“กลอนนี้เ้าเป็คนเขียนเองหรือ” ฮองเฮาทรงหยิบบทกลอนของโม่เสวี่ยิ่ขึ้นมา พระขนงมุ่นขมวด แท้จริงแล้วพระนางไม่โปรดบทกวีที่สื่อความหมายถึงความทุกข์ระทมของหญิงสาว ซึ่งหาใช่สิ่งที่คุณหนูในห้องหอคนหนึ่งควรพร่ำรำพันผ่านบทกวี
“กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันเป็ผู้เขียนเองเพคะ” โม่เสวี่ยิ่ซ่อนรอยยิ้มลำพองใจที่เกือบปรากฏออกมาทางริมฝีปาก ก้มศีรษะตอบคำถามอย่างนอบน้อม กลอนบทนั้นนางชอบั้แ่ได้อ่านครั้งแรก รู้สึกััได้ถึงอรรถรสและอารมณ์ความรู้สึกอย่างดีเลิศ คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทรงมองเห็นคุณค่า ไหนเลยจะไม่รู้สึกกระหยิ่มใจ
“อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ กลับรำพันถึงความโศกเศร้าทุกข์ตรม คงจะผ่านชีวิตที่ขื่นขมมาสินะ สตรีในห้องหอของสกุลสูงไหนเลยจะมีปมในใจมากมายปานนั้น” ฮองเฮาตรัสเสียงเรียบ แล้ววางบทกวีลงบนโต๊ะด้านข้าง ซูกุ้ยเฟยเอื้อมมือมาหยิบไปอ่าน หลังจากนั้นก็มองโม่เสวี่ยิ่ที่กำลังหน้าจ๋อยเพราะถูกฮองเฮาตำหนิ แล้วยิ้มกล่าวกับนางด้วยแววตาอ่อนโยน
“กลอนบทนี้เขียนได้ดีจริงๆ มิน่าเล่าเหล่าซื่อจื่อและคุณชายทั้งหลายต่างยอมรับ เด็กๆ ให้รางวัล”
นางกำนัลยกกล่องเครื่องประดับใบหนึ่งเดินมาจากด้านหลังของซูกุ้ยเฟย ถึงยังไม่เห็นว่าภายในคือสิ่งใด แต่มองจากความหรูหรางดงามที่เห็นจากภายนอกก็ทราบได้ว่าต้องเป็ของล้ำค่า
ทว่าโม่เสวี่ยิ่ไหนเลยจะกล้ารับ เมื่อครู่ฮองเฮาทรงเพิ่งวิจารณ์ว่าบทกลอนของนางไม่เหมาะสม ขัดต่อจารีตอันดีงาม ซูกุ้ยเฟยกลับประทานรางวัลให้ นี่เป็การยืมมือตนเองตบพระพักตร์ฮองเฮาชัดๆ โม่เสวี่ยิ่หรือจะกล้าเหิมเกริม
ดังนั้นจึงคุกเข่าตัวสั่นงันงกไม่กล้าตอบว่าจะรับหรือไม่
“คุณหนูใหญ่สกุลโม่ เชิญรับรางวัล” นางกำนัลเห็นอีกฝ่ายทำเฉยจึงขึ้นเสียงเล็กน้อยอย่างรำคาญใจ นางเป็สาวใช้ประจำตัวของซูกุ้ยเฟย ย่อมกระจ่างใจว่าเ้านาย้าฉีกพระพักตร์ฮองเฮาต่อหน้าธารกำนัล ข้ารับใช้ในวังหลวงทุกคนย่อมตระหนักดีว่าทั้งซูกุ้ยเฟยกับฮองเฮาล้วนเป็เ้านายที่รับมือยากยิ่ง แม้ว่าฮองเฮาจะสูงส่งด้วยยศศักดิ์แต่ไร้พระโอรส องค์ชายใหญ่ผู้มีจริยวัตรดีงามเป็พระโอรสที่จักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงให้ความสำคัญ ซูกุ้ยเฟยก็ได้รับความโปรดปรานมายาวนาน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ฝ่ายไหนย่อมไม่อาจล่วงเกินได้
“ช้าก่อน... เสด็จแม่ยังไม่ทันออกโอษฐ์ว่าจะพระราชทานสิ่งใด พระสนมจะรีบร้อนประทานรางวัลไปไย รอฟังการตัดสินพระทัยของพระองค์ก่อนเถิด ถึงเวลาเสด็จแม่พระราชทานรางวัล พระสนมค่อยมอบให้นางพร้อมกันก็ได้” องค์หญิงห้าสังเกตเห็นสีพระพักตร์ฮองเฮานิ่งขรึม พลันแย้มริมฝีปากหัวเราะเสียงเบา ก่อนเอ่ยวาจาแทรกขึ้นอย่างเฉลียวฉลาด โม่เสวี่ยิ่จึงพ้นจากสถานการณ์ลำบากได้อย่างหวุดหวิด
การที่ซูกุ้ยเฟยทั้งกล่าวตัดหน้าและประทานรางวัล ทั้งที่ฮองเฮายังไม่มีพระราชเสาวนีย์ นับเป็การิ่พระเกียรติต่อหน้าเหล่าฮูหยินและคุณหนูจำนวนมาก แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น ผู้มีฐานะเป็ถึงพระอัครเทวีเช่นนางก็ไม่อาจให้ใครเปิดโปงต่อหน้าธารกำนัลได้เช่นกัน หากคำพูดขององค์หญิงห้าล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิ ไหนเลยจะเป็ผลดี
ดูท่าองค์หญิงห้าที่เหมือนไม่มีพิษมีภัยพระองค์นี้จะรับมือยากกว่าพระอัครมเหสีมากนัก
แม้ซูกุ้ยเฟยจะวางตัวเหิมเกริม แต่ก็ไม่กล้าหลู่พระเกียรติฮองเฮาต่อหน้าเหล่าฮูหยินและคุณหนูทุกคนอย่างแท้จริง หลังถูกองค์หญิงห้ากล่าวถึงการกระทำอันไม่เหมาะสมของตนเองอยู่กลายๆ ก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงห้ากล่าวถูกต้องแล้ว หม่อมฉันใจร้อนไปเอง คิดแต่จะประทานรางวัลแทนฮองเฮา จนลืมนึกไปว่านี่เป็การเสียมารยาทยิ่ง ฮองเฮาคงไม่ถือโทษหม่อมฉันกระมังเพคะ”
ซูกุ้ยเฟยหันไปหาฮองเฮา พลางแสดงท่าทางอ่อนหวานชดช้อย อ้างว่าพลั้งล่วงเกินเพราะความหวังดี
นายหญิงแห่งวังหลังได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าไม่อาจกระทำสิ่งใดต่อสตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ได้ จึงไม่มีอารมณ์กล่าวถึงบทกวีอีกต่อไป ทั้งยังรู้สึกว่าโม่เสวี่ยิ่กับซูกุ้ยเฟยต่างเป็สตรีประเภทนางจิ้งจอกยั่วสวาทไม่ต่างกัน บทกลอนที่เขียนสื่ออารมณ์เปล่าเปลี่ยวเยี่ยงนั้นยังชื่นชมอยู่ได้ จึงตรัสเสียงเย็นเยียบ “พระสนมซูโปรดปรานคุณหนูใหญ่สกุลโม่ถึงเพียงนี้ เปิ่นกงจะว่าอันใดได้เล่า ในเมื่อถูกใจไม่สู้ให้เปิ่นกงออกหน้าพระราชทานสมรสระหว่างนางกับฉู่อ๋องดีหรือไม่ ฉู่อ๋องก็อายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังไม่มีชายาอย่างเป็ทางการ หากแต่งคุณหนูใหญ่สกุลโม่เข้าไป จะได้ช่วยปรนนิบัติฉู่อ๋อง และดูแลจัดการเรือนหลังด้วย”
ยกโม่เสวี่ยิ่ให้ฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียน เพียงเพราะนางแต่งกลอนได้ดี?
ทั้งงานเลี้ยงต่างเงียบกริบ
โม่เสวี่ยิ่ที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าฮองเฮานิ้วมือสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น หัวใจลิงโลดจนแทบะโออกมา ไม่คิดว่าการเข้าวังครานี้จะมีเื่น่ายินดีเหนือความคาดหมาย จู่ๆ โชคก็หล่นทับโดยไม่ต้องลงแรงมากมาย เกือบอดใจไม่ไหวลั่นวาจาขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณอย่างอดใจไม่ไหว
พระราชดำรัสของฮองเฮาเื่นี้แม้แต่ซูกุ้ยเฟยยังตะลึงงัน แต่กลับไม่คิดค้าน บัดนี้โม่ฮว่าเหวินเป็ขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิ หากให้บุตรสาวของเขาแต่งเข้ามาในจวนอ๋องก็เป็ความคิดที่ไม่เลว ธิดาที่เกิดจากอนุภรรยาได้เข้ามานั่งตำแหน่งอนุชายาขององค์ชายย่อมนับว่าเป็เกียรติ ต่อไปสกุลโม่ย่อมยืนอยู่ข้างโอรสของตนและกลายมาเป็กำลังสนับสนุนงานใหญ่ในภายภาคหน้า
เฟิงเจวี๋ยเสวียนแยกจวนออกไปแล้ว ในแคว้นต้าฉินองค์ชายหรืออ๋องพระองค์ใดที่แยกจวนออกไปอยู่นอกวังสามารถแต่งชายาเอกได้หนึ่งคน ชายารองสองคน อนุชายาอีกสี่คน รวมไปถึงอนุภรรยาที่มีฐานะสูง และอนุบ่าวอีกตามสมควร แต่จะมีเพียงตำแหน่งชายาเอก ชายารองและอนุชายาที่สามารถขึ้นทำเนียบของราชวงศ์ได้ และเป็ที่ยอมรับในฐานะสมาชิกราชวงศ์อย่างแท้จริง สถานะของโม่เสวี่ยิ่เดิมทีก็ไม่สูงส่ง หากสามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งอนุชายาในจวนฉู่อ๋องได้ นั่นนับเป็การยกฐานะของนางให้สูงขึ้นแล้ว โม่ฮว่าเหวินย่อมมีหน้ามีตาไปด้วย
เมื่อเห็นซูกุ้ยเฟยไม่มีเสียงคัดค้าน ฮองเฮาซึ่งตรัสด้วยพระอารมณ์ชั่ววูบพลันนึกเสียใจเล็กน้อย โม่ฮว่าเหวินรับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทมาโดยตลอด นับได้ว่าเป็ขุนนางคนสนิท เมื่อก่อนแม้ว่าตำแหน่งราชการของเขาจะเป็เพียงขุนนางชั้นผู้น้อย แต่กลับถืออำนาจที่แท้จริง หากปล่อยให้บุคคลผู้นี้ตกไปอยู่ในมือของเฟิงเจวี๋ยเสวียน ย่อมไม่เป็ผลดีต่อเฟิงเจวี๋ยเหล่ย
แต่วาจาตรัสออกไปแล้ว เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่ขัดข้อง พระนางจะคืนคำได้อย่างไร ขณะที่กำลังฝืนพระทัย เตรียมออกพระราชเสาวนีย์พระราชทานสมรส...
“ทูลฮองเฮา กวีบทนั้นคุณหนูใหญ่สกุลโม่มิได้เป็ผู้แต่งเพคะ แต่เป็ผลงานของพี่ชายหม่อมฉัน” น้ำเสียงที่เจือไปด้วยโทสะเข้มข้นลอยมาจากด้านหลัง
ผู้คนต่างขยับกายเปิดทางให้ซือหม่าเหอเยี่ยนเดินออกมาจากด้านหลัง เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ก็คุกเข่าคารวะด้วยความนอบน้อม ทันทีที่คำกล่าวนี้หลุดออกมาจากริมฝีปาก ทั้งเหล่าภรรยาขุนนางและคุณหนูทุกคนต่างอึ้งงัน หลังจากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์พลันดังกระหึ่ม หากไตร่ตรองตามความหมายที่แฝงอยู่ กลับไม่แปลกที่พวกนางจะตื่นตะลึงเยี่ยงนั้น
แม้ยังไม่กล่าวเื่การแอบอ้างบทกลอนของผู้อื่นว่าเป็สิ่งน่าละอาย ลำพังแค่เอ่ยถึงว่าหญิงสาวในห้องหอคนหนึ่งจะเข้าไปถึงห้องหนังสือของบุรุษได้อย่างไรก็ชวนให้คิดมากแล้ว แม้ว่าสกุลโม่กับสกุลซือหม่าจะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่มิได้ดีถึงขั้นที่คุณหนูสกุลโม่จะเข้าออกห้องหนังสือของซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็การส่วนตัวได้ หากตรองอย่างละเอียด นี่มิใช่เพียงเื่ขโมยบทกวีของผู้อื่น แต่เป็การแอบคบหากันระหว่างชายหญิง
อีกทั้งเื่นี้ยังเกิดกับโม่เสวี่ยิ่ที่มีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด หากทุกคนไม่นึกประหลาดใจถึงจะเป็เื่แปลก
“ที่เ้าพูดมาเป็เื่จริงหรือ” พระพักตร์ฮองเฮานิ่งขรึมในฉับพลัน เบื้องลึกดวงตาเผยแววยิ้มย่อง เมื่อครู่ซูกุ้ยเฟิยเพิ่งออกปากประทานรางวัล จู่ๆ มาเกิดเื่เช่นนี้ย่อมหนักยิ่งกว่าการถูกหักหน้าเสียอีก หางตาชำเลืองไป เห็นอีกฝ่ายโกรธจัดหน้าดำหน้าแดงก็รู้สึกสบายใจยิ่ง
“คำพูดของหม่อมฉันทุกคำล้วนเป็ความจริงเพคะ” ซือหม่าเหอเยี่ยนตอกตะปูนิ่มลงไป
“ทูลฮองเฮา หม่อมฉันถูกปรักปรำเพคะ หม่อมฉันอยู่แต่ในเย้าเรือน แม้แต่ประตูจวนเจิ้นกั๋วโหวก็ยังมิเคยย่างเหยียบ แล้วจะแอบขโมยบทกลอนของซือหม่าซื่อจื่อมาได้อย่างไร หากไม่ทรงเชื่อสามารถไปตรวจสอบจากทั้งสองจวนได้ ว่าหม่อมฉันเคยไปจวนเจิ้นกั๋วโหวหรือไม่” แรกเริ่มโม่เสวี่ยิ่ร้อนใจจนลนลาน บัดนี้เมื่อจิตใจสงบลงก็เงยหน้าขึ้น กล่าวทั้งน้ำตาสีหน้าระทมราวกับได้รับความไม่เป็ธรรม
นางมีรูปโฉมงดงามอ่อนหวาน เมื่อแสดงท่าทางคล้ายถูกคนใส่ร้าย ดวงตาเต็มไปด้วยความจริงใจ จึงชวนให้คนรู้สึกเห็นใจมากกว่าซือหม่าเหอเยี่ยนที่มีท่าทางแข็งกระด้างคุกคามผู้อื่น คนส่วนใหญ่จึงเริ่มผงกศีรษะคล้อยตาม ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวสุขภาพไม่แข็งแรง คุณหนูต้องรับใช้อยู่ข้างเตียง ในบ้านจึงไม่เคยจัดงานเลี้ยง เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนไม่มีผู้ใดเคยไปจวนเจิ้นกั๋วโหว นี่เป็เื่ที่รู้กันถ้วนทั่ว แล้วโม่เสวี่ยิ่จะมีโอกาสเข้าไปถึงห้องหนังสือของซือหม่าหลิงอวิ๋นได้อย่างไร
เมื่อเห็นทุกคนเริ่มเอนเอียงเห็นใจโม่เสวี่ยิ่ ซือหม่าเหอเยี่ยนก็ร้อนใจ แย้งขึ้นทันที “นั่นเป็กลอนที่พี่ชายหม่อมฉันแต่งขึ้นจริงๆ เพคะ ในห้องหนังสือมีหนังสือรวบรวมบทกลอนอยู่เล่มหนึ่ง ในนั้นมีบทกวีนี้อยู่ด้วย หากไม่ทรงเชื่อ ให้คนไปนำมาตรวจสอบได้”
ซือหม่าเหอเยี่ยนย่อมรู้แจ้งแก่ใจกว่าใคร เพราะกลอนบทนี้นางเป็ผู้เขียนขึ้นเอง แล้วจะจำผิดได้อย่างไร
“คุณหนูซือหม่า ข้าไม่รู้ว่าตนเองเคยล่วงเกินสิ่งใดต่อเ้า จึงมากล่าวหากันเช่นนี้ เห็นอยู่ว่าข้าเป็ผู้แต่งกลอนบทนี้ชัดๆ ไฉนจึงกลายเป็ของพี่ชายเ้าไปได้เล่า ยามนี้เขายังอยู่บนเกาะฝั่งตรงข้าม คุณหนูไม่ต้องทำสิ่งใดให้ยุ่งยาก เพียงแค่ไปตามซื่อจื่อมาสอบถามก็เพียงพอ” โม่เสวี่ยิ่ขบริมฝีปาก ดวงตาคู่งามคลอด้วยหยาดน้ำตาดูน่าสงสาร จ้องซือหม่าเหอเยี่ยนเยี่ยงสายตาของคนที่ถูกใส่ร้ายเจือไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
โม่เสวี่ยิ่ร้อนตัวแล้ว... โม่เสวี่ยถงซึ่งยืนแทรกอยู่ท่ามกลางฝูงชนก้าวถอยไปด้านหลัง หลุบตาลงเล็กน้อย ซ่อนแววเยาะหยันไว้ภายใต้เบื้องลึก
ซือหม่าเหอเยี่ยนไม่มีหัวคิด แต่โม่เสวี่ยิ่เชื่อว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่มีทางทำเื่โง่งมเยี่ยงนี้เด็ดขาด คิดไม่ถึงว่าเื่ที่นางวางแผนใส่ร้ายโม่เสวี่ยถงยังไม่ทันเกิดขึ้น กลับมีเหตุการณ์พลิกผันกับตนเองเสียก่อน เพิ่งดีใจที่จะได้แต่งเข้าจวนฉู่อ๋องได้ไม่นาน ยามนี้กลับมีคนยกเื่ลักลอบพบปะบุรุษมาทำลายชื่อเสียง เป้าหมายอยู่แค่เอื้อมแท้ๆ แต่กลับถูกผลักตกลงมาจากที่สูง แล้วจะไม่ให้โม่เสวี่ยิ่แค้นเคืองซือหม่าเหอเยี่ยนจนแทบคลั่งได้อย่างไร
ไฉนซือหม่าเหอเยี่ยนจึงไร้สมองถึงเพียงนี้ ถึงทำนางเสียหน้าก็ใช่ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจะได้หน้า แต่การถูกสตรีโง่งมบีบบังคับจนต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคือสิ่งที่โม่เสวี่ยิ่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตนเอง
หากเื่นี้แดงขึ้นมา นางยังจะแต่งให้ใครได้อีก เกรงว่าแม้แต่ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไปยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำ
ถามพี่ชายหรือ? ซือหม่าเหอเยี่ยนไม่คิดว่าเป็ความคิดที่ดี นางรู้แก่ใจว่ากลอนบทนั้นตนเองเป็ผู้เขียน แม้ว่าจะบันทึกอยู่ในหนังสือรวบรวมบทกลอนของเขา แต่คนที่ไม่รักในบทกวีอย่างพี่ชายคงไม่อ่านแน่นอน อาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีกลอนบทนี้อยู่ในสมุดบันทึก แต่เมื่อโม่เสวี่ยิ่อ้างมาเช่นนี้นางก็ไม่อาจทัดทานได้เช่นกัน หากกลอนบทนี้เขาเป็ผู้เขียนกับมือไยจะจำไม่ได้เล่า
“เด็กๆ ไปตามซือหม่าหลิงอวิ๋นมาที่นี่” ฮองเฮามีรับสั่งทันที เื่นี้มีความไม่ชัดเจนเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง เมื่อไม่อาจตัดสินได้ก็ต้องเรียกซือหม่าหลิงอวิ๋นมาสอบถามให้กระจ่าง
ไม่ช้าซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ถูกพาตัวมา โดยมีขันทีสองสามคนติดตามอยู่ด้านหลัง ฮูหยินที่สายตาเฉียบคมย่อมมองออกว่ามิใช่ขันทีที่ออกไปเมื่อครู่ พวกเขาทั้งสามต่างคนต่างเดิน ดูก็รู้ว่าต้องเป็คนของท่านอ๋องทั้งสามที่ส่งมาฟังข่าว
“ซือหม่าหลิงอวิ๋น กลอนบทนี้เ้าเป็ผู้เขียนขึ้นมาหรือ” หลังจากซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาถวายบังคม นางกำนัลข้างพระวรกายฮองเฮาก็ยื่นกระดาษที่เขียนบทกลอนส่งให้ ก่อนที่พระนางจะตรัสถาม
เกิดเื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ทุกคนบนเกาะฝั่งซ้ายต่างทราบเื่กันแล้ว ซือหม่าหลิงอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าน้องสาวของตนเองจะมีปัญหากับโม่เสวี่ยิ่ ระหว่างพวกนางจะต้องมีคนที่เป็ฝ่ายถูกและฝ่ายผิด เขาเองยังไม่รู้ว่าต้องช่วยเหลือผู้ใด ในขณะที่กำลังคิดหาทางรับมือ คนของฮองเฮาก็มาถึง
หากถามว่ากลอนบทนี้เขาเป็ผู้เขียนขึ้นหรือไม่ เขาไม่กล้ายอมรับจริงๆ ด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ของท่านอ๋องทั้งสามก่อนหน้านี้ทำให้เหล่าคุณชายจำนวนมากนึกสนุก อยากเห็นว่าคุณหนูที่แต่งกลอนบทนี้คือผู้ใด มิเช่นนั้นแล้วจะมีคนลงคะแนนเสียงให้อย่างล้นหลามเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเองก็เป็หนึ่งในนั้น จำได้ว่าเขายังกล่าวเยาะหยันกับคุณชายท่านหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง “ลูกสาวบ้านไหนหนอ... เขียนกลอนเช่นนี้ออกมาได้ สงสัยจะกำลังอารมณ์เปลี่ยวเหงาอยู่กระมัง”
หากยอมรับว่าเป็ผู้เขียนกลอนบทนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับโม่เสวี่ยิ่อาจถูกเปิดเผย ชื่อเสียงย่อมถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้เป็่หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่เขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งเจิ้นกั๋วโหว หากเสื่อมเสียชื่อเสียง เป้าหมายที่กำลังจะเอื้อมถึงก็เป็อันสูญสลายไปในพริบตา แล้วซือหม่าหลิงอวิ๋นจะยอมรับได้อย่างไร
แต่หากไม่ยอมรับ น้องสาวของตนเองจะกลายเป็ผู้ใส่ร้ายโม่เสวี่ยิ่ อนาคตอันสดใสของนางก็เป็อันจบสิ้น