Chapter 9
Something in his eyes
“ไอศกรีมรสช็อกโกแลตน่ะอร่อยที่สุดแล้ว”
“มันเป็ยังไงหรอครับ”
เด็กหนุ่มหันมองคนโตกว่าที่กำลังเจื้อยแจ้วบรรยายรสชาติของของกินที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ปากบางอิ่มยามขยับนั่นน่ามองจนรู้สึกแปลก จูเลียนนิ่วหน้าในบางครั้งเพราะต้องสลับถือถังสังกะสีแสนหนักอึ้งที่ใส่น้ำจนปริ่มในมือ แฟรงค์อาสาว่าเขาจะเป็คนถือเอง แต่จูเลียนยืนกรานว่าอยากช่วย ในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ระหว่างกลับจากลำธารไปยังกระท่อมหลังเดิม
คนตัวเล็กกว่ายอมรับว่านี่มันเป็ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ จูเลียนปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทั้งลำบากและหนักหนาเอาการสำหรับเขา หากแต่บางสิ่งที่เขาอยากจะแลกเปลี่ยนนั้นมันสำคัญกว่า นั่นคือการซื้อใจและพยายามเข้าหาอย่างแยบยล ถ้าหากแฟรงค์เชื่อใจและไว้ใจเขาได้เมื่อไหร่ แน่นอนว่าสิ่งที่จูเลียนอยากจะรู้หรืออยากจะทำแบบที่คิดไว้ มันต้องสำเร็จแน่นอน
“ตอนวันหยุดฉันก็ได้ไปเที่ยวหลายที่มากเลยแหละ ฉันว่านายคงจะชอบนะถ้าได้ออกไป” จูเลียนพูดจบก็วางถังลงบนพื้นดิน หันมองใบหน้าของเด็กหนุ่มพบว่ามันดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน รอยยิ้มบางๆส่งกลับมาแทนคำตอบ รอยยิ้มนั้นมันแสนเย้ยหยันและดูถูกตัวเองเหลือคณา
“ผมคงไม่มีโอกาสนั้นหรอก แต่อย่างน้อยถ้าคุณได้ออกไปสักวัน ก็ฝากคุณเที่ยวเผื่อผมด้วยนะ” แฟรงค์ยกถังและเทรดน้ำที่ตักมาลงในแปลงผักอย่างชำนาญ จูเลียนยิ่งรู้สึกสงสารเขาจับใจ หากแต่ความรู้สึกแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ความสงสารอาจเหนี่ยวรั้งให้ตัดสินใจผิดพลาดได้หากวันหนึ่งจูเลียนได้ออกไปแบบที่แฟรงค์ว่า
“นายไม่อยากออกไปบ้างหรอ ถ้าเรา…”
“ผมคงทิ้งเขาไม่ได้ และก็คงจะไม่มีทางทิ้งได้หรอก เขาฉลาดกว่าเราหลายเท่า แค่ขยับตัวก็คงรู้แล้วว่าเราจะทำอะไร” แฟรงค์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไม่รอให้จูเลียนพูดจบ หลังมือปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากออก สบตากับดวงตากลม พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนและร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“อยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือน…”
“อะไรหรอ” แฟรงค์ขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็ห่วงเป็ใยจนอีกคนรู้สึกได้
“ไม่ ฉันสบายดี แค่รู้สึกอยากกินผลไม้น่ะ” จูเลียนพูดกลั้วหัวเราะ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มกว้างอย่างคลายกังวล
“ผมก็นึกว่าคุณรู้สึกไม่สบาย อยากกินผลไม้หรอ” จูเลียนพยักหน้ารับ สีหน้าครุ่นคิดของเด็กหนุ่มปรากฏเพียงครู่ สักพักก็หันมาสบตาและเอ่ยอย่างช้าๆ
“พอนึกออกแค่พุ่มเบอร์รี่ที่อยู่เลยลำธารไปอีก ถ้าไปตอนนี้คงไม่ทันพ่อกลับมาแน่ๆเลย” น้ำเสียงเขาดูเหมือนปฏิเสธและเป็กังวล หากแต่จูเลียนมีสีหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาแฟรงค์เองรู้สึกผิดไปด้วย และพยายามหาหนทางอื่นที่จะทำให้ความปรารถนาของคนตรงหน้าเป็จริงให้ได้
จูเลียนแสร้งทำไปแบบนั้น เหตุผลที่อยากจะกินอะไรพิสดารขึ้นมานั้นมันไม่ใช่เพราะความหิวหรอก แต่เขาอยากจะรู้ทางหนีทีไล่ในป่าที่แสนวกวนแห่งนี้มากกว่า เพราะไปไกลสุดแค่ลำธาร และเท่าที่ดูๆมามันก็ไม่ได้มีที่กำบังอะไรเลยให้พอจะซ่อนตัวหากคิดหนีเข้าสักวัน เพราะฉะนั้นการสอดส่องดูล่วงหน้าไปก่อนมันอาจเป็ประโยชน์แก่เขาในวันข้างหน้าเข้าก็ได้
“ถ้างั้นเราต้องรีบไปรีบกลับนะ” แฟรงค์ใจอ่อนแบบที่จูเลียนคิดไว้ไม่มีผิด คนโตกว่าเงยหน้าหันมายิ้มจนแก้มปริให้แก่เด็กหนุ่ม เขามองเพียงครู่ก็หลบตาและเดินหนีไปทันที ใจเต้นระส่ำไม่เป็จังหวะ มันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่เขาเองก็ไม่รู้ ความไม่ประสีประสาไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้เลย จูเลียนที่โตกว่าพอจะดูสถานการณ์ออก ได้แต่เดินตามเข้าไปในป่าเงียบๆ
ประตูกระจกผลักออกปรากฏร่างบางที่คุ้นเคย เจย์ลีนกวาดสายตาไปยังโต๊ะตัวเดิมก็พบว่าเ้าของโต๊ะผิวแทนนั่งอยู่ก่อนแล้ว แมททิวเงยหน้ามองและส่งยิ้มให้ เจย์ลีนพยักหน้ารับเบาๆ รู้สึกดีใจเล็กน้อยที่คนอื่นเองก็เริ่มจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาบ้างแล้ว ไม่ได้ดูต่อต้านมากเท่าตอนแรก
“อะไร” เดวิดเงยหน้ามองคนตัวเล็กที่ลากเก้าอี้มานั่งหน้าซื่อข้างๆเรียบร้อย แก้วกาแฟแบบที่ดื่มเมื่อวานคือที่มาของคำถาม คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจเ้าของใบหน้ากลมที่ยิ้มแป้นอยู่เอาเสียเลย
“ซื้อมาฝากไงครับ แบบเดียวกับที่คุณสั่งเมื่อวาน”
“ผมไม่…”
“รับเถอะนะครับ ถือว่าเป็น้ำใจของผมนะ” เจย์ลีนคะยั้นคะยอหน้าตาย นี่ถ้าสนิทกันมากกว่านี้มีหวังได้จับแขนเขาและเขย่าเบาๆด้วยแน่ๆ เดวิดส่ายหน้าอย่างระอา คว้าเครื่องดื่มบนโต๊ะแล้วกระดกรวดเดียวจนหมด กาแฟเย็นในแก้วหายวับเหลือเพียงน้ำแข็งเท่านั้น เจย์ลีนมองภาพที่เกิดขึ้นตาไม่กะพริบ
“พอใจแล้วนะ โอเคหรือยัง” คำถามและใบหน้ากวนประสาททำเอาเจย์ลีนอยากจะด่าเขากลับเหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้ แมททิวที่เห็นทุกอย่างอยู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความยียวนของเพื่อนร่วมทีม
“ก็ได้ ถ้างั้นเราจะไปหาคนที่แกะรอยโทรศัพท์ตอนไหนหรอ” คนตัวเล็กเอ่ยถามต่อทันที เดวิดปรายตามองเล็กน้อย เอกสารตรงหน้ายังอ่านไม่จบด้วยซ้ำ และไม่เคยอ่านจบสักวันั้แ่ร็อบโยนคดีนี้มา
“บ่ายนู่น เขาว่างตอนนั้น” ตาใสแป๋วที่รอคำตอบผลุบลงเล็กน้อยเมื่อมันไม่รวดเร็วดังคาด เจย์ลีนยกนาฬิกาหรูดูเวลาก็พบว่าอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะบ่าย
เดวิดมองอาการของคนข้างๆแล้วก็เหนื่อยใจ เนี่ยล่ะนะ ไม่อยากจะตัดสินหรอกว่าพอเป็ลูกคนรวยแล้วไอ้ประเภทอยากได้อะไรก็ต้องได้เนี่ยมันเป็กันหมด หากแต่ท่าทางของเจย์ลีนมันก็ฟ้องแบบนั้นจริงๆ คงจะถูกตามใจจนเคยและไม่รู้จักการรอคอยอะไรเสียเลย ไม่รู้หรือไงว่ามันต้องทำเป็ขั้นเป็ตอนเป็ระบบ อีกอย่างหมอนั่นที่จะแกะรอยให้ก็งานล้นมือยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“เร็วกว่านั้นไม่ได้หรอ” เสียงหวานเอ่ยแ่เบาเพื่อ้าร้องขอ นั่นมันยิ่งทำให้อีกคนหันขวับมองจ้องเขม็งทันที
“ทุกคนเขามีการมีงานต้องทำกันหมด ถ้าคุณอยากให้มันเร็วคงต้องไปบอกกับร็อบเองนะว่าให้ย้ายทีมทำงานซะ มีอย่างที่ไหนมาใช้งานทีมที่ยุ่ง สมองกลับ” เดวิดเอ่ยฉอดๆอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะใหญ่หรือสูงกว่า เพราะทุกคนแม้กระทั่งซาโตรุเองก็เห็นด้วยว่าที่ร็อบทำมันบ้ามาก ที่จริงกรมตำรวจมีแผนกสำหรับคดีคนหายอยู่แล้ว แต่เดาว่าร็อบคงไม่กล้าย่างกรายไปหน่วยนั้นสักเท่าไหร่ เห็นว่าไม่ค่อยกินเส้นกันนัก แต่ไม่ถูกกันเื่อะไรอันนี้ตัวเดวิดเองก็ไม่ได้รู้มากนัก
“ขอโทษครับ” ไม่ผิดหรอกเสียงแบบนี้ ใบหน้ากลมนั่นก้มลงมองมือตัวเองอย่างรู้สึกผิดเสียแล้ว เดวิดลอบถอนหายใจเบาๆ เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำจริงๆ ถึงจะไม่เด็กสักเท่าไหร่แล้วแต่ก็พอเข้าใจว่ามันคงจะเป็นิสัยของอีกคนที่พอโดนดุก็คอตกราวกับคนไร้กระดูก
“ระหว่างนี้คุณจะไปทำอะไรก็ไปทำก่อนเลย แล้วค่อยกลับมาเจอกัน”
“เงยหน้าสิครับจะก้มทำไม” เดวิดเอ่ยเสียงแข็ง คนตัวเล็กค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ ใครจะไปอยากเงยหน้ามองกันนะ ทั้งเสียงแข็งทั้งหน้าบึ้งแบบนั้นมันอึดอัดจะตาย
“รู้เื่มั้ยที่ผมบอก” แววตาที่แข็งกร้าวของที่ถามย้ำทำเอาเจย์ลีนเพียงพยักหน้ารับน้อยๆเท่านั้น พอเดวิดเห็นว่าคนอายุน้อยกว่ารู้เื่และเข้าใจตามที่บอกจึงหันหน้ากลับไปก้มอ่านเอกสารตามเดิม
“แล้วคุณจะไปตอนไหนผมจะรู้ได้ยังไง มีเบอร์ติดต่อมั้ยครับ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเสียงแ่ ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะขอเบอร์ส่วนตัวเขาหรอก กลัวว่าเขาจะไม่พอใจหรือหาว่าก้าวก่าย เดวิดดูเดาใจยากกว่าที่คิด แต่ถ้าหากไม่ขอไว้ก็กลัวว่าเขาจะเผลอทำงานจนลืมนัดที่ตกลงกันไว้ เจย์ลีนไม่อยากรอให้มันนานไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้เลยว่าจูเลียนเป็ยังไง โอกาสเป็ตายเท่ากันอย่างที่เดวิดเคยบอกกับเคนโตะไว้ไม่มีผิด มือเรียวของคนผิวแทนหยิบปากกาที่เสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อ ฉีกโพสอิทบนโต๊ะและเขียนยุกยิกก่อนจะยื่นให้คนข้างๆ
“ขอบคุณครับ ผมว่าจะแวะไปร้านก่อน” เจย์ลีนรับมาและลุกขึ้น เดวิดพยักหน้า ก้มลงอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อ เ้าของกลิ่นน้ำหอมฟุ้งหายวับไปช้าๆ ทว่ายังคงทิ้งกลิ่นหอมไว้พอให้รู้สึกอยู่นิดหน่อย
สมกับที่แมททิวมันว่าจริงๆว่าเขาเป็พี่เลี้ยงเด็ก เพราะเจย์ลีนอายุห่างกับเขาตั้งเกือบสิบปี แถมดูท่ายังจะมีนิสัยงอแงและเอาแต่ใจอยู่หน่อย เผลอๆอาจจะหัวรั้นซะด้วย แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อคนที่ดูเหมือนจะรู้จักจูเลียนดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพี่ชายฝาแฝดของเขานั่นแหละ เดวิดเองคงต้องยอมรับชะตากรรมตรงนี้ต่อไปอย่างหัวเสีย
ชายหนุ่มเดินวนภายในห้องนอนของตัวเองไปมาไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ จากโต๊ะทำงานถึงเตียงไปกลับเป็สิบกว่ารอบ เคนโตะอยู่ไม่นิ่งกับที่ราวกับหนูติดจั่นยังไงยังงั้น ความกังวลใจก่อมวลพื้นที่ในหัวเรียบร้อย มันกระวนกระวายใจไปหมดทุกอย่าง แต่ในใจเองก็ยังคงคิดอยู่ว่าควรจะบอกกับตำรวจไปตรงๆหรือไม่
ถ้าที่จูเลียนหายไปมันเป็เพราะการสืบคดีเื่นี้ เื่ที่เขาแอบเอาเอกสารพ่อมาอ่าน ถ้ามันเป็เพราะเื่นี้จริงๆก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากจูเลียนหายไปเื่อื่นล่ะ มันก็เท่ากับว่าเขาจะถูกพ่อว่าเอาทันที แต่สิ่งที่มากกว่านั้น มากกว่าการกลัวความผิดเลยมันก็คือความปลอดภัยของจูเลียน
ตอนที่เจย์ลีนมาบ้าน เขาไม่กล้าสบตาเลย เพราะแฝดพี่เหมือนกันกับจูเลียนทุกกระเบียดนิ้วแบบนั้น มันทำให้เขาคิดถึงคนตัวเล็กที่ชอบมาวอแวเหลือเกิน หายหน้าไปนานขนาดนี้จะเป็ยังไงบ้างก็ไม่รู้ เคนโตะกลุ้มใจจนบางครั้งเองก็พลอยรู้สึกแย่และมืดมนไปด้วย
ถ้างั้นก็คงต้องทำมากกว่าที่ไปทำมา ถามหากับเ้าหน้าที่แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นจูเลียน ครั้นจะเข้าไปหาในป่าเองก็ไปไม่ถูกแน่ๆ แต่ยังไงซะก็คงทิ้งไม่ได้ นั่นจูเลียนเลยนะ ยังไงเขาไม่มีวันทิ้งเด็ดขาด ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าต้องทำมันด้วยวิธีของตัวเอง ยังไงเขาก็ต้องตามหาจูเลียนอีกแรง เคนโตะคิดได้แบบนั้นก็ปรี่ตรงไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงทันที ก่อนจะกดโทรหาใครสักคนที่พอจะนึกออก
เสียงเหยียบย่ำไปบนผืนดินของเท้าทั้งสองคู่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย คนเด็กกว่าดูจะรีบร้อนให้ถึงที่หมายก่อนที่มันจะกลับมา จูเลียนมองแผ่นหลังกว้างที่เหงื่อเริ่มซึมแผ่เป็วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดรอบตัวลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น อากาศไม่ได้ร้อนจนเกินไปแต่ก็ทำเหงื่อตกได้พอสมควร
มันเลยลำธารเข้ามาลึกและไกลแบบที่แฟรงค์ว่า ยิ่งลึกเข้าไปมันก็ยิ่งรู้สึกว่ารอบข้างยิ่งอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ยังดีที่มีแฟรงค์มาด้วย ไม่งั้นมีหวังจูเลียนได้แห้งตายคาป่านี่แน่นอน เด็กหนุ่มหันมามองจูเลียนเป็ระยะ เพียงครู่ก็หันกลับไปและเดินต่อ ทว่าสักพักเขาก็หยุดชะงักลงจนคนตัวเล็กหัวชนกับแผ่นหลังเขาเต็มๆ
“หยุดทำไมหรอ มีอะไรหรือเปล่า” จูเลียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย สีหน้าแฟรงค์ดูเป็กังวลชอบกล
“ยังไม่ครึ่งทางเลย เรากลับกันมั้ย” ั์ตาสีมรกตดูกังวลอย่างชัดเจน ทว่าใบหน้าของจูเลียนที่ดูจะหงอยขึ้นมากะทันหันก็ทำเอาคนเอ่ยปากร้องของอย่างแฟรงค์ใจอ่อนยวบเหมือนเดิม คนตัวเล็กก้มหน้าหลุบมองต่ำ
“มาขนาดนี้แล้ว ฉันจะบอกเขาเองว่าฉันรบเร้านาย นะ นะแฟรงค์” ดวงตากลมช้อนมองจนคนตัวสูงใจสั่นไม่เป็จังหวะ ใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องละสายตามองทางอื่น หลายรอบแล้วนะวันนี้ ทำไมถึงรู้สึกอะไรแบบนี้กันนะ มันเป็ความรู้สึกที่ตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ามันเป็แบบไหน รู้แค่ว่ามันแปลกและในอกหวิวๆชอบกล
“ก็ได้”
เด็กหนุ่มตอบรับและเปลี่ยนจากเดินนำมาเป็เดินข้างๆแทน นั่นมันทำให้จูเลียนต้องพยายามลดการมองสอดสายตาไปรอบๆเพราะกลัวว่าแฟรงค์จะจับได้ เขาตั้งใจจะทำให้แฟรงค์ไว้ใจ แต่ยังไงเขาเองก็จะไม่มีทางไว้ใจแฟรงค์เด็ดขาด จูเลียนไม่ลืมและท่องไว้ในใจเสมอว่าแฟรงค์เป็พวกเดียวกับมันวันยังค่ำ เป็ถึงลูกชายยังไงก็ต้องเลือกพ่อมากกว่าคนแปลกหน้า เพราะงั้นจะทำอะไรชัดเจนและบุ่มบ่ามออกไปมันคงไม่ดีแน่
แต่จูเลียนก็พอจะสังเกตอะไรได้อยู่บ้าง มันมีทั้งทางแยกมากมาย บางครั้งก็เจอกับชะง่อนหินอันั์ที่สามารถจะบังแดดบังฝนได้ หรือท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่อาจสะดุดล้มเอาได้เหมือนกันเวลาต้องวิ่งหนี ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปจากที่นี่ แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ทางหนีทีไล่ไว้บ้างเผื่อเกิดอันตรายขึ้นมา เพราะเขาเองตัดสินใจแล้วว่าต้องล้วงข้อมูลจากเด็กหนุ่มข้างๆให้ได้ และต้องเอาไปเปิดโปงกับตำรวจให้สำเร็จ หรือแม้กระทั่งเขียนลงคอลัมน์ของตัวเองให้คนภายนอกได้รับรู้
ร่างเล็กยกแขนดูเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือก็พบว่าสิบเอ็ดโมงแล้ว ควักโพสอิทในกระเป๋ากางเกงเพื่อกดโทรหานายตำรวจปลายสาย ถามไถ่ให้แน่ใจว่าเจย์ลีนควรจะออกจากร้านเพชรตอนนี้เลยมั้ย
“ฮัลโหล คุณจะไปกี่โมงหรอครับ อ้าว ตายแล้ว ขอโทษครับ ครับ ขอโทษมากๆเลยนะครับ สวัสดีครับ”
เจย์ลีนกดวางสายอย่างรวดเร็ว ใบหน้ากลมชาวาบไปทั้งแถบ ลองตรวจเบอร์โทรให้แน่ใจอีกครั้งว่ากดถูกต้องหรือไม่ มันก็ถูกต้องตามที่เขาบอกทุกหลัก แต่ไหงกลายเป็ร้านอาหารเม็กซิกันไปซะได้ ปลายสายสำเนียงแปร่งหูรีบปฏิเสธทันที เจย์ลีนขอโทษขอโพยเป็การใหญ่ นี่เขาจดเบอร์ตัวเองผิดหรือตั้งใจจะแกล้งกันแน่นะ เห็นทีจะเป็อย่างหลังซะมากกว่า
ทันทีที่ผลักประตูกระจกเข้าไปในแผนก สีหน้าบึ้งตึงของคนมาใหม่ก็ทำเอาแมททิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เจย์ลีนมองหาคนเ้าปัญหาคนนั้นก็พบว่าเขาไม่อยู่ที่โต๊ะ ทำได้เพียงยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตู
“เขาไปนิติน่ะ เดี๋ยวสักพักคงมา คุณก็นั่งรอที่เดิมเลย” แมททิวว่า ขมวดคิ้วไม่หายเพราะร่างเล็กที่ปกติจะยิ้มแย้มกลับมีสีหน้าบึ้งตึงซะอย่างงั้น เจย์ลีนพยักหน้าเชิงขอบคุณเล็กน้อยหากแต่ใบหน้าก็ยังคงเป็ดังเดิม เห็นทีจะโมโหอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย หรือไอ้เดฟมันเล่นอะไรแผลงๆอีกหรือเปล่านะ
เจย์ลีนตรงไปยังเก้าอี้และนั่งลงตามที่แมททิวบอก กวาดสายตาไปรอบโต๊ะอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีเพราะก็เดาไม่ออกว่าเมื่อไหร่เดวิดจะกลับมา แต่ภาวนาขอให้เขามาทันบ่ายโมงเถอะ กระทั่งดวงตากลมสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่อยู่ตรงมุมโต๊ะทำงานด้านใน ร่างเล็กมองซ้ายมองขวาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆโดยไม่ให้แมททิวเห็นว่าเขากำลังแอบทำอะไร
มันเหมือนจะเป็เอกสารอะไรสักอย่างที่ถูกปากกาไฮไลท์ขีดไว้หลากสีสัน ดูจะเป็เอกสารที่เดวิดนั่งอ่านมาหลายวันแล้ว มือเรียวทำท่าจะเอื้อมไปหยิบ ทว่าเสียงผลักประตูเข้ามาก็ทำเอาร่างเล็กสะดุ้งและถอยกลับออกมานั่งที่ดังเดิม
เดวิดเดินมาพร้อมกับแฟ้มเล่มหนา ทันทีที่เจย์ลีนเห็นเดวิดก็หน้าหงิกทันทีเมื่อนึกถึงเื่ที่โทรผิดก่อนมาที่นี่ออก คนผิวแทนเมื่อเห็นว่าเจย์ลีนหน้างอแบบนั้นก็มั่นใจทันทีว่าเื่ร้านอาหารเม็กซิกันต้องมีคนติดกับแน่ๆ เขาตีสีหน้านิ่งและทำเป็ไม่รู้เื่ ทั้งที่จริงๆกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ถ้าใครได้มาเห็นหน้าของเจย์ลีนตอนนี้ก็คงจะต้องกลั้นหัวเราะแบบเขา เพราะคนตัวเล็กนั่นเชิ่ดปากบางอิ่มจนแทบจะติดกับจมูกมนอยู่แล้ว
นายตำรวจหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ เจย์ลีนนิ่วหน้าเล็กน้อยทันทีที่กลิ่นบุหรี่โชยเตะจมูกเขา
“ไหนคุณตำรวจคนนั้นบอกว่าคุณไปนิติไง ทำไมกลิ่นบุหรี่หึ่งแบบนี้” เดวิดเพียงปรายตามองคนที่กอดอกท่าทางเอาเื่ นึกขันอยู่ในใจว่าเหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งจะเรียนเื่ยาเสพติดแล้วเห่อเนื้อหาใหม่ อยากจะสอนคนแก่กว่าเกือบสิบปีขึ้นมาซะอย่างงั้น ดูทำท่าเข้าก็น่าขันไปกันใหญ่
“ผมจะไปไหนมันก็เื่ของผม หรือจะไปร้านอาหารเม็กซิกันมันก็เื่ของผมเหมือนกัน” เจย์ลีนเอียงคอขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างหนัก ตอนนี้แน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าคนคนนี้จงใจแกล้งเขาจริงๆด้วย มีอย่างที่ไหนแกล้งให้เบอร์ผิดแบบนี้ สมองมีปัญหาไปแล้วหรือยังไงกัน เจย์ลีนหัวเสียต่างจากเดวิดที่แทบหลุดขำแต่ก็ต้องตีสีหน้านิ่งทำเป็จริงจังไว้ก่อน
“และนั่นเขาชื่อแมท ไม่ใช่ตำรวจคนนั้น เขาแก่กว่าคุณหลายปี รู้ไว้ด้วย” เสียงแข็งที่แสร้งทำก็ส่งผลให้อ้อมกอดอกที่ท่าทางเอาเื่นั้นคลายออกทันที เจย์ลีนหันไปหาแมททิวและยิ้มแหยๆ แมททิวพยักหน้ารับ คนตัวเล็กรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย แต่นึกยังไงก็ยังไม่พอใจคนข้างๆนี่อยู่ดี มีอย่างที่ไหนเล่นอะไรไม่ถูกเื่
เจย์ลีนนั่งเงียบไม่พูดอะไรเหมือนกันกับเดวิดที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมาทำท่าครุ่นคิดโดยมีเจย์ลีนคอยสังเกตการณ์อยู่เสมอ เขาไม่รู้หรอกว่าเดวิดกำลังอ่านอะไร รู้แค่ว่าเดวิดกำลังปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจย์ลีนตัดสินใจทวงถามขึ้นมา
“คุณไม่ไปหาคนแกะรอยสัญญาณแล้วหรือไง” เดวิดไม่ตอบรับและนิ่งไปเลย เขาไม่ได้สนใจที่คนตัวเล็กพูดสักน้อย
“นี่” เจย์ลีนเอ่ยเรียกเบาๆ ไม่้ารบกวนคนอื่นอย่างแมททิวที่น่าจะกำลังอ่านเอกสารอยู่เช่นเดียวกัน
“นี่คุณ”
“เซ้าซี้จริงๆ” จนเดวิดยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาอย่างเสียไม่ได้
“ก็คุณไม่ตอบนี่ ถ้าตอบซะั้แ่ทีแรกก็จบแล้ว”
“ก็ดูนาฬิกาเอาสิว่ามันถึงเวลาแล้วหรือยัง เห็นมั้ยว่ายังไม่บ่ายโมงแบบที่ผมบอกไว้ด้วยซ้ำ” เดวิดตอบกลับเสียงแข็งแกมตะคอกด้วยความเหนื่อยหน่าย
เจย์ลีนยกนาฬิกาดูก็พบว่าจริงอย่างที่เขาว่า มันพึ่งจะเที่ยงด้วยซ้ำ สีหน้าสำนึกผิดปรากฏพร้อมรอยยิ้มแก้เก้อของคนเด็กกว่า เจย์ลีนก้มหน้างุดด้วยความอาย ขณะที่อีกคนส่ายหัวด้วยความระอา
“ทีนี้ช่วยอยู่เงียบๆ ผม้าสมาธิ” เจย์ลีนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก เวลาเขาจริงจังก็ดูจะมีหลายบุคลิกเหลือเกิน แถมบางครั้งยังดูดุจนน่ากลัวด้วย แต่ก็อาจจะจริงอย่างที่เขาว่า เจย์ลีนเองไม่เข้าใจการทำงานของตำรวจหรอกว่าทำอะไร ยิ่งเป็ฝ่ายสืบสวนคดีฆาตกรรมยิ่งแล้วใหญ่ คงจะไม่ได้ว่างมาคอยตามใจเขาแบบที่เดวิดพูดนั่นแหละถูกแล้ว คราวหน้าคงต้องสงบปากสงบคำมากกว่านี้
ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจไม่ช่วยขึ้นมาคงซวยหนักกว่าเก่า เพราะมันเท่ากับว่าเจย์ลีนต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้นายตำรวจคนอื่นฟังอีก แถมมันอาจจะต้องยืดเวลาไปนานอีก เขาปล่อยให้มันช้ากว่านี้ไม่ได้แน่ คนที่หายไปคือจูเลียน อีกครึ่งชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ ถึงแม้เจย์ลีนจะรู้ดีว่าแฝดน้องนั้นฉลาดและเข้มแข็งกว่าเขาเป็ไหนๆ แต่หากหายไปแบบไร้ร่องรอยขนาดนี้ก็วางใจไม่ได้อยู่ดี
“อร่อยมั้ย” เด็กหนุ่มเอ่ยถามระหว่างทางกลับไปยังกระท่อม จูเลียนที่กัดเบอร์รี่จนริมฝีปากแดงก่ำหันมาส่งยิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยแววตาเป็ประกาย
“คงต้องรีบเดินหน่อยนะ เดี๋ยวไม่ทันเขากลับมา” แฟรงค์กำชับอีกที เขาตลบชายเสื้อของตัวเองที่ใส่เบอร์รี่ไว้เป็จำนวนมาก เผื่อว่าจูเลียนจะอยากกินอีก
ดูท่าคนโตกว่าจะมีความสุขมากเหลือเกิน บางทีมันอาจคุ้มก็ได้ที่ยอมเสี่ยงโดนต่อว่าถ้าแลกกับการได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของจูเลียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงแบบนี้ เขาเองก็หาเหตุผลไม่ได้เช่นกัน แค่รู้ว่าตอนที่ช่วยกันเก็บเบอร์รี่จูเลียนดูจะเพลิดเพลินและชอบใจอย่างมาก แค่นั้นมันก็คงจะพอแล้วแหละมั้ง
เสียงหัวเราะและพูดคุยระหว่างทางเป็อันต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตาคู่หนึ่งกำลังมองจ้อง มันนั่งอยู่บนกองฟืนที่เรียงสุมกัน ปืนลูกซองประจำตัววางอยู่ข้างกาย มวนมะเร็งในมือที่คีบอยู่ปล่อยควันขาวลอยล่องราวกับม่านบดบัง คนทั้งคู่ยืนนิ่ง เบอร์รี่ที่เก็บมาแทบร่วงลงพื้น เสียงแข็งไม่แพ้แววตาเอ่ยขึ้น
“ไปไหนกันมา”