หลินชิงเวยก้าวเข้ามาเก็บหนังสือบนพื้นเก็บได้สองเล่มพลันถูกเซียวจิ่มกุมมือเอาไว้ เขากล่าวว่า “ไม่ต้องเก็บแล้วระวังจะถูกเศษกระเบื้องบาดมือ”
หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าาโมโหโทโสเช่นนี้ จะร้อนในโดยง่าย ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของพระองค์นะเพคะ”เ้าเด็กคนนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะปิดบังความเกรี้ยวกราดของตนดูท่าแล้วในยามปกติเก็บอัดไว้ดียิ่งเป็ฮ่องเต้องค์หนึ่งไฉนจะไม่มีเื่หงุดหงิดใจเล่าอีกทั้งเขายังเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
ในเื่นี้หลินชิงเวยเข้าใจยิ่ง
เซียวจิ่นกล่าว “เมื่อสักครู่ที่เ้าเข้ามา ล้วนเห็นแล้ว?ขุนนางใหญ่เ่าั้ คุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักของเจิ้นขอความเมตตาให้กับครอบครัวกู้ซื่อ คดีของกู้ซื่อมีหลักฐานพร้อมมูลเจิ้นเชื่อว่าเสด็จอาไม่มีทางใส่ร้ายเขาเด็ดขาด”
“เช่นนั้นฝ่าาจะทรงกริ้วอันใดเล่า?”
เซียวจิ่นอึกอัก “เจิ้นโกรธพวกเขาที่พวกเขาคิดว่าเจิ้นเป็ฮ่องเต้ทรราช”
หลินชิงเวยหัวเราะและกล่าวว่า“อำนาจการตัดสินใจว่าจะให้มีชีวิตอยู่หรือปะาชีวิตอยู่ในมือของเสด็จอาเวลานี้ฝ่าาจะทรงกริ้วไปก็ไร้ประโยชน์เพคะ ขุนนางใหญ่เ่าั้มาคุกเข่าที่นี่ยิ่งไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าฝ่าาไม่สู้ให้พวกเขาไปคุกเข่าที่เสด็จอาทางนั้นเพคะ”
เมื่อฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาลงมาขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักเ่าั้ขอความเมตตาอยู่อีกครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่บังเกิดผลอันใดดังนั้นจึงได้แต่ลุกขึ้นจากไปเพื่อรีบรุดไปคุกเข่าที่เซ่อเจิ้งอ๋อง
ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้น ผืนปฐีแปรเปลี่ยนเป็สว่างสดใสดอกไม้ภายในเรือนจึงอบอุ่นตามสภาพอากาศ พากันบานสะพรั่งออกชั้นแล้วชั้นเล่า
ทว่าเซียวจิ่นอ่านหนังสือไม่เข้าสมองแม้แต่น้อย และไม่อยากอนุมัติฎีกาชัดเจนยิ่งนักว่าจิตใจของเขาไม่สงบ
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับคดีใหญ่ที่สุดั้แ่ขึ้นครองราชย์มากู้ซื่อทั้งตระกูลเป็ชีวิตคนร้อยกว่าคน ไม่ใช่ละครเด็กเล่น
หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าา ใกล้ยามอู่แล้วให้ขึ้นพระกระยาหารเลยหรือไม่เพคะ?”
ในที่สุดเซียวจิ่นก็ปิดหนังสือที่เขาอ่านไม่รู้เื่ในมือเล่มนั้นลงจิตใจกระวนกระวายของเขาสงบลงด้วยเขาได้ตัดสินใจในเื่บางอย่างได้แล้วเขาหันมามองหลินชิงเวย “ไม่ต้องแล้ว เจิ้นจะออกจากวัง”
“...”
“เจิ้นจะไปลานปะา”
หลินชิงเวยกล่าว “พระวรกายของฝ่าา ฝ่าาทรงแน่พระทัยนะเพคะว่าเสด็จลานปะาได้?”เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ยืนกรานของเด็กคนนี้ นางได้แต่กล่าวว่า “ได้เพคะในเมื่อเป็เช่นนี้ หม่อมฉันจะไปเรียกคนมาเก็บข้าวของ”
เซียวจิ่นหันกายกลับมาพร้อมกล่าวว่า“เจิ้น้าให้เ้าออกไปพร้อมกับเจิ้น”
“หม่อมฉันไม่อยากไปเพคะ” นางมิได้ป่วยสักหน่อยที่กินอิ่มเกินแล้วไปหาความรื่นรมย์ที่ลานปะาโทษปะาตัดคอในยุคสมัยโบราณ ลำพังแค่คิดก็เพียงพอแล้วนางไม่อยากกินข้าวไม่ลงหลายวันติดกันหลังจากกลับมา
อีกทั้งเื่นี้ถือเป็เื่สลดหดหู่น่าเวทนา เป็เื่ที่นางซึ่งมาจากยุคสมัยปัจจุบันคนหนึ่งมิอาจยอมรับได้
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงปฏิเสธเซียวจิ่นอย่างไม่เกรงกลัว
ทว่าเซียวจิ่นกลับเอ่ยขึ้นว่า “เจิ้นสุขภาพไม่ดีหากออกไปแล้วเกิดเื่อันใดขึ้น เสด็จอาไม่มีทางปล่อยเ้าเอาไว้”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงแล้วหันกายกลับมาจ้องหน้าเซียวจิ่น“ฝ่าาเริ่มยกเซ่อเจิ้งอ๋องมาข่มขู่หม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”
เซียวจิ่นคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เจิ้นเพียงแค่ล้อเล่นกับเ้าเท่านั้นขอเพียงมีเ้าอยู่ด้วย อย่างน้อยเจิ้นก็สบายใจขึ้นบ้าง”
“แต่หม่อมฉันเป็เพียงสตรีนางหนึ่ง ไหนเลยจะไปปรากฏกายที่นั่นได้?ฝ่าาไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์หรือเพคะ?”
รอยยิ้มของเซียวจิ่นไม่ลดลงแม้แต่น้อย “ยังไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
ดังนั้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลินชิงเวยอยู่ในชุดของขันทีใบหน้ากล้ำกลืนของนางปรากฏอยู่เบื้องหน้าเซียวจิ่น
์ เหตุใดนางจึงรับปาก นี่มิใช่การออกไปเที่ยวเล่นธรรมดานะ!
สภาพอากาศในวันนี้ดูเหมือนจะรับรู้ว่าเป็วันลงโทษปะา แสงแดดจากดวง9t;yoเจิดจ้า เซียวจิ่นนั่งอยู่บนเสลี่ยงั มีองครักษ์คุ้มกันแ่าออกจากวังหลวงไปอย่างเต็มพิธีการ
หลินชิงเวยในฐานะของขันทีคนสนิทของเซียวจิ่น อยู่ในขบวนม้าที่ล้อมหน้าล้อมหลัง
“ฝ่าาช่างใช้สอยผู้คนได้เปรื่องปราชญ์ยิ่งนักให้เงินเดือนเพียงตำแหน่งเดียว แต่ให้หม่อมฉันทำงานสามหน้าที่”
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “แล้วเจิ้นจะขึ้นเงินเดือนให้เ้า”
ลานปะาซึ่งเป็สถานที่ลงทัณฑ์เหล่าขุนนางอยู่ประตูเจิ้งเสวียน ที่นั่นในทุกๆยามอู่ ดวงตะวันที่สาดส่องลงมาทำให้เงาที่เกิดขึ้นสั้นที่สุดเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความชอบธรรมด้วยเหตุนี้มแเซียวจิ่นกล่าวว่าตนเอง้าออกไปจากตำหนักทว่ากลับมิได้ออกจากวังหลวงไม่ต้องกังวลเื่ความปลอดภัยมากนัก
หาไม่แล้วหากพาเขาออกไปเดินเล่นบนถนนนอกวังอาจพบกับมือสังหารได้โดยบังเอิญ ศีรษะของหลินชิงเวยก็ไม่ต้องรักษาไว้แล้ว
มาถึงประตูเจิ้งเสวียนเมื่อมองออกไป ลานจัตุรัสโล่งอันกว้างใหญ่บันไดภายในประตูเจิ้งเสวียน ราวบันไดหินล้วนให้ความรู้สึกเคร่งขรึมมุมที่ประทับที่ตั้งตระหง่านอยู่บนที่สูงนั้นยิ่งให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เกรียงไกรและทรงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่
และอีกด้านหนึ่งของบันไดหินของบนลานจัตุรัสด้านล่างมีนักโทษคุกเข่าอยู่เป็แถว พวกเขาสวมชุดนักโทษสีขาว ข้างกายของนักโทษมีมือเพชฌฆาตรูปร่างกำยำแบกดาบไว้บนหลังส่องประกายวาววับอยู่ทุกคน
นักโทษเ่าั้ั้แ่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว อายุมากที่สุดราวๆหกเจ็ดสิบปี อายุน้อยที่สุดราวๆ หกเจ็ดขวบ บรรยากาศภายในลานปะาเยียบเย็น
“ฝ่าาเสด็จ--”
เซียวเยี่ยนในฐานะของขุนนางผู้ตัดสินโทษในคดีนี้ กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งตรงกลางเขาอยู่ในอาภรณ์ชุดขุนนางสีม่วง เส้นผมสีดำราวกับน้ำหมึกของเขาถูกรัดตรึงด้วยเกี้ยวหยกสีเขียวอ่อนสีหน้าท่าทางที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คมสันทว่าแข็งแกร่ง
เมื่อได้ยินเสียงขันทีร้องขาน ใบหน้าของเซียวเยี่ยนปรากฎให้เห็นความประหลาดใจ
เขาหันกลับไปมองและพบว่าท่ามกลางขบวนของขันทีเซียวจิ่นกำลังถูกยกเข้ามาบรรดาขุนนางและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ในลานปะาต่างพากันคุกเข่าเพื่อรับเสด็จ
ทว่าเซียวเยี่ยนกลับยืนขึ้นมายังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มกล่าวขึ้นอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “ครานี้ท่าจะสนุก”
เซียวเยี่ยนเดินลงไป เซียวจิ่นลงมาจากเสลี่ยงัถูกประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้รถเข็นของเขา เก้าอี้รถเข็นถูกเข็นโดยหลินชิงเวยหลินชิงเวยอยู่ในอาภรณ์ของขันทีน้อย รูปร่างของนางเล็กแบบบางอย่างยิ่ง ผิวพรรณของนางทั้งขาวและส่องประกายอ่อนเยาว์ประดุจดอกหลี
เซียวเยี่ยนมองเซียวจิ่น สายตาของเขาเลื่อนขึ้นตกลงบนร่างของหลินชิงเวยเขามองเพียงแวบเดียวก็จดจำหลินชิงเวยได้ในทันทีดวงตาหงส์คู่นั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดความเกรี้ยวกราดที่เขาไม่เคยมีต่อหลินชิงเวย
ความเกรี้ยวกราดที่แล้วๆ มานั้นเป็เพียงความโมโหโทโสเล็กๆ น้อยๆทว่าความเกรี้ยวกราดในเวลานี้จึงจะเป็ความเกรี้ยวกราดใหญ่โต
เขากล่าวเสียงต่ำ “เ้ามีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้วใช่หรือไม่ใครให้ความกล้าหาญเช่นนี้กับเ้า!เปิ่นหวางให้เ้าดูแลฝ่าาให้ดี เ้ากลับกล้าหาญถึงกับพาฝ่าามาที่นี่! เ้าคิดว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไรที่นี่คือฝ่ายหน้าเป็สถานที่ที่เ้ามาได้หรือไร?!”
แม้หลินชิงเวยจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ทว่าเมื่อถูกเซียวเยี่ยนตวาดใส่นางเยี่ยงนี้นางยังคงตื่นตะลึงอยู่บ้าง เวลานี้มิใช่เวลาที่นางจะมาต่อปากต่อคำกับเซียวเยี่ยนต่อให้ภายในใจมีโทสะ ก็ไม่อาจไม่อดทนอดกลั้นเอาไว้
ดูเถิด ไม่มาก็ไม่ได้ มาแล้วก็ไม่ได้นางมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน!ท่านอ๋องร้ายกาจคนหนึ่ง มีอะไรเก่งกาจ!
เซียวจิ่นกล่าว “เสด็จอาอย่าได้กล่าวโทษนางเป็เจิ้นที่ยืนกรานจะมาให้ได้ และเป็เจิ้นเองที่ยืนกรานจะพานางมาด้วย”
ต่อมาบุรุษคนนั้นจึงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เอ่ยขึ้นว่า“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าา ต่อให้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่พอใจยิ่งกว่านี้แต่กระหม่อมคิดว่าอย่างไรฝ่าาก็ควรเสด็จมาพ่ะยะค่ะ ฝ่าาเติบโตขึ้นไม่น้อยเซ่อเจิ้งอ๋องจะทำเหมือนไม่ให้ฝ่าามีส่วนร่วมในทุกเื่เช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะยะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ฟังแล้วดูเหมือนใช่และเหมือนไม่ใช่
หลินชิงเวยอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ เห็นบุรุษคนนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าแพรสูงศักดิ์ไปทั้งตัวบนใบหน้านั้นยังปรากฏรอยยิ้มแฝงความหมายอื่น รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลาเอาการ ทว่าคำพูดแต่ละประโยคและพฤติกรรมแต่ละอย่างของเขากลับให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจชนิดหนึ่งกับผู้คน
ใจของนางวูบโหวง บุรุษคนนี้...เหมือนจะเคยพบที่ไหนมาก่อน
ยังไม่รอให้หลินชิงเวยถอนสายตากลับมา ชายหนุ่มคนนั้นก็มองข้ามมาประจวบเหมาะจับได้ว่านางเองก็มองเขาอยู่เช่นกัน รอยยิ้มบนริมฝีปากจึงกดลึกขึ้น“ขันทีน้อยข้างกายฝ่าาเป็ขันทีที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่หรือพ่ะยะค่ะหน้าตาอ่อนเยาว์ยิ่งนัก เพียงแต่ดูแล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างพ่ะยะค่ะ”
อ่อนเยาว์อะไรของเ้า!