โลงศพไม้สีดำซึ่งตั้งอยู่ที่ก้นบ่อน้ำใจกลางหุบเขานั้นค่อนข้างน่าขนลุก และยามนี้มันก็ส่งเสียงโหยหวนแสนประหลาดออกมาเป็ครั้งคราว
สายหมอกแห่งความโกลาหลครอบคลุมทั่วพื้นที่หุบเขาด้านนอก ดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมเปลวเพลิงวูบไหว ก่อนที่วัตถุคล้ายมนุษย์ที่อยู่ข้างในจะเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณบนโลงศพไม้สีดำพรั่งพรูด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์จากดวงดาวทั้งเก้า ประตูที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงดึงดูดสายตาของผู้คนราวกับสามารถทะลุผ่านห้วงมิติพิศวงได้ ซึ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนกและโหยหามันในเวลาเดียวกัน
มีเพียงหนิงเทียนและศิษย์ซิงซิวในชุดม่วงเท่านั้นที่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้ง ส่วนคนที่อื่นๆ รวมถึงซูอวิ๋นและชิวซานอวิ๋นก็ทำได้เพียงจ้องมองตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณและหวาดกลัวในพลังของมัน
อาวุธิญญาชิ้นนี้ค่อนข้างน่าเกรงขาม หลังจากฟื้นขึ้นมาไม่นานมันก็สามารถกำราบสิ่งชั่วร้ายในโลงศพไม้สีดำ และมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังอยู่เนืองๆ
ฝาโลงศพสั่นระรัวราวกับมีบางอย่างพยายามคลานออกมา เปลวเพลิงในตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณสะบัดไหว ประตูบานนั้นค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางกองเพลิงที่โอบล้อม ราวกับแสงจางๆ ที่แยกออกจากกันแล้วพุ่งตรงมาทางประตู
เปลวเพลิงเก้าสีและลูกตาทั้งเก้ายังคงผสานพลังอยู่ในเส้นลมปราณที่หกของหนิงเทียน ทว่ายังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะข้อกำหนดของเลขเก้าหลักนั้นสูงเกิน หรือมันยังมอบโอกาสไม่เพียงพอ
ขณะที่หนิงเทียนกังวลเื่นี้และตกอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นรังสีที่มองไม่เห็นก็พุ่งใส่ร่างของเขาและเจาะเข้าไปในเส้นลมปราณที่หก ช่วยให้การหลอมรวมของเปลวเพลิงและดวงตาผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบในคราวเดียว
แผนที่จิติญญาควบแน่นก่อตัวเป็เปลวเพลิงและปรากฏขึ้นข้างกายหนิงเทียน เขาซึ่งแต่เดิมอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าก็เข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกในทันที
เส้นลมปราณของหนิงเทียนสั่นะเือย่างรุนแรง พลังิญญาพลุ่งพล่าน และแผนที่จิติญญาเนตรเพลิงก็ปรากฏขึ้นในร่างของเขา แต่สิ่งที่ปรากฏภายนอกคือเปลวเพลิง ซึ่งสร้างความแตกต่างที่ดูขัดแย้งกับลำธารวงแหวน
ต้นไม้ ดอกไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์หลอมรวมกับพลังของน้ำและไฟ นี่คือจิติญญาในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกของเขา ซึ่งแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
หนิงเทียนมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ทันทีที่เขาเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก เปลวเพลิงในตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณที่เคยสว่างไสวก็มอดดับลง
แม้ดวงดาวทั้งเก้ายังคงส่องแสงอยู่ แต่การดับสลายของเปลวเพลิงก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
สายลมกระโชกแรงพัดผ่านโลงศพไม้สีดำจนฝาโลงศพปลิวออกมา ดูเหมือนมันจะถูกเปิดผนึกเพราะเปลวเพลิงในตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณหายไป
หมอกปีศาจทมิฬพลุ่งพล่านและกวัดกวาดไปทั่วทุกทิศทาง พร้อมกำเนิดเป็ิญญาชั่วร้ายและปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันล้วนแยกเขี้ยวขู่ด้วยท่าทางดุร้าย ทำให้ผู้คนมากมายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ศิษย์หลักหลายคนที่เตรียมแย่งชิงตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณต่างก็ตื่นใ ก่อนจะเริ่มหันหลังหนีตามสัญชาตญาณ
ร่างสีม่วงเอื้อมมือคว้าตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับภาพฝัน ก่อนที่ดวงดาวทั้งเก้าจะสลายหายไปในทันใด
หมอกทมิฬปกคลุมหุบเขาและครอบคลุมทุกอาณาบริเวณ นอกจากหนิงเทียนที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์โดยใช้ความรู้สึกบางอย่างแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณตกไปอยู่ในมือของใคร
เสียงคำรามของปีศาจเสียดแทงแก้วหู ทั้งยังแทรกซึมเข้าไปในสมอง พลังชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเปรียบเสมือนประตูนรกที่เปิดออกแล้วพุ่งขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้
ซูอวิ๋นกรีดร้องอย่างไม่พอใจและกางภาพพันทิวเขาเหมันต์ออกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็เข้ามาปัดเป่าหมอกอันมืดมิด ซึ่งเป็สิ่งยืนยันว่าภาพเขียนนี้สามารถยับยั้งพลังชั่วร้ายได้อย่างแท้จริง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวจินอวิ๋นก็เรียกภาพธาราทักษิณในวสันตฤดูออกมาทันที ขณะที่ชิวซานอวิ๋นก็รีบไปอยู่ข้างกายซูอวิ๋นโดยที่ผนึกโบราณยังคงฉายแสงสีม่วงเหนือศีรษะของเขา
ยอดฝีมือจากแปดสำนักจื๋อซิวต่างก็กางภาพห้าพยัคฆ์ลงเขาและอินทรีสยายปีกเช่นกัน ซึ่งก่อให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยขึ้นมาสองแห่ง ส่วนภาพไตรดาราเคียงจันทรา กระดานหมากรุก และตัวหมากล้วนเปิดใช้เพื่อปกป้องศิษย์ซิงซิวเพียงไม่กี่คน
ซิ่งอวี่เจวียนยืนอยู่ข้างหนิงเทียนโดยมีคัมภีร์หลิงฮวงลอยเหนือศีรษะ ซึ่งคัมภีร์ได้กางออกเป็โล่แสงป้องกันการบุกรุกของหมอกทมิฬ
เมื่อโลงศพไม้สีดำเปิดออก หมอกทมิฬกลืนกินความสว่าง ส่งผลให้แสงทั้งหมดค่อยๆ ริบหรี่ลง
พลันความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของหนิงเทียน กุญแจในการเข้าสู่ที่แห่งนี้มีทั้งหมดเก้าดอก แต่ยามนี้กลับมีเพียงแปดดอกเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นมา สมบัติจากหอฉินหายไปไหน? คนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาหรือ?
ซิ่งอวี่เจวียนมองไปรอบๆ อย่างประหม่า ภายนอกโล่แสงมีเพียงความมืดมิด ทั้งยังมีเงาปีศาจคอยจู่โจมและส่งเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรงดุจใบมีดแหลมคมที่สามารถเชือดเฉือนิญญาออกจากกันได้
ภาพตรงหน้าเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวให้นางอย่างมาก นางจึงเอนหลังพิงหนิงเทียนโดยไม่รู้ตัว
หนิงเทียนยังคงวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก แผนที่จิติญญาเนตรเพลิงในเส้นลมปราณที่หกนั้นลึกลับอย่างยิ่ง เนื่องจากมันมีทักษะเก้าเนตร์ที่ไร้เทียมทานแอบซ่อนอยู่
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่าเส้นลมปราณที่ห้าตอบสองต่อเส้นลมปราณที่หกด้วย
ลำธารวงแหวนหมายถึงน้ำ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดชีวิตอันไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเปลวเพลิงเก้าสีหมายถึงไฟ ซึ่งมีดวงตาแหลมคมที่มองเห็นทุกรายละเอียด และสามารถมองผ่านมายาทั้งปวงได้
เพียงแต่หนิงเทียนเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก แม้เปลวเพลิงภายนอกร่างกายจะมีเก้าสีแตกต่างกัน ทว่ากลับมีเพียงสองสีเท่านั้นที่สว่างไสว ขณะที่เปลวเพลิงอีกเจ็ดสียังอยู่ในสภาวะเงียบสงบ
“ระดับแรกของเก้าเนตร์คือเนตรกลั่นกรอง”
ข้อมูลนับอนันต์หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของหนิงเทียนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็หนทางบำเพ็ญ และเมื่อเนตรกลั่นกรองได้รับการขัดเกลาแล้ว สายตาของเขาจะได้รับการปรับปรุงร้อยเท่า ไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นได้กว้างไกลขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นในความมืด รวมถึงช่วยพัฒนาทักษะการสังเกตและเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ได้อีกด้วย
สายตาของผู้บำเพ็ญนั้นละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป เนื่องจากอวัยวะพื้นฐานของร่างกาย เช่น ตา หู จมูก และปากล้วนได้รับการเสริมกำลังด้วยพลังิญญา ส่งผลให้ประสาทััต่างๆ อย่างการมองเห็น การัั และการรับรสก็ล้วนพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่เมื่อเทียบกับทักษะดวงเนตรที่แท้จริงแล้ว การปรับปรุงเหล่านี้ก็เป็เพียงการเปลี่ยนแปลงแบบผิวเผินเท่านั้น
หนิงเทียนฝึกฝนอย่างจริงจังก่อนจะพบว่าเลขเก้าหลักมีความสำคัญต่อทักษะดวงเนตร ความลึกลับและการเปลี่ยนแปลงในนั้นล้วนได้รับคำอธิบายและคำตอบจากเลขเก้าหลัก
เก้าเนตร์ระดับแรกเป็เพียงการปรับปรุงทักษะดวงเนตร แต่หากไม่เชี่ยวชาญในเลขเก้าหลักเสียก่อน หนทางการเข้าสู่่สมบูรณ์อันยิ่งใหญ่ของพลังนี้ก็ได้ย่อมยากลำบากอย่างถึงที่สุด
หนิงเทียนหยิบหินิญญาจำนวนมากออกมา ก่อนจะเริ่มการฝึกฝนโดยให้ความสนใจกับสถานการณ์ภายนอกโล่แสงไปด้วย คราวนี้ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์มีบทบาทอย่างมาก พลังิญญาที่ท่วมท้นหลั่งไหลเข้าสู่ดวงตาของเขาภายใต้การแนะนำของทักษะดวงเนตร ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและปรับปรุงสายตาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อเขาก็สามารถบรรลุทักษะเก้าเนตร์ระดับแรก ทั้งยังเข้าสู่่ปลายอีกด้วย
หนิงเทียนรู้สึกแสบร้อนในดวงตา จากนั้นเส้นลมปราณทั้งหมดในดวงตาก็เชื่อมต่อกัน ส่งผลให้การมองเห็นของเขาดีขึ้นหลายสิบเท่าในชั่วพริบตา
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องอันแหลมคมดังขึ้น และทำให้จิตใจของทุกคนตึงเครียด
ใครกัน? เขาตายได้อย่างไร?
หลายคนตื่นตระหนก พวกเขาเริ่มเห็นร่างปีศาจขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากโลงศพอย่างรางๆ
เปลวเพลิงแห่งความโกลาหลปรากฏขึ้นในกลุ่มหมอกทมิฬราวกับิญญาชั่วร้ายมาเยือน เสียงแตกร้าวดังสนั่นราวกับปีศาจกำลังสู้รบอย่างดุเดือด
หนิงเทียนมีสีหน้าประหลาดใจและสงสัย ทันใดนั้นเขาก็พบร่องรอยของจิตสังหารและรีบดึงซิ่งอวี่เจวียนขยับหนีไปสองสามก้าว ก่อนที่เถาวัลย์จะพุ่งผ่านร่างของพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
“เถาวัลย์หัวผีพันิญญา!” หนิงเทียนรับรู้ได้และเปิดใช้เก้าเนตร์ระดับหนึ่งทันที เมื่อิญญาปรากฏในดวงตา สายตาของเขาก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ยามนี้ดวงตาของเขาไม่ต่างจากดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่สุกใส ซึ่งสามารถมองเห็นเถาวัลย์สีดำหายวับไปท่ามกลางฝูงเงาปีศาจได้อย่างชัดเจน
“หาเจอหรือไม่?” ซิ่งอวี่เจวียนไม่สบายใจอย่างยิ่ง แม้ขอบเขตของนางจะสูงกว่าหนิงเทียน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงต้องพึ่งพาเขาอยู่เสมอ
“มันพุ่งเข้าไปในหุบเขาหลังจากโลงศพไม้สีดำเปิดออก” ใบหน้าของหนิงเทียนจริงจังอย่างยิ่ง สภาพแวดล้อมยามนี้ทั้งอันตรายและคาดเดาไม่ได้ จึงเป็เื่ยากสำหรับทุกคนที่จะอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
หลังจากโลงศพไม้สีดำเปิดออก ไม่สำคัญว่าฝาโลงจะไปอยู่ที่ใด สิ่งสำคัญก็คือมีสิ่งใดออกมาจากโลงศพต่างหาก
ร่างกายอันบอบบางของซิ่งอวี่เจวียนสั่นเล็กน้อย นางคว้าแขนของหนิงเทียนแล้วถามว่า “เ้าเห็นชัดไหมว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?”
หนิงเทียนเปิดใช้ทักษะดวงเนตรอีกครั้ง ยามนี้สัตว์ประหลาดกำลังห้ำหั่นกันในสายหมอก กลุ่มหนึ่งมาจากเปลวเพลิงที่สับสนวุ่นวาย อีกกลุ่มมาจากโลงศพไม้สีดำ ซึ่งเขามองเห็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ เท่านั้นไม่สามารถมองเห็นลักษณะเฉพาะได้ชัดเจน
แท้ที่จริงแล้วบ่อน้ำแห่งนี้คือสถานที่แบบใดกันแน่?
เหตุใดจึงมีโลงศพเช่นนี้?
ใครกันที่คอยคุมขังมันไว้?
มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในโลงศพ?
แล้วสิ่งมีชีวิตในเปลวเพลิงโกลาหลคืออะไร?
หนิงเทียนเต็มไปด้วยข้อสงสัยซึ่งไร้คำตอบ
ขณะนี้แสงจากภาพเขียนบางภาพค่อยๆ กระจายออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น ดูเหมือนว่าศิษย์ของบางสำนักกำลังถูกโจมตี
เมื่อหันไปทางต้นเสียง หนิงเทียนก็เห็นเถาวัลย์สีดำเคลื่อนไหวอย่างเร็วดุจสายฟ้าและมีคราบเืติดอยู่ที่ปลายเถาวัลย์ นี่คือเถาวัลย์หัวผีพันิญญาที่ฉวยโอกาสจากความชุลมุนสังหารผู้คน
“ทำไมมันถึงฆ่าคน?” หนิงเทียนสับสนอย่างมาก ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเ่าั้นับว่าอ่อนแอยิ่งกว่ามดปลวกเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดเถาวัลย์หัวผีพันิญญาถึงสนใจพวกเขา?
ถ้าเถาวัลย์นี้โจมตีหนิงเทียน เขาก็ยังพอเข้าใจได้เพราะเขาเคยไล่ล่ามัน แต่คนอื่นๆ ไม่ได้เป็ภัยคุกคามต่อมันเลยสักนิด แล้วเหตุใดมันต้องลอบสังหารพวกเขาด้วย?
ที่นี่ยังมีความลับอื่นอีกหรือไม่?
หนิงเทียนทำสมาธิและฝึกฝนอย่างหนัก เขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกและรอบด้านก็ปกคลุมไปด้วยหมอกทมิฬ เขาจึงไม่สามารถดูดซับพลังิญญาได้ และทำได้เพียงการดูดซับพลังจากหินิญญา
นอกจากนี้หนิงเทียนยังตระหนักถึงความสำคัญของทักษะดวงเนตร ภายในสภาพแวดล้อมที่มืดมนเช่นนี้ ดวงตาของซิ่งอวี่เจวียนไม่ต่างจากคนตาบอด แม้จะอยู่ในขอบเขตผนึกดาราขั้นแปดแต่นางกลับมองไม่เห็นสิ่งใด
หากหนิงเทียนไม่ได้ฝึกฝนเก้าเนตร์ระดับแรกจนสำเร็จ เขาก็คงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกโล่แสงได้เลย
ทว่าเก้าเนตร์ระดับแรกในยามนี้ยังไม่เพียงพอต่อการมองเห็น หนิงเทียนต้องฝึกทักษะดวงเนตรให้สมบูรณ์แบบโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่เก้าเนตร์ระดับสอง เมื่อนั้นจึงจะพอมีความหวังว่าจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
เขาต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็อย่างไร แต่สภาพแวดล้อมในยามนี้ทำให้เกิดข้อจำกัดในการบ่มเพาะอย่างมาก หากอยู่ด้านนอก เขาจะสามารถใช้ยันต์เต๋าอนันต์ที่สุ่ยหลิงมอบให้เพื่อเสริมสร้างรากฐานและบรรลุขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกได้ทันที
ทว่าที่แห่งนี้ไม่สามารถทำได้ หมอกทมิฬประกอบด้วยสิ่งลึกลับและเปลวเพลิงโกลาหลก็เต็มไปด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนร่างกายมนุษย์อย่างรุนแรง
หนิงเทียนเคลื่อนไหวอย่างสงบ บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและคำสาปแช่งในหู และจำนวนศิษย์ซิงซิวและจื๋อซิวก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง
เขา้าทำลายเถาวัลย์หัวผีพันิญญา แต่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความโดดเด่นที่สามารถต่อกรกับเถาวัลย์หัวผีพันิญญาได้ ดังนั้น หนิงเทียนจึงทำได้เพียงป้องกันตัว พลันลำธารวงแหวนข้างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า พร้อมโอบล้อมร่างของซิ่งอวี่เจวียนเอาไว้
ในหุบเขามืดสนิท ม้วนภาพเขียนทั้งห้า กระดานหมากรุก ตัวหมากรุก และคัมภีร์หลิงฮวงล้วนสร้างพื้นที่ปลอดภัยแปดแห่ง ซึ่งสามารถต้านทานิญญาชั่วร้ายในเปลวเพลิงโกลาหลและปีศาจในหมอกทมิฬได้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
สิ่งหนึ่งที่หนิงเทียนไม่รู้ คือ การเลือกเป้าหมายของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาไม่ใช่การสุ่ม แต่เป็ความตั้งใจจริงของมัน
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาบีบบังคับให้ศิษย์แต่ละสำนักยอมแพ้ และหลังจากศิษย์หลักเ่าั้เสียชีวิตไป เืจะหลั่งไหลออกมาจนเกิดเป็รอยเืบนพื้น แล้วก่อตัวเป็ค่ายกลพิเศษบางอย่าง
ทันทีที่ศิษย์หลักคนที่เก้าเสียชีวิต เปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำขึ้นในหุบเขาอันมืดมิด ทำให้สถานการณ์ที่วุ่นวายยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น
ศิษย์จากทุกสำนักต่างตื่นตระหนก สถานที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่? เหตุใดถึงน่ากลัวและชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้?
