คำพูดของหลี่เหล่าไท่ไท่ที่ตำหนิหลี่หลินถือเป็การตบหน้าเรือนที่สอง ทว่าหลี่ซวี่ได้ตายไปแล้ว ผู้นำครอบครัวของเรือนที่สองคือหลี่ลั่ว และหลี่ลั่วยังคงเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นท้ายที่สุดคือตบหน้าหลี่หยางซื่อนั่นเอง หลี่เหล่าไท่ไท่ได้เอ่ยคำว่าคำนึงถึงผู้าุโและรักผู้เยาว์ออกไปแล้ว หลี่หลินในฐานะที่เป็พี่สาวคนโต หากจะปฏิเสธนั้นช่างพูดออกไปได้ยากลำบากนัก
อีกประการหนึ่ง การกระทำของหลี่เหล่าเท่ไท่ถือว่าทำเกินไปจริงๆ หลี่ลั่วมาคารวะนางหลังจากกลับมาถึงจวนโหวเป็วันแรก สายตาของนางเมื่อสักครู่แค่เพียงมองผ่าน มิว่าจะเป็ด้านหน้าหรือด้านข้างนางย่อมมองเห็นหลี่ลั่วแล้ว ทว่านางกลับยังคงวางท่าไม่เอ่ยวาจา หากหลี่เหล่าไท่ไท่ท่านนี้เป็มารดาผู้ให้กำเนิดของหลี่ซวี่ หลี่ลั่วย่อมจำต้องอดทนอดกลั้น แต่นางหาใช่ไม่ ในทางกลับกันหากวันนี้หลี่เหล่าไท่ไท่เป็มารดาผู้ให้กำเนิดของหลี่ซวี่ ย่อมไม่ปฏิบัติต่อหลานชายและหลานสาวแท้ๆ ของตนเช่นนี้เป็แน่
ในขณะที่มือของหลี่หลินเริ่มสั่นสะท้าน กำลังจะดึงปิ่นปักผมอันนั้นออก หลี่ลั่วก็เอ่ยขึ้น “หากว่าพี่รองชอบปิ่นปักผมอันนี้ วันไหนข้าเข้าวังค่อยทูลขอจากฝ่าาก็ย่อมมิเป็ไรแล้วขอรับ พูดแล้วก็ช่างน่าอายนัก ระหว่างทางที่ข้ากลับมาท่านอาหลี่ได้บอกกับข้าว่าจวนโหวของเรามีเพียงมารดาและพี่สาวที่เป็ญาติผู้หญิงเพียงสองคนเท่านั้น ข้าจึงทูลขอฝ่าาพระราชทานปิ่นปักผมอันนี้มอบให้พี่สาว หากรู้ว่าพี่รองมาเป็แขกที่จวนโหว ข้าย่อมต้องขอปิ่นปักผมเพิ่มอีกอันหนึ่งแน่นอน ข้าคิดว่าพี่รองที่คำนึงถึงผู้าุโและรักผู้เยาว์ ย่อมรู้ดีว่าผู้าุโและผู้น้อยนั้นมีลำดับ”
คำพูดของหลี่ลั่วทำให้ห้องรับรองแขกทั้งห้องเงียบสงัด อย่าได้พูดถึงหลี่หม่านที่อ้าปากค้างไปแล้ว แม้กระทั่งคำพูดโมโหก็พูดไม่ออก แม้กระทั่งสีหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่ก็มืดครึ้มลง คำพูดประโยคนี้ของหลี่ลั่วมิได้กระทบเพียงหลี่หม่านเท่านั้น ชัดเจนอย่างยิ่งว่ากระทบต่อผู้คนทั้งหมด ความหมายก็คือ ที่นี่คือจวนโหว เป็บ้านของเรือนที่สอง
คำว่า ‘เป็แขก’ สองคำนี้ เหมือนคมมีดที่แทงเข้าไปในหัวใจของภรรยาหลี่ฮุย ช่างเ็ปเหลือเกิน เด็กคนนี้อายุเพียงห้าขวบ แต่กลับเอ่ยวาจาร้ายกาจยิ่งนัก ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาใช้ออกมาได้อย่างไร? ดังนั้น...จะต้องเป็หลี่หยางซื่อที่เสี้ยมสอนแน่แล้ว
หลี่หยางซื่อเองก็ประหลาดใจ คำพูดของหลี่ลั่วมิได้ให้หน้าฝ่ายตรงข้ามแม้แต่นิดเดียว ทว่ากลับหาช่องโหว่ใดๆ ให้ตำหนิไม่ได้ มิใช่หรอกหรือ หากบุตรชายคนที่สอง[1]ของสกุลหลี่ยังอยู่ จวนโหวได้แยกบ้านมาแล้ว และจวนโหวเองก็มิใช่ได้รับมาจากหลี่เหล่าไท่เหฺย พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ มิใช่เป็แขกหรอกหรือไร?
“มากันแล้วรึ?” เสียงของหลี่เหล่าไท่เหฺยดังขึ้นมาจากหน้าประตู ถัดมาหลี่เหล่าไท่เหฺยก็ก้าวเข้ามา ทว่าเขากลับมิได้รับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียดภายในห้องนั้นเลย “ทำความรู้จักกันแล้วหรือไม่?”
หลี่เหล่าไท่ไท่กลับมามีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนหวานอีกครั้ง “ยังเ้าค่ะ ท่านก็บังเอิญเข้ามาพอดี” คนสมัยโบราณช่างแสดงละครเก่งระดับซุปเปอร์สตาร์ ทำให้หลี่ลั่วเหงื่อตกจริงๆ
หลี่เหล่าไท่เหฺยเดินไปนั่งตำแหน่งข้างๆ นาง “รู้จักกันเสียเถิด จะได้คุ้นเคยกันไว้ หลังทานอาหารเช้าก็ไปจวนกั๋วกงเข้าสู่ผังสกุลเสีย ข้ากับพี่ใหญ่ได้คุยกันไว้แล้ว”
มีคำพูดประโยคนี้ของหลี่เหล่าไท่เหฺย ทุกคนจึงนั่งลง
หลี่ลั่วมาคุกเข่าด้านหน้าหลี่เหล่าไท่เหฺย ผิงอันจึงยื่นถ้วยน้ำชาให้กับเขา หลี่ลั่วรับถ้วยน้ำชามายกขึ้น “เชิญท่านปู่ดื่มน้ำชาขอรับ”
หลี่เหล่าไท่เหฺยรับถ้วยน้ำชา ดื่มน้ำชาอย่างพอเป็พิธีไปหนึ่งอึก จากนั้นให้อั่งเปาหลี่ลั่วหนึ่งซอง “เด็กดี” กล่าวชมเชยประโยคหนึ่ง
หลี่ลั่วรับอั่งเปาแล้วส่งให้ผิงอัน “ขอบคุณท่านปู่ขอรับ” ต่อมาเขาไปคุกเข่าข้างหน้าหลี่เหล่าไท่ไท่ ยกน้ำชาขึ้นมาอีกถ้วยหนึ่ง “เหล่าไท่ไท่เชิญดื่มน้ำชาขอรับ”
หลี่เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว แม้คำว่าเหล่าไท่ไท่จะเรียกได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่อีกด้านหนึ่งนั้นเรียก ท่านปู่ มาถึงนางไม่เรียก ท่านย่า นี่มันหมายความว่าอย่างไร? เมื่อเห็นว่าหลี่เหล่าไท่ไท่มิได้รับถ้วยน้ำชาแต่ประการใด เหอหมัวมัวก็ร้อนใจนัก “คุณชายหกกลับบ้านครั้งแรกในรอบห้าปี ตามกฎระเบียบแล้วต้องโขกหัวคารวะเ้าค่ะ”
คำพูดที่กล่าวออกมานั้นไม่มีอะไรผิด ทว่าเมื่อหลี่ลั่วคารวะหลี่เหล่าไท่เหฺยเขามิได้โขกหัว หากเมื่อคารวะหลี่เหล่าไท่ไท่แล้วต้องโขกหัว นี่ไม่เท่ากับเป็การลงแส้สั่งสอนหลี่ลั่วหรอกหรือ?
หลี่หยางซื่อมุมปากกระตุก แม่สามีเลี้ยงท่านนี้แต่ไหนแต่ไรมามิว่าทำการใดไม่เคยอยู่ในขอบเขตที่เชื่อถือได้ ทว่านางเป็สะใภ้ ไม่สามารถเอ่ยอันใดได้
[1] บุตรชายคนที่สองของครอบครัว (老二) หรือ เหล่าเอ้อร์ ในที่นี้หมายถึงหลี่ซวี่ผู้เป็บิดาของหลี่ลั่ว