พอถึงโรงเตี๊ยมเจ็ดดวงดารา โถงกลางที่คึกคักเพราะเสียงพูดคุยก็เงียบสงัดลงทันใด
สายตาตกตะลึงจ้องมองหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ แม้่ระหว่างหลังจากจบงานประมูลพึ่งจะผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เื่ของพวกเขากับคนชุดดำนั้นสะพัดอย่างรวดเร็ว
สองม้ามืดที่ได้ของล้ำค่าสองชิ้นสุดท้ายไป เื่นี้เป็ที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โหยวเสี่ยวโม่ถูกเมินเฉยไปโดยปริยาย ทุกคนต่างจ้องมองแต่หลิงเซียว คุณชายผู้สง่างามท่านนี้ อย่างไรก็อ่านไม่ออกถึงพลังที่แท้จริงของเขา
หลิงเซียวหาได้สนใจสายตาพวกนี้ พลันหาที่นั่งว่างในห้องโถง
โหยวเสี่ยวโม่ผู้ติดตามก็เดินตามติดๆ แต่ทันใด เ้าของโรงเตี๊ยมที่เห็นพวกเขา จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยน นึกถึงเื่เมื่อคืนที่เกิดขึ้น เ้าหมอนี่มาอีกแล้ว…
“เถ้าแก่ ทำไงดี เขามาอีกแล้ว!”
พนักงานหน้ามุ่ย เขานั้นฝังใจกับโหยวเสี่ยวโม่มากกว่าเ้าของเสียอีก เพราะคนที่รับผิดชอบดูแลพวกเขาเมื่อคืนก็คือเขาเอง เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาถูกเรียกไปห้าหกรอบขึ้นๆ ลงๆ ตอนนั้นเกือบโดนเ้าของด่าตายก่อน
ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของเถ้าแก่ย่นขึ้น แล้วเอ่ย “เื่นี้ไม่ต้องห่วง งานประมูลจบลงแล้ว หากพวกเขาจะพักต่อ ก็ต้องจ่ายค่าห้องพักกับอาหารเอง”
“ใช่สิ!” พนักงานขานรับทันใด “งั้นต่อจากนี้ต้องทำไงขอรับ เขาดูเหมือนพวกกระเพาะใหญ่”
เถ้าแก่ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “กระเพาะใหญ่สิดี ต่อจากนี้เขาต้องสั่งอาหารเยอะแยะมากมาย เ้ารีบไป ยิ่งพวกเขาสั่งเยอะเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้กำไรเท่านั้น”
“เถ้าแก่หลักแหลมนัก!” พนักงานยกนิ้วให้ “ข้าน้อยจะรีบไปขอรับ”
กระนั้น เถ้าแก่กับพนักงานที่คิดว่าตัวเองฉลาด ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวล โดยเฉพาะพนักงาน ยกกาน้ำชาไปทางโหยวเสี่ยวโม่ด้วยท่าทีข้าจะต้องฟันกำไรจากเ้าให้ได้
“ท่านทั้งสอง วันนี้รับประทานอะไรดีขอรับ?” พนักงานรินน้ำชาให้พวกเขาอย่างนอบน้อม
โหยวเสี่ยวโม่ที่หิวโซหลังจากงานประมูลหลายชั่วยามเอ่ยด้วยท่าทีแข็งขัน “เอาเมนูที่อร่อยที่สุดและแพงที่สุดของโรงเตี๊ยมเ้ามา” แน่นอน นี่เป็เพราะเขามีเงินมากมายแล้ว
พนักงานหน้าตาดีใจ “ได้เลยขอรับ ลูกค้าเลือกได้ไม่ผิดเลย อาหารที่ดังที่สุดของโรงเตี๊ยมเจ็ดดวงดาราก็คือห่านฟ้าเมฆา แปดเซียนข้ามทะเล ปลาั ไม่ทราบว่ารับอย่างละกี่ที่ดีขอรับ?” เถ้าแก่พูดไว้ไม่ผิดเลย
“จานเดียว!” โหยวเสี่ยวโม่นิ้วชี้ขึ้น
ใบหน้ายิ้มแย้มของพนักงานนักนิ่งลงทันใด รีบถามต่อ “ท่านลูกค้า ท่านพอจะบอกอีกรอบได้ไหม ว่า้าอย่างละกี่จาน?”
“จานเดียว เยอะไปกินไม่หมดหรอก” โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเขาวางแผนอะไรมา เขาลืมสิ่งที่ทำไว้เมื่อคืนกับเถ้าแก่และพนักงานจนหมดสิ้น ตอนนี้เขาเป็เศรษฐีน้อยแล้ว เื่ที่ตัวเองเอาเปรียบเขาไว้ก็ทิ้งไว้ข้างหลังหมด รอวันไหนไม่มีเงินเขาคงคิดได้
พนักงานแทบร้องไห้ แม้สามจานนี้จะเป็อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่ แต่ก็ได้ไม่กี่ตังค์เอง อีกอย่าง คนนี้กระเพาะใหญ่ไม่ใช่หรือ สามจานก็กินอิ่มได้จริงหรือ?
พนักงานที่รู้สึกช็อกเดินกลับไปคุยกับเถ้าแก่เงียบๆ ท่าทีของเถ้าแก่ก็เหมือนกันเปี๊ยบกับพนักงาน มองไปทางโหยวเสี่ยวโม่อย่างขืนข่ม
โหยวเสี่ยวโม่เริ่มรู้สึกตัว เมื่อถูกทั้งสองจ้องนานสองนานจนเริ่มเป็กังวล “ศิษย์น้องเล็ก เ้าของนั่นทำไมเอาแต่จ้องข้าล่ะ?”
หลิงเซียวใบหน้าหล่อเหลาหลุดขำออกมา เ้าตัวลืมไปหมดแล้ว แต่เขายังไม่ลืม จากที่พนักงานหน้าชื่นมื่นเดินมาหาพวกเขาเมื่อครู่ เขาก็ดูออกแล้ว มุมปากกระตุกขึ้น “คงเพราะเ้าหน้าตาดีล่ะมั้ง”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดง ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงค่อย “จริงหรือเปล่า?”
หลิงเซียวเห็นท่าทีดีใจน่ารักนั่นถึงกับหลุดขำ เ้าหมอนี่ ยังคงทำให้เขาแปลกใจได้ทุกเมื่อ ช่างน่าสนุกจริงๆ!
“แน่นอน…จริงสิ”
โหยวเสี่ยวโม่มีความสุข ไม่ได้รับรู้ว่าถูกแกล้งแต่อย่างใด เพราะว่าเขาพึ่งเคยได้ยินคนบอกว่าเขาหน้าตาดีเป็ครั้งแรก ั้แ่ส่องกระจก เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูดีแม้แต่นิด เพราะหน้าตาเขาตอนนี้ไม่ได้ต่างจากตอนแรกเท่าไหร่ ดูทั่วๆ ไป ไม่ได้สวยหรือหล่อเกินไป แต่ก็ไม่ธรรมดาเกินไป แลดูสะอาดตามากกว่า
หลิงเซียวกลัวว่าตัวเองจะหลุดขำไปมากกว่านี้ จึงรีบมองไปยังทางอื่น
ขณะนั้นเอง ชั้นสองก็มีเสียงฝีเท้าตึงตังลงมาจากบันได ผู้คนต่างมองไปยังทิศนั้น เงาคนสวมชุดแดงโผล่ออกมา ซึ่งก็คือมู่เหยาจากพรรคเซียวเหยา คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ไป แถมยังอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีก หลายคนรอดูฉากสนุกอยู่
ท่ามกลางสายตาผู้คน มู่เหยาเดินตรงไปโต๊ะหลิงเซียว
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้าเห็นสาวงามคุ้นตายืนอยู่หน้าพวกเขา ด้านหลังสาวงามมีผู้เฒ่าหน้าตาขึงขัง พลันชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงปริปาก “พวกท่าน…มีเื่อะไรรึ?”
“คงไม่รังเกียจนั่งร่วมโต๊ะกันใช่มั้ย?” มู่เหยายิ้ม แม้รอยยิ้มไม่ได้เจิดจ้ามากนัก แต่ก็ดูอ่อนหวาน จากเดิมที่ดูดีอยู่แล้วก็ยิ่งสวยงาม
ไม่ทันที่โหยวเสี่ยวโม่จะได้เอ่ยอะไร รอบข้างก็มีเสียงซุบซิบ
มารสาวแห่งพรรคเซียวเหยานั้นขึ้นชื่อ คนแถวนั้นต่างรู้จักนาง และเพราะเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครเห็นนางยิ้มอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน ดูก็รู้ว่าผิดปกติ
โหยวเสี่ยวโม่แอบชำเลืองหลิงเซียวช้าๆ นี่มันสาวงามเชียวนะ แม้เขาจะอยากบอกว่าไม่รังเกียจ แต่เมื่อวานที่เขาบอกว่าชอบคำเดียวหลิงเซียวยังมีท่าทีน่ากลัวขนาดนั้น เขาจึงไม่กล้า สาวงามมีค่ามากก็จริง แต่ชีวิตมีค่ากว่า
คิดเช่นนี้แล้ว โหยวเสี่ยวโม่แกล้งกระแอมทีหนึ่ง จ้องมู่เหยาอย่างอ่อนน้อม “ขออภัย ไม่สะดวกนิดหน่อยขอรับ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เหยาเกือบหายไป สาวงามเช่นข้านั่งร่วมโต๊ะถือเป็การให้หน้าเ้ามากแค่ไหน กล้าปฏิเสธงั้นรึ แน่นอนว่านางกำลังพูดในใจ หากไม่ใช่ว่ามีจุดประสงค์แอบแฝง นางคงพลิกโต๊ะไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลจึงหยุดเสแสร้ง แล้วพูดกันตรงๆ “ข้ามีธุระอยากคุยกับท่านทั้งสอง”
ผู้เฒ่าเบ้ปากเบาๆ รู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่นิสัยคุณหนู
โหยวเสี่ยวโม่งุนงง น้องสาวคนงามไม่ได้มากินข้าวหรอกหรือ? “เหมือนว่า เราจะไม่รู้จักกันนี่นา”
มู่เหยาขำแล้วเอ่ย “ตอนนี้ก็รู้จักแล้วไง”
โหยวเสี่ยวโม่นึกไม่ออกว่าสาวงามผู้นี้อยากคุยอะไรกับพวกเขา อีกอย่างถ้าจะคุยก็ต้องคุยกับหลิงเซียว พลันรีบส่งสัญญาณให้เขา ‘ตาท่าน!’
หลิงเซียวได้รับสัญญาณ แววตาฉายชัยชนะ หรี่ตาลงอย่างเกียจคร้าน เอ่ยวาจานิ่มนวลอ่อนน้อม “ข้ารู้ว่าเ้าอยากคุยเื่อะไร แต่ขออภัย ไม่มีแล้ว”
มู่เหยาอ้าปากเหวอ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ชายผู้นี้ไม่มีความเกรงใจเอาซะเลย พูดจาตรงไปตรงมาแถมยังจี้จุดตรงเผง ถึงนางไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมาย แต่เล่นถูกปฏิเสธแบบนี้ ก็หงุดหงิดพอควร หากจากไปเพราะคำพูดแค่นี้ก็คงเสียชื่อนางมารแย่
“ท่านทั้งสองมีเงื่อนไขยังไง ว่ามาได้เลย” มู่เหยาข่มความโมโหที่ค่อยๆ ก่อตัวแล้วเอ่ยช้าๆ
โหยวเสี่ยวมองหน้านาง น้องสาวคนงามนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เื่
หลิงเซียวเดาออกแต่แรก แล้วเอ่ย “แม่นาง ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ขาย แต่มันไม่มีแล้ว”
แม้เขาจะพูดย้ำ แต่นางก็ยังไม่เชื่อ ของดีอย่างน้ำปราณนี้ ใครจะไม่เหลือไว้ให้ตัวเองเผื่อใช้ยามจำเป็บ้าง ดังนั้นนางจึงปักใจไม่เชื่อ
“ท่านทั้งสองคงมาที่เมืองฮุยจี๋เป็ครั้งแรกสินะ” มู่เหยากลอกตา จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำกับทั้งสอง “งานประมูลวันนี้พวกเ้าข้ามหน้าข้ามตาหอจี๋เล่อกับสำนักเซวี่ยซ่า แย่งไข่อ่อนปีศาจที่พวกเขาแก่งแย่งกัน จากวิธีการของพวกเขา ไม่มีทางปล่อยพวกเ้าไว้แน่ หากพวกเ้ายอมยกน้ำปราณให้ข้าขวดนึง ไม่สิ ครึ่งขวดก็พอ พรรคเซียวเหยาจะคุ้มกันพวกเ้าออกจากเมืองนี้เอง ว่าอย่างไร?”
หลิงเซียวท่าทีเมินเฉย โหยวเสี่ยวกลับสะดุ้งเล็กๆ
จากที่นางพูด หอจี๋เล่อและสำนักเซวี่ยซ่าตั้งใจลงมือกับพวกเขาขณะออกจากเมืองฮุยจี๋สินะ? นี่มันเื่ใหญ่ทีเดียว หากพวกนั้นมาฉกชิงจริง พวกเขามีกันแค่สองคน หรือที่จริงมีแค่คนเดียว
“ศิษย์พี่หลิง…” โหยวเสี่ยวโม่จ้องหลิงเซียว
หลิงเซียววางจอกน้ำชาที่ถือเล่นอยู่ในมือ จ้องมู่เหยาพลางยิ้มเล็กๆ “ข้อเสนอของเ้าน่าสนใจดี แต่อย่างที่ข้าบอกไป น้ำปราณน่ะหมดแล้วจริงๆ ถึงเ้าจะพูดดีแค่ไหน พวกเราก็ไม่มีของให้ แล้วเ้าจะรังควานพวกข้าต่อเพื่ออะไรกัน?”
มู่เหยาหน้านิ่งทันใด เมื่อนางพูดดีด้วยก็แล้ว แต่สองคนนี้ยังทำทีไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปพลัน ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็เช่นนี้ มู่เหยาขออวยพรให้ท่านทั้งสองโชคดี หากถูกฆ่าั้แ่ตอนออกจากประตูเมือง ถึงตอนนั้นอย่าได้เสียใจภายหลังเชียว!”
พูดจบ นางก็สะบัดหัวหันหลังจากไป ผู้เฒ่าอวิ๋นจ้องหน้าหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ก่อนเดินจากไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้