เพื่อชดเชยความเสียดายจากเมื่อวานที่ไม่ได้ดื่มให้หนำใจ วันนี้พวกเขาทั้งสามคนจึงดื่มกันอย่างเริงร่าเต็มที่
โดยเฉพาะชวีเสี่ยวปอ เขารู้สึกว่าแม้แต่เบียร์ก็ไม่ค่อยได้บรรยากาศเท่าไหร่แล้ว จึงใช้โอกาสใน่ที่เซี่ยเจิงและพวกเขากำลังวุ่นวายกันอยู่ ปลีกตัวออกไปซื้อเหล้าขาวมาขวดหนึ่ง ในตอนที่กลับเข้าบ้านมาเขากลัวว่าแม่ของเซี่ยเจิงจะเห็นเข้าเลยตั้งใจแอบเอาไว้ด้านหลังแล้วเดินเข้าบ้านไป
“ไอยา !” แม่ของเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนโซฟาชำเลืองมองชวีเสี่ยวปอไปครั้งหนึ่ง “ยังจะซ่อนอยู่อีก แม่เห็นหมดแล้ว”
“ผมรู้อยู่แล้วว่ามันคงจะหนีไม่พ้นสายตาอันแหลมคมของคุณป้า !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะฮึๆ ขึ้นมา จากนั้นจึงทำได้เพียงวางลงไปบนโต๊ะอย่างเปิดเผย
“ไม่เป็ไรๆ แม่ไม่ห้ามหรอก” แม่ของเซี่ยเจิงยิ้มออกมาจนตาหยี “วันนี้พวกลูกๆ มีความสุขกัน ก็ต้องดื่มสักขวดสิเนอะ”
แม่ของเซี่ยเจิงนั่งเล่นอยู่ข้างนอกสักพัก จากนั้นจึงกลับเข้าไปนอนเล่นในห้องนอน ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอจึงเปิดกล่องออกมาอย่างกระฉับกระเฉง แล้วเคาะไปบนขวดแก้วสองทีอย่างรู้ดี “ห้าร้อยมิลลิลิตร พวกเราสามคนดื่มเท่าๆ กันคงไม่มีปัญหาอะไรแหละมั้ง? ”
ซือจวิ้นหยิบขวดเหล้ามาหรี่ตาดู “ให้ตายสิ อย่าเลย ห้าสิบสองดีกรี ทำไมนายไม่ซื้อเหล้าที่แอลกอฮอล์ต่ำๆ หน่อยละ”
“เหล้าขาวก็ต้องดื่มดีกรีสูงหน่อยสิ ดื่มดีกรีต่ำจะไปรู้สึกอะไร” ชวีเสี่ยวปอมองอย่างเหยียดหยาม ทั้งยังพูดยั่วยุออกมา “กลัวเหรอ? ”
“กลัวมันกลัวอยู่แล้ว” ซือจวิ้นเม้มริมฝีปาก “ถ้าอีกเดี๋ยวฉันเป็ลมล้มไป นายต้องรับผิดชอบลากฉันกลับบ้านด้วย”
“วางใจได้ ถ้าเขาไม่ไปส่งนายฉันก็ต้องไปส่งนายอยู่ดี” เซี่ยเจิงกำลังเตรียมน้ำจิ้มสำหรับเนื้อย่าง มองไปยังพวกเขาสองคนครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวผูกเชือกเอาไว้ที่หลังจักรยาน แล้วจับนายแขวนไว้กับเชือก ดีไหม? ”
ทั้งสามคนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่ายังไม่ทันจะได้ดื่ม พวกเขาทั้งสามคนก็คึกคักขึ้นมาแล้ว
เขาก็พลางถอดเสื้อคลุมโยนไปไว้บนโซฟา พร้อมทั้งถามเซี่ยเจิงที่อยู่ข้างๆ ออกไปว่า : “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม? ”
“กางโต๊ะออกมาให้หน่อย” เซี่ยเจิงใช้คางชี้เพื่อบอกทิศทางกับเขา “โต๊ะน้ำชาเล็กเกินไป น่าจะวางไม่พอ”
“รับทราบ” ชวีเสี่ยวปอตอบรับกลับมา เดินไปเอาโต๊ะกลมตัวนั้นที่ตั้งพิงอยู่กับกำแพงออกมากาง ส่วนซือจวิ้นก็ยกอาหารที่เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะทีละอย่างสองอย่าง
“ฉันไปล้างผักกาดหอมก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราก็จะเริ่มกินกันได้เลย” เซี่ยเจิงเอาเตาย่างที่ล้างสะอาดเรียบร้อยแล้วมาวางลงตรงกลาง จากนั้นก็ะโไปทางห้องนอนครั้งหนึ่ง : “แม่ ออกมาทานข้าวได้แล้วครับ !”
หมูสามชั้นที่กำลังย่างอยู่บนเตาส่งเสียงออกมาดังซู่ซู่ ผ่านไปเพียงไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้านเล็กๆ หลังนี้ ไม่รู้ว่าเป็เพราะอุณหภูมิจากการย่างเนื้อ หรือว่าบรรยากาศกันแน่ที่ทำให้ทั้งตัวของชวีเสี่ยวปอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกสบาย สบายจนอยากที่จะพิงไปบนตัวของเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเกียจคร้านสักพักหนึ่ง
ในตอนนั้นเซี่ยเจิงกำลังยุ่งอยู่กับเนื้อที่ย่างสุกเรียบร้อยแล้ว เตาย่างนี้ถือว่าพอใช้ได้เลยทีเดียว เตานี้ใช้ไฟฟ้าในการย่างแถมยังสุกเร็วมาก อีกทั้งยังมีการรีดเอาน้ำมันออกมาอยู่ตลอด เซี่ยเจิงใช้กรรไกรตัดหมูสามชั้นที่ย่างเสร็จให้ออกมาเป็ชิ้นๆ ในขณะที่ตัดอยู่นั้นน้ำมันก็กระเด็นออกมาโดนข้อมือของเขาอยู่หลายครั้ง
“มาฉันย่างเอง นายกินเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยกศอกขึ้นมาสะกิดเขา จากนั้นจึงพูดออกไปเสียงเบา
“ไม่เป็ไร นายกินไปเถอะ เท่านี้น่าจะพอกินอยู่พักหนึ่งเลยล่ะ” เซี่ยเจิงวางตะเกียบลง แล้วจึงหยิบแก้วเหล้ายื่นให้แม่ของเขาพร้อมทั้งยิ้มพลางพูดออกมาว่า : “แม่พูดอะไรสักหน่อยครับ”
“ให้แม่พูดอะไร” แม่ของเซี่ยเจิงเม้มปาก “แม่พูดไม่เป็ ลูกพูดแทนแม่หน่อยสิ”
“แทนไม่ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดเล่นพูดหยอกขึ้นมา “คุณป้าเป็ผู้ใหญ่ที่สุดตรงนี้ คุณป้าก็ต้องพูดสิครับ”
“ได้จ้ะ งั้นป้าพูดสักหน่อยก็ได้” แม่ของเซี่ยเจิงมือหนึ่งยกแก้วขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็ปิดที่แก้มที่แดงก่ำเอาไว้ “ก่อนอื่นขออวยพรให้พวกลูกๆ ชนะการแข่งขัน! ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง การเรียนประสบความสำเร็จ! ที่บ้านป้าไม่ได้ครึกครื้นแบบนี้มานานมากแล้ว อีกหน่อยป้าหวังว่าพวกเธอจะมากันบ่อยๆ นะ! ”
ในขณะที่แม่ของเซี่ยเจิงพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา แววตาของเธอก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ชวีเสี่ยวปอบอกไม่ถูกว่าแววตาเช่นนี้มันคืออะไร แต่รู้สึกว่ามันเปล่งแสงแวววาวระยิบระยับออกมาอยู่ตลอด ดวงตาที่มีความแวววาวเช่นนี้ ทำให้ชวีเสี่ยวปอลืมไปชั่วขณะว่าเธอคือคนป่วย เขาหันไปมองเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ให้เป็เช่นนี้ตลอดไป
“ขอบคุณครับคุณป้า !”
ทั้งสี่คนชนแก้วกันจนเกิดเป็เสียงกริ๊งดังขึ้นมา
แต่เหล้าขาวยังไงก็ไม่กล้าดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด ทันทีที่จิบลงไปความรู้สึกเผ็ดร้อนก็บาดไปทั่วทั้งลำคอ ชวีเสี่ยวปอทำเสียงซี้ดออกมา เพราะเขาไม่ได้ดื่มเหล้าขาวมานานมากแล้ว จึงทำให้ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อมองไปยังซือจวิ้นที่ทำท่าทางสะดีดสะดิ้งเกินจริง จึงทำให้เขาแทบจะหลุดขำออกมา
“ให้ตายเถอะนี่คือดื่มเหล้า? ไม่ใช่การลงโทษใช่ไหม? อีกนิดก็เหมือนการทรมานสิบอย่างในราชวงศ์ชิงแล้วเนี่ย” ซือจวิ้นรีบคีบเนื้อเข้าปากไปทันที แล้วจึงกลืนลงไปเพื่อลดความทุกข์ทรมานนี้ลง
“นายดื่มเบียร์ไปเถอะ” เซี่ยเจิงเปิดเบียร์กระป๋องหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปให้เขา หลังจากพูดจบก็หันกลับไปพูดกลับชวีเสี่ยวปอเสียงเบาว่า : “ฉันดื่มเหล้าเป็เพื่อนนายเองโอเคไหม”
ทั้งสองคนใกล้กันมาก ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอหันศีรษะมา ถึงขนาดที่เขารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าปลายจมูกของเซี่ยเจิงััเชี่ยวไปที่ใบหน้าของเขา
เหล้าขวดนี้ปริมาณแอลกอฮอล์สูง ทั้งยังแรงมากอีกด้วย
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนกับว่าสมองของเขาหนักอึ้ง แต่ก็รู้สึกว่าเหล้าที่เพิ่งจะดื่มไปครึ่งแก้วไม่ถึงกับทำให้เมาได้ทันทีหรอก
ทว่าทั้งตัวของเขากลับเบาหวิวขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอรู้สึกราวกับว่าเขาเป็ลูกโป่งไฮโดรเจนที่ค่อยๆ อัดลมเข้าไปจนเต็ม และถ้ายังไม่ยึดเกาะกับอะไรสักอย่างเอาไว้ก็จะปลิวลอยออกไป
ดังนั้นเขาจึงจับต้นขาของเซี่ยเจิงเอาไว้แน่น
โต๊ะกลมตัวนี้ค่อนข้างใหญ่ แม่ของเซี่ยเจิงและซือจวิ้นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม การกระทำใต้โต๊ะอันเล็กน้อยของชวีเสี่ยวปอเพียงแค่นี้ไม่ทำให้พวกเขาสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน
ในขณะนั้นมือของเซี่ยเจิงข้างที่ถือตะเกียบก็สั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้ปีกไก่ที่ย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วกลิ้งตกลงไปบนโต๊ะ
“คอนายก็ไม่ได้แข็งเท่าไหร่หรอก” ทันทีที่ซือจวิ้นเห็นเขาจึงขำขึ้นมา พร้อมทั้งหัวเราะเยาะอย่างไร้ความปรานี “พอดื่มแล้วก็สั่นขึ้นมาเลยนะ”
เซี่ยเจิงที่ฝีปากพอๆ กัน จึงโจมตีกลับไปว่า : “คนที่ดื่มเบียร์หุบปากไปเลย”
ชวีเสี่ยวปอเรียกพลังกลับมาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว แต่มือก็ยังคงรั้นวางอยู่บนขาของเซี่ยเจิงไม่ยอมปล่อยออก ช่างหน้าไม่อายเสียจริงๆ
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าชวีเสี่ยวปอดื่มหนักเกินไปจริงหรือเปล่า แม้แต่ขาของใครที่อยู่ใต้โต๊ะก็แยกไม่ออก แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกอันความคิดไร้สาระชอนไชเข้ามาในหัว
เพราะชวีเสี่ยวปอทำเสียง “ฮึ ฮึ” ขึ้นมาอย่างทะเล้นสุดๆ
จงใจแน่ๆ
อุณหภูมิบนฝ่ามือแนบชิดเข้ากับต้นขาที่มีเพียงผ้าบางๆ กั้นเอาไว้แค่หนึ่งชั้น
จากจุดเล็กๆ จุดนี้ทำให้ผิวบริเวณโดยรอบค่อยๆ อุ่นขึ้นมาตามไปด้วย
ประกายไฟเพียงน้อยนิดก็สามารถเป็ต้นเพลิงให้ลุกลามไปทั่วได้
ให้ตายสิ ไปถึงไหนต่อไหนแล้วไหนแล้ว
เซี่ยเจิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดเชื่อมโยงกับประโยคนี้ขึ้นมา แต่เขารู้สึกว่าถ้าชวีเสี่ยวปอยังวางมือไว้โดยไม่ยอมปล่อยออกเช่นนี้ เขาอาจจะไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนี้เอาไว้ได้แล้วเช่นกัน
อย่างเช่น
อะไรบางอย่างแข็งขึ้นมา
เพื่อมาเตือนการกระทำที่แสนจะอันตรายนี้
เซี่ยเจิงชำเลืองมองชวีเสี่ยวปอไปครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ใบหูของเขาก็ไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ แต่การแสดงออกของเขากลับดูไร้เดียงสาเหลือเกิน ราวกับว่ากำลังใช้ความไร้เดียงสานี้มาพิสูจน์เซี่ยเจิงว่า : ดูสิ มือก็คือมือ ฉันก็คือฉัน อย่าเอาพวกเรามาผสมปนเปกันจนกลายเป็สิ่งสิ่งเดียว
“พวกลูกค่อยๆ กินนะ แม่กินอิ่มแล้ว” แล้วจู่ๆ แม่ของเซี่ยเจิงก็พูดขึ้นมา เธอดื่มเครื่องดื่มอึกสุดท้ายลงไป จากนั้นจึงวางแก้วลงและค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ครับ” เซี่ยเจิงตอบรับกลับไป
“ได้เลยครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอก็ตอบรับกลับไปเช่นกัน
ส่วนซือจวิ้นเนื่องจากในปากมีของกินอยู่ อยากที่จะพูดแต่ก็พูดไม่ได้
เขาคงจะคิดว่าในตอนที่แม่ของเซี่ยเจิงลุกขึ้นยืนจะมองเห็นเข้า ชวีเสี่ยวปอจึงดึงมือกลับไป
ในที่สุดเซี่ยเจิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แต่กลับรู้สึกผิดหวังอย่างน่าประหลาด