได้ ทำได้เพียงแย้มยิ้มแค่เปลือกนอก “น้องหญิงเกรงใจเกินไปแล้ว”
เหยียนอู๋อวี้มองท้องฟ้า นางแย้มยิ้มส่งให้ฮวารั่วซีพลางกล่าวว่า “เวลานี้น้องหญิงจะต้องกลับไปดื่มยาที่ตำหนักแล้วเพคะ ฝ่าากล่าวว่าจะส่งมาให้ใน่เย็นและยังมีรายการสำรับอาหารต้องส่งไปที่ห้องเครื่องอีกด้วย หม่อมฉันต้องขออภัยพี่หญิง น้องหญิงทุกท่าน” นางเอ่ยจบจึงถอนสายบัวคำนับทุกคนแล้วหันหลังกลับเดินจากไป
อู๋เจี๋ยอวี๋พ่นน้ำลายใส่หลังนาง พลางสบถด่าด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “เป็เพียงบุตรสาวเ้าเมือง วางท่าอันใดมากนัก พรุ่งนี้จะขอให้ท่านพ่อจัดการ ดูว่านางจะหยิ่งผยองได้อีกหรือไม่”
บิดาของอู๋เจี๋ยอวี๋มีตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งและเป็บุคคลสำคัญในราชสำนัก ย่อมไม่เห็นเ้าเมืองเล็กๆ อยู่ในสายตาอย่างแน่นอน ทว่าฮวารั่วซีทำไม่ได้ สถานะของนางเป็เด็กกำพร้า กล่าวให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นก็คือสถานะของนางยังเลวร้ายกว่าเหยียนอู๋อวี้มากนัก นางจึงเกลียดผู้อื่นที่หยิบยกสถานะของตระกูลขึ้นมาเปรียบเทียบ เมื่อได้ยินอู๋เจี๋ยอวี๋เอ่ยเช่นนี้ นางจึงรู้สึกร้อนตัวและโกรธอย่างยิ่ง นางชักสีหน้าบึ้งตึงเอ่ยว่า “อู๋เจี๋ยอวี๋ พวกเราล้วนเป็นางสนมของฝ่าา พวกเราควรสมัครสมานสามัคคี”
อู๋เจี๋ยอวี๋เหลือบมองฮวารั่วซีด้วยท่าทางประหลาดใจพลางคิดว่าที่นางเคารพนบนอบต่อฮวารั่วซีก็เพราะนางมีตำแหน่งที่สูงกว่าตัวนางเองในตำหนักหลัง ทว่ายามนี้อำนาจการดูแลตำหนักหลังของนางถูกยึดคืนไปแล้ว อีกทั้งความโปรดปรานของฝ่าายังไปอยู่ที่เหยียนเป่าหลินแล้วเช่นกัน นอกจากตำแหน่งพระสนมแล้ว ก็ไม่มีอันใดดีไปกว่านาง กล้าพูดจาตบหน้านางเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงเื่นี้ อู๋เจี๋ยอวี๋จึงตอบกลับด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเซียวเป่าหลินกลับก้าวมาข้างหน้า พร้อมคำนับนางด้วยท่าทีนอบน้อมให้เกียรตินาง “เพคะ หม่อมฉันจะจดจำคำสั่งสอนของซูเฟยเพคะ”
สีหน้าฮวารั่วซีอ่อนลงเล็กน้อย ครั้นเมื่อนางเห็นสิ่งของล้ำค่าบนถาด ความรู้สึกโกรธแค้นพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เดิมทีคิดว่าเหยียนอู๋อวี้ครั้งนี้ต้องตายอย่างแน่นอน ไม่คาดคิดว่านางจะดวงแข็งเช่นนี้ ใช้องค์หญิงใหญ่เป็เกราะกำบังจนรอดพ้นจากหายนะ ต่อไปคิดจะจัดการกับนางคงยากยิ่งขึ้น!
……
เมื่อเหยียนอู๋อวี้กลับไปที่ตำหนักเฟิ่งชัย ป้าโฉ่วจึงรีบให้คนอื่นๆ ออกไปทันทีและสั่งให้ซูอิ่งรออยู่ก่อน เดิมทีซูอิ่งคิดว่าเหยียนอู๋อวี้จะมีคำสั่ง ทว่าคอยอยู่นานกลับไม่เห็นนายหญิงเอ่ยสิ่งใด เพียงมองนางราวกับว่าเห็นนางเป็ครั้งแรก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดเหยียนอู๋อวี้จึงเอ่ยถามว่า “ซูอิ่งเ้า้าอันใด?”
ซูอิ่งเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสับสนงุนงง
เหยียนอู๋อวี้หยุดชั่วขณะพลางเอ่ยว่า “ต่อไปเ้าคิดจะทำการใด”
วันนี้เมื่อเห็นนางรีบเข้ามาช่วยชีวิตนาง หากบอกว่าเหยียนอู๋อวี้ไม่ใคงจะโกหก แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็สัญญาณเตือนบางอย่าง ทว่าเกราะป้องกันระแวดระวังที่มีต่อซูอิ่งกะเทาะออกไปหนึ่งชั้น ไม่ว่านางจะปกป้องนายหญิงของนางด้วยความจริงใจหรือเสแสร้งเพื่อ้าความเชื่อใจนั้น ทว่ายามนี้นาง้ากำลังคนจริงๆ ในตำหนักเฟิ่งชัยนางกับป้าโฉ่วเพียงสองคนรับมือยาก ไม่เช่นนั้นเมื่อศัตรูใกล้ยกดาบเข้ามาโจมตี นางจะเป็คนแรกในตำหนักเฟิ่งชัยที่ถูกโจมตี
ในเมื่อซูอิ่งแสดงท่าทีจริงใจของนางออกมาแล้ว นางก็ไม่อาจเพิกเฉยทำเป็ไม่เห็นได้เลย
เช่นเดียวกับที่นาง้าแก้แค้น ซ่งอี้เฉิน้ายึดอำนาจ ทุกคนย่อมมีสิ่งที่้า ซูอิ่งย่อมมีความ้าบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน การถามนางออกไปอย่างชัดเจนว่านาง้าอันใดจะทำให้การทำข้อตกลงง่ายขึ้นมาก
จิตใจซูอิ่งสั่นไหว นางเข้าใจความหมายของเหยียนอู๋อวี้ทันที นางขบคิดคำพูดในใจพลางเอ่ยว่า “บ่าว้าออกจากวังหลวงเ้าค่ะ”
เดิมทีเหยียนอู๋อวี้คิดว่านางจะเอ่ยบางสิ่งเช่นความซื่อสัตย์และความกล้าหาญเพื่อแสดงความภักดีของนาง ไม่คาดคิดว่านางจะตรงไปตรงมาเช่นนี้โดยไม่มีความหมายแอบแฝง ถือว่านางเป็คนฉลาดยิ่งนัก
“ออกจากวังหลวงหรือ?”
ซูอิ่งพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “สิ่งที่ซูอิ่ง้าคือการออกจากวังหลวงหลังจากอายุครบยี่สิบห้าปีเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ยามนี้เ้าอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกแปดปีก่อนที่จะครบ”
“แปดปี เวลานานพอควร” ซูอิ่งคล้ายจะซาบซึ้งใจ “เมื่อเข้ามาในวังหลวง ทุกที่มีแต่การวางแผนทำร้ายกัน นายหญิงสู้รบตบมือ บ่าวรับใช้ก็ต้องต่อสู้ด้วยเช่นกัน ซูอิ่งเพียง้าหลีกเลี่ยงจากภัยพิบัติ เมื่ออายุครบยี่สิบห้าปีก็จะสามารถออกจากวังหลวงและกลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านได้เ้าค่ะ”
นี่เป็ความปรารถนาเล็กๆ ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำให้ความปรารถนานี้เป็จริงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้