ใน่พักร้อนของหลัวจ้งซีได้มีบาร์เทนเดอร์ชื่อจินอิ๋นมาทํางานแทน ภัตตาคารฉือเซ่อเป็ส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมอาหารจ่านเฟิง และยังมีร้านอาหารอื่นๆ อยู่ในเครือด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วไม่จำเป็ต้องย้ายไปที่บาร์ร้านอื่นเลย แค่รอบนอกก็สามารถจัดการได้ เพียงแต่ว่าสัปดาห์นี้ร้านอาหารมีกิจกรรมงานจัดเลี้ยง
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ อี้สี่ก็ไปที่บาร์เพื่อดื่มกาแฟเย็นสักแก้ว ก่อนเธอจะพบว่าจินอิ๋นและอามีกำลังยุ่งกันอยู่ที่บาร์ อามีกำลังนำตะเกียบที่ล้างแล้วตากแห้งไว้ใส่ลงในซองกระดาษ แม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับการทำงานเช่นนี้แล้ว แต่กองตะเกียบสูงตรงหน้าก็ยังคงต้องใช้เวลาพอสมควร อี้สี่เองก็เขินอายเกินกว่าจะขอกาแฟสักแก้วแล้วจากไป ดังนั้นจึงเข้าไปช่วย
จินอิ๋นเองก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน “ทำไมถึงมีคุณทำคนเดียวล่ะ? จะเร็วกว่าไหมถ้าเราทุกคนมาช่วยกัน?”
“อ่า ก็เพราะคืนวันอาทิตย์ที่ร้านคาราโอเกะได้เล่นเกมกันแล้วแพ้เดิมพันน่ะ นี่เป็การลงโทษ ฉันเลยทำได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้” อามีพูด สีหน้าของเธอดูไม่มีร่องรอยความพอใจเลย ดูราวกับการเล่นเกมเดิมพันเป็เื่ปกติอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ใช่่เวลาที่เหมาะจะแพ้เลยจริงๆ และยังมีงานจัดเลี้ยงเข้าพอดี ต้องเอาตะเกียบและช้อนอีกสองกล่องจากโกดังออกมาล้างทำความสะอาดอีก” จินอิ๋นพูด เขาเห็นว่านอกจากตะกร้าสองใบบนโต๊ะแล้ว ยังมีตะกร้าอีกสองใบบนพื้นด้วย
“นั่นคือเหตุผลที่การพนันเป็เื่สนุกไง ถ้ามันเหมือนเดิมก็คงจะไม่น่าตื่นเต้นเอาเสียเลย” อามีหัวเราะอย่างไม่สนใจ “ยังไงก็ตามคุณก็น่าจะยุ่งอยู่นี่ ทำไม ทำใจทิ้งฉันไว้ไม่ได้เหรอไง?” เธอพูดกับจินอิ๋นด้วยรอยยิ้ม หยอกล้อเหมือนกับว่ารู้จักเขาเป็อย่างดี
จินอิ๋นมาช่วยจริงๆ แต่ก็ตะคอกตอบอย่างไม่เต็มใจ “ก็คุณเอาอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารมาที่บาร์โดยตั้งใจ แล้วยังวางมันไว้ต่อหน้าต่อตาผมอีก จะไม่ให้ผมช่วยคุณได้ยังไงกัน” อี้สี่ฟังการสนทนาของทั้งสองพลางคิดว่าจินอิ๋นเองก็น่าจะเป็คนอบอุ่นและเข้ากับคนง่ายด้วยเช่นกัน
อี้สี่พยายามเปิดซองกระดาษ แต่ด้วยรูซองกระดาษที่เล็กมาก ทำให้ยากที่จะสอดตะเกียบเข้าไปได้ ในหนึ่งนาทีเธอสอดไปได้เพียงแค่สองซองเท่านั้น อามีเดินเข้ามาดูแล้วพูดว่า “เชฟ คุณทำช้าเกินไปแล้ว ฉันจะสอนคุณเอง” เธอใช้เพียงนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือข้างขวาถูเปิดซองกระดาษออก พับเล็กน้อย จัดตำแหน่งตะเกียบแล้วเลื่อนดันเข้าไป
“ว้าว! คุณสุดยอดไปเลย” อี้สี่ชื่นชมความเร็วของอามีที่รวดเร็วมาก สามารถทำเสร็จได้ในพริบตาเดียว อันที่จริงยามที่เธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารก็ไม่เคยสนใจอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารเลย เพราะดูเหมือนเป็สิ่งที่มีอยู่ทั่วๆ ไปปกติ และยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าพวกมันจะถูกจัดเตรียมไว้เป็คู่ ปรากฏว่ามีความตั้งใจของผู้คนมากมายอยู่ในมื้ออาหารด้วย
“การฝึกฝนจะทำให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณนะ” อามีพูด ผมของเธอสั้น ใบหน้าของเธอลึกล้ำและรูปร่างหน้าตาก็สวย แต่การเคลื่อนไหวหยาบกระด้างมาก น้ำเสียงแหบห้าว โดยรวมให้ความรู้สึกแบบทอมบอย “การที่คุณมาช่วยก็เป็เื่ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอยากคุยกับคุณนักหรอก ฉันน้ำหนักลดลงหลังจากที่กินหัวหอมเมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันคนนี้เกลียดการกินหัวหอมมากที่สุดเลย” อามีพูดอย่างตรงไปตรงมา อี้สี่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยความเขินอายว่า “สัปดาห์นี้หัวหอมสำหรับทำอาหารพนักงานมีน้อยลงมาก ฉันพยายามอย่างหนักจริงๆ” อี้สี่ค้นพบว่าตอนที่เธอเป็คุณครู เพื่อนร่วมงานของเธอเป็คนเงียบๆ และพูดจาอ้อมค้อม ถ้าพูดรุนแรงมากกว่านี้อีกนิดเดียว ศักดิ์ศรีของบางคนก็จะเสียหายจนทนไม่ไหว แต่ในงานร้านอาหารผู้คนมักจะพูดกันตรงมาก พูดสบถตรงๆ และเล่นมุกตลกใส่กันตรงๆ ด้วย ถ้าคุณทนไม่ได้ คุณจะถูกหัวเราะเยาะตรงๆ มากกว่าเดิม
เมื่อจินอิ๋นพบว่าอี้สี่ไม่รู้จะต้องตอบสนองอย่างไร จึงได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์โดยพูดว่า “แม่ง! อามีคุณหน้าตาดีมากนะ แต่คำพูดคำจาเองก็แย่มากด้วย ทุกคนยังต้องเรียนรู้อยู่ คุณไปว่าเค้าทำไมเล่า!”
“งี่เง่า ว่าฉันอย่างนี้นี่เป็การดูถูกฉันนะ” อามีผลักจินอิ๋น จินอิ๋นหัวเราะ “ผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็ ไหนขอผมดูหน่อยสิ”
“แม่งเอ๊ย!” อามีปาตะเกียบใส่จินอิ๋น แต่จินอิ๋นหลบทัน พวกเขาทั้งสองต่างพ่นคำหยาบคายใส่กัน หัวเราะและสบถคำด่า ทว่าในขณะที่เล่นแบบนี้ทั้งคู่ต่างก็จัดการใส่ตะเกียบหลายคู่ไปอย่างรวดเร็วจนได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
อี้สี่ดูอายุของจินอิ๋นไม่ออก ผิวของเขาขาวมาก ขนตายาวมากและมีดวงตากลมโต สีตาเป็สีน้ำตาลอ่อน ผมย้อมเป็สีทอง คางเรียวแหลม ในปากเล็กมีเขี้ยวน่ารักคู่หนึ่ง ยามที่ไม่พูดคําหยาบดูเป็หนุ่มเกาหลีที่มีอารมณ์ขัน ส่วนเวลาที่อามีไม่พูดคำหยาบก็นิสัยดีเช่นกัน ผิวพรรณดีมาก อี้สี่ยังไม่สนิทกับพวกเขาเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าพวกเขาจริงใจและสนุกสนาน จึงทำเพียงหัวเราะน้อยๆ พลางมองดูการทะเลาะของพวกเขา
“เอาละ สงบศึก ครอบครัวอี้สี่เคยเป็คุณครูมาก่อน เราไม่สามารถพูดคําหยาบต่อหน้าคุณครูได้” จินอิ๋นยกมือขึ้นอย่างยอมจํานนต่ออามี
“คุณครู?” อามีประหลาดใจจนหันไปมองอี้สี่ เธอเป็คนที่สุภาพและสงบเสงี่ยมจริงๆ ด้วย ไม่เหมือนกับพวกคนครัวเลย “ว้าว! คุณเป็นักวิชาการ! เสียมารยาทแล้วๆ” อี้สี่รู้สึกทั้งหงุดหงิดและกระอักกระอ่วน แต่น่าแปลกที่ใบหน้ายิ้มแย้มของอามีสามารถทำให้ผู้คนไม่สามารถโกรธได้เลย มากที่สุดพวกเขาก็แค่คิดว่าเธอไม่ได้จริงจัง อาจเป็เพราะข้อได้เปรียบนี้ เธอจึงเหมาะกับงานเบื้องหน้า
“ตอนนี้ฉันไม่อยากเป็ครูแล้วล่ะ ฉันคิดว่าการได้ทำงานที่ร้านอาหารเป็เื่สนุก แต่ยังต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากพวกคุณ” ท้ายที่สุดแล้วอี้สี่ก็เคยเป็คุณครู สิ่งที่พูดจึงฟังแล้วสบายหูมาก ไม่ใช่คำชมที่ชัดเจน แต่อามีและจินอิ๋นรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
อามีเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามจินอิ๋นด้วยความสับสนว่า “คุณก็ไม่ได้มาจากร้านของพวกเรานี่ จะมาที่นี่ก็เพียงครั้งคราวเท่านั้น ทำไมคุณถึงรู้เื่คนอื่นดีขนาดนี้กัน เฮ้อ มีเื่ให้ซุบซิบมากมายจริงๆ” จินอิ๋นยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่ปฏิเสธและก็ไม่ได้อธิบาย
“ผมเป็คนนินทาเก่งมาก ผมรู้ด้วยว่าตอนที่เราไปร้องเพลงในวันนั้น เฉินเจี้ยนฉวินและฉีเสี่ยวิ่คนทำเบื้องหน้าที่มาใหม่ของพวกคุณใกล้ชิดสนิทกันมาก ดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่นะ” จินอิ๋นพูด
“ว้าว คุณรู้ได้อย่างไรในเมื่อคุณไม่ได้ไปด้วยน่ะ” ดวงตาของอามีเต็มไปด้วยความชื่นชม “งั้นคุณทายหน่อยว่าใครไม่ได้ไปร้องเพลงบ้าง?” เธอเพียงคิดว่ามันน่าสนใจ จึงถามออกไปก็เท่านั้น และเมื่อจินอิ๋นไม่สามารถตอบได้ เธอก็จะทำให้เขาหงุดหงิดจนดูไม่ได้ไปเลย
“ผมรู้ว่าเชฟซ่งจะต้องไม่ได้ไปอย่างแน่นอน และหลัวจ้งซีกับอี้สี่ก็ไม่ได้ไปเช่นกัน” เมื่อตอนที่จินอิ๋นพูดก็ได้หันมองไปทางอี้สี่เป็พิเศษ ดวงตาที่ยิ้มแย้มของเขาเฉียบคมมาก ดูเหมือนว่าเขากำลังตอบคำถามแบบสบายๆ แต่เมื่อเขามองไปที่อี้สี่ อี้สี่กลับรู้สึกราวกับว่าถูกเขามองผ่านทะลุปรุโปร่ง หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำรัวเร็ว จินอิ๋นไม่ได้รู้สึกว่าใบหน้าของเขาดูน่ากลัวอะไรขนาดนั้น ดวงตาของเขามองไปทางเธออยู่ครู่หนึ่ง ด้วยดวงที่เฉียบคมราวกับกำลังตะครุบเหยื่อ
“อี้สี่ ผมพูดถูกหรือเปล่า?” จินอิ๋นจงใจเอ่ยถามเธอราวกับว่ารู้ว่าเธอมีความลับบางอย่าง
“อ่า ฉันไม่ได้ไปจริงๆ แต่ฉันไม่รู้ว่ามีใครไปหรือไม่ได้ไปบ้าง” อี้สี่หลบสายตาเขา
อามีไม่ได้สงสัยเลย เธออุทานด้วยความประหลาดใจ “คุณเป็เ้าแห่งการนินทาจริงๆ ด้วย”
อี้สี่รู้สึกไม่สบายใจมากและก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเธอถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ
ประจวบเหมาะที่ซ่งจื่อฉีเดินเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสามคนเข้าพอดี “ลืมไปว่าวันนี้หลัวจ้งซีต้องเดินทางไปทำธุระ จินอิ๋นชงกาแฟให้ฉันได้ไหม? ไม่ได้ดื่มกาแฟที่นายชงมานานแล้ว นายไม่ได้มาทำงานแทนที่ฉือเซ่อมาสักระยะหนึ่งแล้วนี่”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมทำให้” จินอิ๋นหยิบเครื่องมือออกมาเตรียมด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
ซ่งจื่อฉีมองไปที่อี้สี่ ค่อนข้างแน่ใจว่าอี้สี่มาช่วยงานภายใน่เวลาพัก “คุณอยู่ที่นี่พอดีเลย ผมมีเื่ที่ต้องพูดกับคุณพอดี สำหรับการจัดเลี้ยงวันมะรืน คุณจะเป็ตัวแทนของเื้ัออกไปพร้อมกับพวกทำงานเบื้องหน้า” เขาพูดกับอี้สี่
“ฉัน? ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ!” อี้สี่ใ
“มันง่ายมาก คุณทำได้” ซ่งจื่อฉีกล่าว
ในขณะที่อี้สี่กำลังจะพูดอะไรบาง จินอิ๋นก็ขัดจังหวะโดยการนำกาแฟมาให้ซ่งจื่อซี จินอิ๋นพูดกับอี้สี่ว่า “อย่ากังวลไป ผมก็ไปเหมือนกัน เดี๋ยวผมจะดูแลคุณเป็พิเศษเอง”
แต่ไอ้คำว่าพิเศษของเขาทำให้เธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่เลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้