เมื่อซย่านีอุ้มลูกชายคนเล็กกลับเข้าไปที่ห้องโถงหลัก บรรยากาศที่ชวนอึดอัดก่อนหน้านี้ก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว เวลานี้ซ่งหานเจียงกำลังกอดซ่งวั่งซูในอ้อมแขนของเขา ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ซ่งวั่งซูกำลังพูดจ้อถึงพวกคำศัพท์ที่เธอได้เรียนรู้ใน่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงบอกเล่าเื่ราวที่น่าสนใจในชั้นเรียนหรือแม้แต่เื่ที่ว่าเธอได้เรียนรู้การคิดคำนวณอะไรไปบ้างในแต่ละวัน
ซ่งหานเจียงฟังเื่ที่ซ่งวั่งซูเล่าไปพลางส่งรอยยิ้มให้กับคนในอ้อมแขนเขาไปพลาง ขณะที่เขาฟังลูกสาวเล่าเขาก็พยักหน้าไปด้วยและกล่าวคำชมเชยบ้างเป็บางครั้งบางคราว หลังจากที่ซ่งวั่งซูได้รับคำชมจากผู้เป็พ่อแล้วนั้นตัวเธอก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก
“จริงสิ” ซ่งหานเจียงหยิบยางรัดผมสีชมพูออกมาจากกระเป๋าของตนแล้วกล่าวว่า “สวยหรือเปล่า? ลูกชอบมันไหม?”
“นี่มัน...” ซ่งวั่งซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะหันหน้าไปมองซย่านีโดยไม่รู้ตัว
ซย่านีเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าซ่งหานเจียงจะซื้อยางรัดผมที่เธอเป็คนทำให้เป็ของขวัญลูกสาวเช่นนี้! แถมยางรัดผมเส้นนี้ยังทำมาจากผ้าไหมอีกด้วย ราคาชิ้นละตั้งหกเหมาแน่ะ
ครั้นเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ประหลาดใจั้แ่แรกเห็น ซ่งหานเจียงก็สงสัยขึ้นมา “ทำไม? ลูกไม่ชอบงั้นหรือ?” เขาเห็นว่าพวกนักศึกษาหญิงต่างก็ชอบยางรัดผมแบบนี้กันทั้งนั้นแถมเขายังต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าปกติในการที่จะขอซื้อสิ่งนี้ต่อจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่งด้วย
“อารอง เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบแต่หนูชอบนะคะ!” ซ่งเสี่ยวสยายกมือขึ้น พอเธอเห็นยางรัดผมสีชมพูชิ้นนั้นดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมา เธอรู้สึกว่าผ้ารัดผมสวยๆ แบบนี้ควรจะเป็ของเธอมากกว่าของยัยบ้านนอกซ่งวั่งซูนั่นซะอีก หล่อนไม่คู่ควรกับของชิ้นนี้เลยสักนิด
“ใครบอกว่าหนูไม่ชอบกันเล่า? หนูชอบมากๆ เลยต่างหาก!” เมื่อซ่งวั่งซูได้ยินว่าซ่งเสี่ยวสยา้าแย่งยางรัดผมของเธอ เธอก็คว้ามันมาจากมือของซ่งหานเจียงทันที แม้ว่าเธอจะมียางรัดผมสวยๆ อยู่หลายอันแล้วแต่ชิ้นนี้เป็ของที่พ่อมอบให้เธอ เธอไม่ยอมเสียมันให้ซ่งเสี่ยวสยาหรอก
ซ่งหานเจียงยิ้มสดใส “ลูกชอบก็ดีแล้ว”
ซ่งเสี่ยวสยาจ้องมองยางรัดผมชิ้นนั้นตาเขม็ง ั์ตาของเธอคล้ายกับมีความอิจฉาริษยาแทรกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“อารองคะ อาไปซื้อยางรัดผมนี่มาจากไหนหรือคะ?” ซ่งเสี่ยวสยาถาม
ซ่งหานเจียงตอบ “อาซื้อมาจากเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งน่ะ เหมือนได้ยินเธอบอกว่าเธอซื้อมาจากหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยนะ”
ซ่งเสี่ยวสยายิ้มระรื่นพลางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นอารอง อาช่วยซื้อยางรัดผมให้หนูสักชิ้นได้ไหมคะ?”
ซย่านีหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งที ซ่งเสี่ยวสยาคนนี้เห็นว่าซ่งหานเจียงเป็บิดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองหรือไง? ดูเข้าสิ อ้าปากแต่ละทีก็พูดแต่เื่ไม่เป็เื่ทั้งนั้น ซื้อให้สักชิ้นอย่างงั้นหรือซื้อของสักชิ้นนี่ไม่ต้องใช้เงินหรือไง?
ซ่งหานเจียงไม่ใช่คนตระหนี่แต่อย่างใด เมื่อหลานสาวของเขาถึงขั้นเอ่ยปากร้องขอเขาทั้งที หากเขามีเขาจะต้องให้มันกับหลานของเขาแน่ๆ แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีเหมือนกัน เพราะกว่าเขาจะหว่านล้อมเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นให้ยอมขายยางรัดผมชิ้นนี้ได้เขาต้องจ่ายเงินซื้อมันไปไม่น้อยเลย
ซ่งหานเจียงส่ายหน้า “ขอโทษด้วยนะเสี่ยวสยา เพื่อนร่วมชั้นของอาซื้อมาแค่สองชิ้นเท่านั้น อาต้องขอร้องเธอกว่าเธอจะยอมขายให้อาสักชิ้น อีกอย่างยางรัดผมชิ้นนี้ราคาตั้งหนึ่งหยวน อาไม่ได้มีเงินในมือมากมายขนาดนั้นหรอก”
ซ่งเสี่ยวสยากระทืบเท้าอย่างผิดหวัง สายตาของเธอกำลังจับจ้องไปที่ยางรัดผมสีชมพูชิ้นนั้น ท่าทางของเธอดูเหมือนอยากจะเดินเข้าไปแย่งมันมาจากมือของซ่งวั่งซูเอามากๆ
ส่วนซย่านีก็กำลังประหลาดใจกับราคาของยางรัดผมอยู่ ซ่งหานเจียงถูกคนหลอกเสียแล้วเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันชิ้นละหกเหมา สองชิ้นหนึ่งหยวน! หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือราคาของยางรัดผมชิ้นนี้อยู่ที่ชิ้นละห้าเหมาเท่านั้น มีอย่างที่ไหนเอาของมือสองมาขายต่อในราคาที่สูงขนาดนี้?
“พ่อคะ...” ซ่งวั่งซูเองก็คิดได้เช่นกัน เธอลังเลแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
หวังซิ่วอิงที่อยู่ในครัวกำลังเตรียมตัวยกอาหารมาตั้งบนโต๊ะ เธอเปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินซ่งหานเจียงพูดว่าซื้อยางรัดผมมาในราคาหนึ่งหยวน ตอนนั้นเองความรู้สึกไม่พอใจของเธอก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เธอวางจานอาหารลงบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ของอะไรราคาตั้งหนึ่งหยวน? ก็แค่ยางรัดผมไม่ใช่หรือไง? ช่างคุ้มค่ากับเงินหนึ่งหยวนเสียจริงนะ!”
หลังจากหวังซิ่วอิงมองเห็นหนังยางรัดผมสีชมพูที่อยู่ในมือของซ่งวั่งซูแล้ว เธอก็คว้ามันมาไว้ในมือตัวเองทันทีแล้วพูดอย่างเหลือเชื่อว่า “ไอ้เศษผ้านี่มันคุ้มกับเงินหนึ่งหยวนที่แกจ่ายไปงั้นหรือ?”
ซ่งหานเจียงมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “มันคือผ้าไหมต่างหาก”
ความหมายของเขาก็คือคุ้มค่าแล้ว
ซย่านีก้มหน้าลงแล้วหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ไหว
หวังซิ่วอิงโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “ต่อให้เป็ผ้าไหมก็ไม่คุ้ม! วัสดุจะสักเท่าไหร่กันเชียว? ทำไมแกถึงใช้จ่ายซี้ซั้วแบบนี้เพียงเพื่อจะซื้อยางรัดผมอะไรแบบนี้งั้นหรือ? โดนคนหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ยังเป็เด็กอยู่เลยเธอจะใส่ของแพงๆ แบบนี้ได้อย่างไร? พวกเด็กเล็กๆ ไม่ว่าจะบ้านไหนพวกเขาก็ใช้แค่หนังยางรัดผมทั่วไปทั้งนั้น นี่ก็ช่างกล้าให้เด็กใส่แล้วไม่กลัวอายุสั้นเลย!”
คำพูดนี้รุนแรงเกินไปแล้วแม้แต่ซ่งหานเจียงก็ยังขมวดคิ้ว
เขากล่าวขึ้น “ก็แค่ยางรัดผมชิ้นเดียว”
“อ่ะแฮ่ม” ซ่งเป่าเถียนไอหนึ่งทีราวกับเตือนสติ ก่อนจะหันไปพูดกับหวังซิ่วอิง “สั้นไม่สั้นอะไรกัน ล้วนแต่เป็ความเชื่อที่งมงายและล้าสมัยทั้งนั้น”
พอหวังซิ่วอิงได้ยินดังนั้นก็เงียบลงไป
แต่หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที จู่ๆ หวังซิ่วอิงก็นึกเื่อะไรขึ้นมาได้ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยในแววตามีประกายแว่บผ่าน “หานเจียง แกไปเอาเงินจากไหนมาซื้อยางรัดผมนี่กัน?”
ซ่งหานเจียงได้เงินอุดหนุนรายเดือนจากมหาวิทยาลัย โดยปกติแล้ว เขาจะเก็บเงินไว้กับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็ค่าใช้จ่ายรายวันของเขา แล้วส่วนที่เหลือก็นำกลับบ้านมาให้หวังซิ่วอิง
หวังซิ่วอิงจำได้อย่างแม่นยำว่ามหาวิทยาลัยของซ่งหานเจียงจะให้เงินอุดหนุนทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือน เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่ซ่งหานเจียงกลับมาบ้านเขาก็นำเงินอุดหนุนของเขามาให้เธอจนหมด แล้วตอนนี้เขาไปเอาเงินจากไหนมาซื้อผ้ารัดผมนี่กัน
เขาคงไม่ได้ซ่อนเงินไว้เป็การส่วนตัวหรอกนะ?
ซ่งหานเจียงนั้นเป็คนเถรตรงมาก เขาตอบตามจริง “ผมช่วยอาจารย์พิเศษทำการทดลองครับ อาจารย์ก็เลยให้เงินอุดหนุนเพิ่มผมนิดหน่อย ผมเองก็เพิ่งจะได้มาเหมือนกัน” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาจารย์พิเศษให้เงินอุดหนุนแก่เขาแต่ก่อนนมผงของลูกชายคนเล็กก็ใช้เงินอุดหนุนที่ได้จากอาจารย์นี่แหละ ซื้อมา...
“เงินเล่า?” หวังซิ่วอิงถาม
ซ่งหานเจียงลังเลเล็กน้อย เดิมทีเขาวางแผนว่าจะเก็บเง็นไว้เพื่อซื้อนมผงให้กับลูกชายของตน
หวังซิ่วอิงปรับสีหน้าลงแล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนหว่านล้อมเขา “แม่จะเก็บเงินไว้ให้แกก่อนก็แล้วกัน ถ้าแกจะใช้ตอนไหนก็ค่อยมาขอจากแม่ หากให้แกเก็บเงินไว้กับตัวเดี๋ยวแกก็เอาเงินไปใช้ซี้ซั้วอีก อย่างเื่ยางรัดผมชิ้นนี้ไง มันก็แค่ผ้าผูกผมไม่ใช่หรือ จำเป็ต้องซื้อแพงขนาดนี้เชียว? เงินหนึ่งหยวนสามารถซื้อเนื้อหมูได้ตั้งหนึ่งชั่งครึ่งแน่ะ เมื่อบ้านเราจะได้มีเนื้อกินเยอะๆ แถมคนในบ้านก็สามารถบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงได้อีก พอคิดแบบนี้แล้วมันจะดีแค่ไหนกันนะ?”
เดิมทีซ่งหานเจียงยังคิดว่าการซื้อยางรัดผมให้ลูกสาวสักชิ้นก็คงไม่เป็ไร แต่หลังจากที่ได้ฟังหวังซิ่วอิงพูดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าที่หวังซิ่วอิงพูดมานั้นดูเหตุผลอยู่บ้าง ดูลูกสาวของเขาสิ ทั้งตัวเล็กและทั้งผอมแห้งควรบำรุงร่างกายบ้าง
ดังนั้นเขาจึงหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วก็มอบมันให้หวังซิ่วอิง โดยยังไม่ทันได้นับให้ถี่ถ้วน
เมื่อหวังซิ่วอิงได้รับเงินก็ยิ้มแฉ่งทันที เธอขยิบตาให้ซย่านีก่อนจะรีบยัดเงินลงกระเป๋าด้วยความลำพองใจ
ซย่านีมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเ็า ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน หวังซิ่วอิงซื้อเนื้อสัตว์ให้คนในบ้านจริงๆ แต่นั่นก็เพื่อบำรุงสุภาพครอบครัวของพี่ใหญ่และหลานๆ ของเธอเท่านั้น ส่วนฝั่งลูกจริงๆ ของซ่งหานเจียงน่ะหรือเธอไม่เคยจะได้เห็นแม้แต่เศษชิ้นเนื้อด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าซย่านีไม่สามารถนำเงินของสามีกลับมาเก็บไว้ในมือตัวเองได้ ที่เธอไม่เดือดร้อนเป็เพราะว่าตอนนี้เธอไม่ได้ขาดแคลนเงินอีกต่อไป แต่เธอกำลังคอยจับตาดูปฏิกิริยาของซ่งวั่งซูอยู่ต่างหาก
เด็กหญิงตัวเล็กๆ นั้นรู้ความกว่าวัยของซย่านีมากนัก เวลานี้เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์รู้แล้วว่าเงินคือของดี ตอนที่ซ่งหานเจียงส่งเงินให้หวังซิ่วอิงผู้เป็ย่าเด็กสาวมองตาแทบจะถลนออกมา ซ่งวั่งซูคงอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด
ซย่านีอดคิดไม่ได้ว่าหากในอนาคต เธอเกิดหย่าร้างกับซ่งหานเจียงขึ้นมา ลูกสาวจะต้องเรียนรู้ว่าหากเลือกอยู่กับพ่อ พ่อก็จะให้ย่าเป็คนเก็บเงินเช่นนั้นแล้วซ่งวั่งซูก็จะไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง แต่หากเลือกที่จะอยู่กับแม่ตัวเธอก็จะมีทุกอย่างที่เธออยากมี
หากเป็เช่นนี้แล้ว เด็กสาวจะเลือกอยู่กับแม่ไหมนะ
