ค่ายไม้ดำถูกเผาเป็เถ้าถ่านภายใต้เปลวเพลิงพิโรธ พวกโจรถูกฆ่าล้างค่ายจนหมดสิ้น!
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทุกแห่งหนอย่างรวดเร็วราวติดปีก ชาวบ้านใกล้เคียงภูไม้ดำที่ปกติถูกพวกโจรกดขี่ข่มเหงล้วนปีติยินดีที่สตรีซึ่งถูกฉุดคร่าไปกลับมาอย่างปลอดภัยและที่สำคัญรังโจรอันชั่วช้าถูกทำลายสิ้นซากไป
เหล่าพ่อค้านายวาณิชในเมืองกานหลิงและเมืองลั่วซีล้วนตื่นเต้นยินดีจนต้องเฉลิมฉลอง จากนี้ไปพวกมันไม่ต้องหวาดผวายามขนส่งสินค้าข้ามเมืองอีกต่อไป
คฤหาสน์ตระกูลจางในเมืองลั่วซีกลับตกอยู่ในความซึมเซาผิดกับผู้คนทั่วไปที่ตื่นเต้นยินดี บรรยากาศอันหนักอึ้งนี้แพร่กระจายจากจางเจิ้นซานซึ่งนั่งตำแหน่งเ้าบ้านในห้องรับแขกพลิกอ่านจดหมายด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หลังจากอ่านจดหมายจบมันก็ก้มหน้าครุ่นคิดอย่างเงียบงันไปชั่วขณะ ยามที่เงยหน้าไปมองพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า “เตรียมการให้พร้อม ข้าจำต้องไปเมืองไป๋เฟิงในบัดดล!”
“ทราบแล้วนายท่าน”
พ่อบ้านรับคำแล้วรีบออกไปสั่งการบริวารให้เตรียมการ ยามที่รีบร้อนออกจากประตูก็พบกับคนผู้หนึ่ง มันรีบก้มศีรษะคารวะกล่าวว่า “นายน้อย”
“เฮอะ” คนผู้นั้นแค่นเสียงตอบอย่างไม่แยแสจากนั้นสาวเท้าเข้าห้องไป มันเก็บซ่อนท่าทีหยิ่งยโสวางอำนาจก้มศีรษะเล็กน้อยคำนับจางเจิ้นซานและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “บิดา ท่าน... จะออกเดินทาง?” น้ำเสียงมันกลับเจือความคาดหวังอยู่บ้าง
คนผู้นี้ภายนอกสุภาพเรียบร้อยทั้งยังหล่อเหลา ทว่าไม่อาจปิดบังความดุร้ายอำมหิตที่เล็ดลอดออกมาจากดวงตาได้ --- จะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่จางหยาง!
ราวกับครุ่นคิดบางอย่างในใจ จางเจิ้นซานกล่าวเสียงราบเรียบ “มิผิด บิดากำลังจะเดินทางกลับไปยังสำนัก...”
จากนั้นก็ส่งสายตาจับจ้องท่าทีเบิกบานของบุตรชายแล้วขมวดคิ้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เ้าคิดว่าหลังจากบิดาออกเดินทางจะสามารถเกียจคร้านและเที่ยวเล่นอย่างสะดวกดายกระมัง?”
“เอ่อ... ”จางหยางมิคาดว่าบิดาจะอ่านความคิดมันออก จึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนกล่าวคำพูดใดไม่ออก
“เฮอะ! หรือเ้าคิดว่าบิดาไม่ทราบแต่ละวันเ้าทำอันใด? ทุกวี่วันเ้าเอาแต่เที่ยวซ่องคณิกาคอยบั่นทอนตนเองด้วยการหาความสำราญ! ทารกหญิงตระกูลหลิวนั้นเกือบจะบรรลุด่านวีรชนิญญาระดับกลางแล้วแต่เ้ายังย่ำเท้ากับที่ไม่อาจบรรลุกระทั่งด่านปัจเจกิญญาระดับปลาย!”
“พร์เ้าสูงล้ำทว่ากลับไร้ความมานะ ภายหน้าเ้าจะหยั่งเท้าในสำนักอย่างไร? จะให้บิดาวางใจมอบตระกูลจางแก่เ้าอย่างไร?!”
จางหยางที่ถูกบิดาตำหนิไม่กล้าเอ่ยปากกล่าววาจา ได้แต่ยิ้มประจบพลางพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับตั้งใจรับฟังบิดามันสอนสั่ง
“ผู้บุตรจะมุ่งมั่นปฏิบัติดังที่บิดาสอนสั่ง ต่อไปข้าจะฝึกฝนอย่างหนักไม่ให้ท่านต้องเสียหน้า”
“อืม หวังว่าเ้าจะทำตามที่กล่าว ยามนี้บิดาต้องกลับสำนักราวสิบวันถึงหนึ่งเดือน เ้าอยู่บ้านต้องวางตัวให้ดี อย่าได้คิดว่ามารดาตามใจเ้าแล้วจะกระทำอันใดก็ได้ หากเ้ายังไม่อาจบรรลุด่านปัจเจกิญญาระดับปลายก่อนบิดากลับมา...”
“บิดาโปรดวางใจ บุตรจะมุ่งมั่นพัฒนาพลังให้เร็วที่สุดและบรรลุด่านปัจเจกิญญาระดับปลายให้จงได้!”
จางหยางให้คำมั่นอย่างหนักแน่นแต่ในใจลอบยินดี ยามนี้จิตใจมันเตลิดไปถึงว่าจะเลือกอันใดระหว่างไปหาเสี่ยวชุ่ยแห่งหอหมื่นวสันต์กับ’เลือก’หญิงสาวจากท้องถนนหลังจากได้รับ’อิสระภาพ’
… … … …
ในเมืองลั่วซี ชั้นสองของภัตตาคารบนถนนสายหลักอันครึกครื้น ไป๋หยุนเฟยนั่งตำแหน่งใกล้ถนนรับประทานอาหารบนโต๊ะด้วยท่าทีเฉื่อยชาคอยจับตาผู้คนด้านนอก
ไป๋หยุนเฟยกลับถึงเมืองั้แ่เมื่อสามวันก่อน อาศัยการต่อสู้ที่ค่ายไม้ดำและการฝึกฝนกว่าครึ่งเดือนในที่สุดมันก็บรรลุด่านปัจเจกิญญาระดับปลาย ยังดีที่มันยังไม่ถูกครอบงำด้วยพลังและความเคียดแค้นนี้ แทนที่จะรุ่งรุดไปหาจางหยางทุ่มเททุกอย่างเพื่อล้างแค้น มันพักผ่อนหนึ่งวันเต็มจากนั้นเริ่มจับตามองพื้นที่บริเวณนี้อย่างถี่ถ้วน
เบื้องหน้าไม่ไกลเป็ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลจาง มีสิงโตศิลาสองตัวตั้งตระหง่านอยู่สองฟากข้าง ด้วยกำแพงสูงและประตูอันเลิศหรูตัวคฤหาสน์จึงแผ่กลิ่นไอความยิ่งใหญ่ออกมา อย่างน้อยในสายตาคนทั่วไปก็คิดเช่นนี้ ผู้คนที่ผ่านประตูใหญ่ของตระกูลจางกระทั่งยังชะลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัวราวกับเกรงว่าเสียงเดินของพวกมันจะล่วงเกินตระกูลจางอันทรงอำนาจ
“ข้าจับตามองมาสองวันกลับไม่พบเห็นจางหยางปรากฏกายแม้แต่คราเดียว เป็เพราะมันอยู่แต่ในบ้านหรือมันไม่อยู่บ้านมาตลอด? หรือบางที... มันไม่เข้าออกทางประตูใหญ่?” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดด้วยความลังเลอยู่บ้าง
ด้วยเกรงว่าจะเป็ที่สงสัยมันจึงไม่ได้จับจ้องที่ประตูใหญ่ตลอดเวลา ผู้ใดจะทราบว่าตระกูลจางมีสายสืบและบริวารเท่าใดอยู่ในเมือง มันสมควรระแวดระวังทุกความเคลื่อนไหว
“โอ?” เมื่อไป๋หยุนเฟยถอนสายตาไปมองถนนเบื้องล่างอย่างไม่ใส่ใจก็พบเห็นบางอย่างผิดปกติ
มันพบเห็นชายสามคนลอบติดตามอยู่เื้ัหญิงสาวนางหนึ่ง ที่จริงทั้งสามคนระมัดระวังตัวอย่างยิ่งราวกับช่ำชองในการลอบติดตามเช่นนี้ หญิงสาวผู้นั้นจึงไม่พบเห็นพวกมัน แม้แต่ไป๋หยุนเฟยหากไม่มองจากที่สูงลงมาก็ไม่อาจพบเห็นโดยง่ายเช่นกัน
ไป๋หยุนเฟยใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง มิคาดเห็นหญิงสาวนั้นมุ่งหน้าไปทางรกร้างห่างไกลจึงไม่ลังเลรีบลุกขึ้นและลงจากภัตตาคารติดตามนางไป
… … … …
ในตรอกที่เงียบงัน พลันมีเสียงร้องกระชั้นสั้นดังออกมาตามด้วยเสียงอู้อี้แ่เบาราวกับปากของคนใครบางคนถูกอุดไว้ก่อนจะทันได้ส่งเสียงร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว
ผู้คนสองสามคนเดินอยู่ใกล้ปากตรอก พวกมันย่อมต้องได้ยินเสียงประหลาดนั้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดแยแส กลับกันพวกมันสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเร่งรุดจากไป เห็นได้ชัดว่าไม่้าตอแยหาเื่ใส่ตัว
ภายในตรอก ชายร่างใหญ่สองคนคิ้วดกหนาตาโปนโตและชายร่างเล็กท่าทางดั่งขโมยกำลังร่วมกันแบกกระสอบป่านที่ใช้เชือกมัดพันไว้
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าครานี้กลับพบหงส์ในหมู่มนุษย์ หากนำไปมอบให้นายน้อยท่านย่อมตบรางวัลพวกเราอย่างงาม!”
“มิผิด สตรีผู้นี้แม้ไม่หยาดเยิ้มเท่าลูกนกที่ถูกจับเมื่อวานแต่ก็เป็สาวพรหมจรรย์เช่นกัน นายน้อยชื่นชอบสตรีประเภทนี้ยิ่ง อีกทั้งยามนี้ดูเหมือนนายน้อยอดกลั้นมานานจนแทบทนไม่ไหว ถึงขนาดให้พวกเรากระทำทุกวิธีทางหาสตรีที่ท่านพึงพอใจไปให้ต่อให้ต้องคร่ากุมโดยเปิดเผยก็ตาม...”
“อืม นายน้อยนับว่าร้อนรนถึงกับ้าสตรีอีกในคืนนี้ หากไม่มีสตรีที่ถูกคร่ากุมไปเมื่อคืนวาน ท่านต้องชมชอบสตรีที่พวกเราคร่ากุมได้ผู้นี้ที่สุด... เฮอะ ข้ากลับไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าหัวหน้าไปพบสตรีนางนั้นที่ใด ความงามของนางถึงกับทำให้ผู้คนพลุ่งพล่าน น่าเสียดายนักที่นางต้องถูกนายน้อย...”
“เอาเถอะ เลิกกล่าววาจาไร้สาระแล้วรีบแบกนางไปเถอะ อย่าได้ให้ผู้คนพบเห็นพวกเรามากเกินไปนัก” ชายร่างเล็กด้านข้างกล่าวตัดบทเร่งรัดพวกมันด้วยความขุ่นข้องใจอยู่บ้าง
กระนั้นมันต้องขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเพราะชายร่างใหญ่ทั้งสองแม้จะหยุดปากแต่กลับไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
ขณะที่หันศีรษะกลับไปจะตำหนิ ก็เห็นทั้งคู่อ่อนระทวยล้มลงกับพื้นโดยปราศจากเสียง นับว่าสร้างความตื่นตระหนกแก่มันยิ่ง แต่ก่อนจะทันได้หันกายไปก็พลันเ็ปที่ท้ายทอย จากนั้นก็ตาเหลือกทรุดลงสิ้นสติไป
กระสอบป่านถูกแก้ออกอีกคราเผยให้เห็นหญิงสาวที่ถูกอุดปากและพันธนาการเอาไว้
นางร่ำไห้ไม่ขาดสายมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยท่าทีหวาดผวา
ชายหนุ่มยิ้มให้แก่นางและกล่าววาจานุ่มนวล “อย่าได้หวาดกลัว ข้ามาช่วยท่าน สักครู่จะแก้มัดให้แต่ท่านต้องไม่ร่ำร้องะโ เข้าใจหรือไม่?”
กล่าวจบก็แก้ปมบนร่างหญิงสาวพยุงนางยืนขึ้น จากนั้นชี้นิ้วไปยังปากตรอกกล่าวว่า “รีบไป ต่อไปให้ระวังตัวยามไม่ได้อยู่ที่บ้าน อย่าได้ไปยังที่เปลี่ยวร้างห่างไกลผู้คนอีก...”
หลังจากมองเห็นหญิงสาววิ่งออกจากตรอกไป ไป๋หยุนเฟยก็ก้มศีรษะมองชายทั้งสามบนพื้นอย่างครุ่นคิด
“ตามที่พวกมันกล่าว ดูเหมือนยังมีสตรีที่ถูกคร่ากุมไปมอบแก่ผู้ที่เรียกว่า‘นายน้อย’นั้นอีก... เมื่อข้าสอดมือเข้ามาแล้วย่อมต้องช่วยเหลือนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจข่มตาหลับได้”
