ฉันจ้องมองตัวอักษร "ม" บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่นานสองนาน ราวกับถูกมนต์สะกด
ปลายนิ้วโป้งของฉันลอยค้างอยู่เหนือปุ่ม ‘เพิ่มเพื่อน’ สั่นระริกด้วยความลังเล ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าถ้าฉันกดลงไป หรือพยายามขุดคุ้ยเื่ราวของเ้าของชื่อนี้มากไปกว่านี้ กำแพงบางอย่างที่ฉันเพียรก่อขึ้นมาเพื่อปิดกั้นอดีตอาจจะพังทลายลงมาทั้งหมด
“คุณไม่ใช่เพื่อนกับผู้ใช้นี้”
ข้อความแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กเหมือนคำพิพากษาที่ตอกย้ำความจริง ใช่... เราไม่ใช่เพื่อนกัน ไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่คนรู้จัก เป็เพียงคนแปลกหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยผูกพันกันแน่นแฟ้นที่สุด
บรื๊น...
เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ที่ดังกระหึ่มเข้ามาจอดหน้าบ้าน ดึงสติของฉันให้หลุดจากหน้าจอทันที ฉันสะดุ้งเฮือก รีบวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วแสร้งทำเป็หยิบผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดถู ทั้งที่มันสะอาดเอี่ยมอยู่แล้ว
แสงไฟหน้ารถสาดผ่านผ้าม่านเข้ามาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับลง ตามมาด้วยเสียงไขกุญแจรั้วและเสียงประตูเหล็กดัดที่ฝืดเคือง
กิตติ กลับมาแล้ว
ประตูกระจกบานเลื่อนถูกเปิดออก ลมร้อนยามค่ำคืนพัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นที่ฉันจำได้แม่นยำ กลิ่นบุหรี่ราคาถูกผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ที่ติดมาตามเสื้อผ้า สามีของฉันเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอิดโรย ใบหน้ากร้านแดดดูคล้ำลงกว่าเมื่อเช้า
“กลับมาแล้ว...” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า เหมือนพูดกับลมฟ้าอากาศมากกว่าพูดกับภรรยา
“อืม...” ฉันรับคำในลำคอ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็ปกติ “กินข้าวมาหรือยัง มีแกงจืดเหลืออยู่นะ อุ่นกินไหม”
กิตติโบกมือปฏิเสธโดยไม่หันมามอง เขาเดินตรงไปที่ตู้เย็น เปิดหยิบน้ำเปล่าขวดใหญ่ออกมายกกระดกอึกๆ จนเกือบหมดขวด ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดปากแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเก่า เสียงสปริงในเบาะลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามน้ำหนักตัว
“เหนื่อยฉิบหาย...” เขาบ่นพึมพำ หลับตาลงแล้วเอามือก่ายหน้าผาก
ฉันมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกที่อธิบายยาก มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันคือความเหนื่อยหน่ายที่กัดกินใจทีละนิด
“วันนี้งานเป็ไงบ้าง เพื่อนที่ร้านล้างรถว่าไง” ฉันถามตามมารยาท ทั้งที่รู้ว่าคำตอบจะเป็ยังไง
“ก็งั้นๆ แหละ... คนเยอะ วุ่นวาย ได้เงินมานิดหน่อย พอค่าเหล้า” เขาตอบส่งๆ
คำว่า ‘พอค่าเหล้า’ ทำให้ฉันเผลอกัดริมฝีปากแน่น เงินค่าเหล้าของเขา อาจจะเป็เงินค่าขนมของลูกทั้งอาทิตย์ หรือเป็ค่ากับข้าวของบ้านได้หลายมื้อ แต่ฉันเลือกที่จะเงียบ ไม่พูด ไม่บ่น เพราะรู้ดีว่าพูดไปก็จบลงที่ความเงียบ หรือไม่ก็เสียงถอนหายใจยาวๆ ของเขาที่ทำให้ฉันรู้สึกผิดว่าเป็เมียที่ ‘น่ารำคาญ’
บรรยากาศในบ้านเงียบสงัดจนน่าอึดอัด มีเพียงเสียงพัดลมเพดานหมุนตัดอากาศ ฉันยืนมองกิตติที่เริ่มกรนเบาๆ อยู่บนโซฟา เขากลับมาบ้าน แต่ใจเขาไม่ได้อยู่ที่นี่... และฉันก็เริ่มสงสัยว่า ใจฉันยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า
“เดี๋ยวฉันขึ้นข้างบนนะ จะไปดูมิกซ์หน่อย” ฉันบอกเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาคงหลับไปแล้ว
ฉันเดินขึ้นบันไดไม้มาชั้นสอง เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องในความเงียบ แวะเข้าไปดูมิกซ์ในห้องนอนลูก เห็นเขานอนกอดหมอนข้างหลับปุ๋ยไปแล้ว ผ้าห่มร่นลงไปอยู่ที่เอว ฉันเดินเข้าไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไหล่ให้ลูก ก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นเบาๆ
“ฝันดีนะคนเก่ง”
เมื่อออกจากห้องลูก ฉันเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่ ห้องนอนของฉันกับกิตติ แต่คืนนี้ฉันรู้ดีว่าเขาคงนอนค้างที่โซฟาข้างล่างเหมือนหลายๆ คืนที่ผ่านมา
ฉันปิดประตูลงกลอน ทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ความรู้สึกโดดเดี่ยวโถมเข้าใส่จนน้ำตาพาลจะไหล ทั้งที่มีครอบครัว มีสามี มีลูก แต่ทำไมคืนนี้... ฉันถึงรู้สึกเหงาจับใจขนาดนี้
สายตาของฉันเหลือบไปเห็น ตู้เสื้อผ้าหลังเก่า ที่ตั้งอยู่มุมห้อง ข้างบนหลังตู้นั้นมีพื้นที่ว่างที่เต็มไปด้วยฝุ่น และมีกล่องกระดาษหลายใบวางซ้อนกันอยู่
จู่ๆ ความทรงจำเื่ชื่อเฟซบุ๊กเมื่อหัวค่ำก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
"ม"
และภาพในหัวที่ตามมาคือภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งยื่นกล่องของขวัญให้ฉัน ภาพนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง
ฉันลุกขึ้นยืน ลากเก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งไปวางหน้าตู้เสื้อผ้า ก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ด้วยใจที่เต้นรัว เอื้อมมือผ่านความมืดสลัวไปควานหา กล่องกระดาษใบหนึ่ง
กล่องรองเท้าเก่าๆ สีน้ำตาล ที่ฉันจำได้ว่าย้ายมันตามมาจากบ้านแม่ตอนแต่งงานใหม่ๆ และไม่เคยเปิดมันดูอีกเลยตลอดสิบปีที่ผ่านมา
ฉันยกกล่องลงมา ปัดฝุ่นหนาเตอะที่เกาะอยู่บนฝาออก แล้ววางมันลงบนพื้นห้อง นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้ามันเหมือนกำลังทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
มือของฉันสั่นเทาขณะค่อยๆ เปิดฝากล่องออก
กลิ่นกระดาษเก่าๆ กลิ่นอดีต กลิ่นความทรงจำ ฟุ้งกระจายออกมาแตะจมูก ข้างในเต็มไปด้วยของจุกจิกสมัยเรียน สมุดเฟรนด์ชิปที่กระดาษเริ่มเหลือง การ์ดวันปีใหม่ที่เขียนด้วยลายมือไก่เขี่ย รูปถ่ายสติ๊กเกอร์ที่สีซีดจาง
ฉันหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่วางอยู่บนสุดขึ้นมาดู
ภาพถ่ายหมู่ตอนปัจฉิมนิเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลลำปางเขลางค์รัตน์อนุสรณ์
เด็กนักเรียนหลายสิบคนยืนเรียงแถวกันหน้าอาคารเรียน ฉันรีบกวาดสายตามองหาตัวเอง... เจอแล้ว เด็กหญิงอาวรรณยืนอยู่แถวหน้าสุด ยิ้มหวานสู้กล้อง
แต่สายตาของฉันไม่ได้หยุดแค่นั้น ฉันไล่สายตาไปที่แถวหลังสุด มุมขวาของภาพ
หัวใจของฉันกระตุกวูบจนเจ็บหน้าอก
เด็กผู้ชายตัวผอมสูง ผิวเข้ม ผมตัดทรงนักเรียนเกรียนๆ กำลังยืนกอดอก ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แววตาขี้เล่นคู่นั้นมองตรงมาที่กล้อง... หรืออาจจะมองมาที่คนถือกล้อง
"มอส..."
ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ ในห้องเงียบ น้ำเสียงสั่นเครือจนน่าใ ความทรงจำที่เคยเลือนรางกลับชัดเจนขึ้นราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
มอส... เพื่อนสนิท เพื่อนคู่กัด และ รักแรก ที่ฉันพยายามลืม
ฉันวางรูปถ่ายลง มือควานลงไปที่ก้นกล่อง นิ้วััเข้ากับวัตถุแข็งๆ บางอย่าง
กล่องกระดาษใบเล็ก สีชมพูซีดๆ ที่ผูกริบบิ้นสีทองซึ่งบัดนี้กลายเป็สีน้ำตาลตุ่นๆ ฉันหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ น้ำหนักของมันเบาหวิว แต่ความรู้สึกที่มันบรรจุอยู่นั้นหนักอึ้ง
ฉันจำกล่องนี้ได้
ฉันค่อยๆ แกะริบบิ้นออก เปิดฝากล่องขึ้นช้าๆ
ข้างในนั้น... บนกระดาษรองสีขาวที่เหลืองกรอบตามกาลเวลา มีตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็กๆ สองตัวนอนเคียงคู่กัน
ตุ๊กตาเ้าบ่าว และ ตุ๊กตาเ้าสาว
งานหยาบๆ ราคาถูกๆ ที่หาซื้อได้ตามร้านขายของชำหน้าโรงเรียน เ้าบ่าวใส่สูทสีดำ เ้าสาวใส่ชุดสีขาวฟูฟ่อง สีถลอกปอกเปิกไปบ้างตามกาลเวลา แต่พวกเขายังคงจับมือกันแน่น
น้ำตาหยดแรกไหลเผาะลงบนหลังมือของฉัน ตามด้วยหยดที่สอง และที่สาม
ภาพความทรงจำพุ่งเข้ามาในหัวอย่างรุนแรง
“อะ ให้...” มอสยื่นกล่องนี้ให้ฉันในวันปัจฉิมฯ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ไม่กล้าสบตา
“อะไรอะ?” ฉันถามอย่างงงๆ
“ของขวัญ... เปิดดูที่บ้านนะ”
“แล้วทำไมต้องให้ด้วยล่ะ”
“ก็... สัญญาก่อนสิ ว่าโตขึ้น อาจะแต่งงานกับเรา”
ฉันในตอนนั้นหัวเราะร่า คิดว่าเป็มุกตลกของเพื่อนผู้ชายที่ชอบแกล้งกันเล่น ฉันรับกล่องมา แล้ววิ่งหนีไปเล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่น ทิ้งให้เขายืนเกาหัวอยู่ตรงนั้นคนเดียว
หลังจากวันนั้น... ฉันก็เริ่ม "หนี"
ฉันเริ่มกลัวความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวสายตาเพื่อนล้อ จนกระทั่งเราสอบเข้า ม.1 คนละโรงเรียน ฉันก็ตัดการติดต่อกับเขาไปดื้อๆ ปล่อยให้เขาหายไปจากชีวิต
ฉันหยิบตุ๊กตาเ้าบ่าวขึ้นมาพลิกดูที่ใต้ฐาน มีลายมือยึกยือเขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินว่า
‘มอส จอง อา’
ฉันสะอื้นฮักออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความรู้สึกผิดที่ฝังรากลึกมาตลอดยี่สิบกว่าปีะเิออกมาในวินาทีนี้
ข้างใต้ตุ๊กตา ยังมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ พับสี่ทบซ่อนอยู่ ฉันคลี่มันออกมาด้วยมือที่สั่นเทา
ลายมือเด็ก ป.6 ที่พยายามเขียนให้บรรจงที่สุด ปรากฏอยู่บนนั้น
“ถึง อา... ถ้าเราสอบไม่ติดโรงเรียนเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้เจอกันแล้ว... อย่าลืมเรานะ สัญญาว่าจะกลับมาหา - จาก มอส”
“ขอโทษ...”
ฉันพูดคำนี้ออกมาซ้ำๆ กับความว่างเปล่า กอดตุ๊กตาและกระดาษแผ่นนั้นไว้แนบอก ร้องไห้จนตัวโยน
ขอโทษที่ลืม...
ขอโทษที่ทิ้งขว้างความรู้สึกดีๆ ที่นายให้...
ขอโทษที่เลือกทางเดินที่ปลอดภัย จนสุดท้ายต้องมานั่งเสียใจอยู่แบบนี้
“มอส... ฮึก... ถ้าตอนนั้นเราไม่หนี... ถ้าเรากล้ากว่านี้... ชีวิตเราจะเป็ยังไงนะ”
ฉันถามตัวเอง ถามตุ๊กตา และถามอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน
ในค่ำคืนที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยวที่สุดในวัยสามสิบห้า ฉันนั่งจมอยู่กับกองความทรงจำเก่าๆ โดยไม่รู้เลยว่า คำอธิษฐานปนเสียงสะอื้นของฉันในคืนนี้... กำลังจะถูกใครบางคนได้ยิน และหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นของเื่ราวทั้งหมดอีกครั้ง
