มู่หรงฉือยิ้มหยัน “ท่านอ๋องเอาเวลาไปสั่งสอนองค์หญิงตวนโหรวเถิด นางจะได้ไม่วิ่งมาที่ตำหนักบูรพาทุกๆ สองสามวัน”
เขามองส่งนางจากไป คิ้วเรียวเลิกขึ้น สีหน้าหงุดหงิดคลายลงมาเล็กน้อย
กลับมาถึงตำหนักบูรพา หลังจากมู่หรงฉือเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ทานอาหาร จากนั้นก็ออกจากตำหนักบูรพาโดยใช้เส้นทางลับ
เพราะว่านางได้รับจดหมายจากหรงจ้าน
ซู่อวี้เซวียนเป็ที่ที่มีทิวทัศน์งดงาม ทั้งยังมีความเป็ส่วนตัวมากในเมือง กำแพงก่ออิฐเขียว ตึกรับรองทุกห้องจะเว้นระยะห่างกันออกไป
หรงจ้านได้มาเตรียมน้ำชารอก่อนแล้ว ครั้นเห็นมู่หรงฉือผลักประตูเข้ามาก็ลุกขึ้นต้อนรับ
ในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา ตามกำแพงตกแต่งด้วยอักษรภาพกับภาพประดับ และแจกันดอกไม้ที่สร้างบรรยากาศงดงามขึ้นมา
หรงจ้านยิ้มหน้าบาน รินชาสองถ้วย “อากาศช่างแปลกประหลาดเสียจริง ยามนี้มีแดดออกแล้ว”
มู่หรงฉือดื่มชาทีเดียวหมด “เื่ที่ข้าให้เ้าไปสืบมาได้เื่แล้วหรือไม่?”
“ท่านเ้าสำนัก ท่านพักเสียก่อน” หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส “ขนมอิงเถาปี้หลัวเป็ของขึ้นชื่อของซู่อวี้เซียน ท่านรีบทานเถิด”
“ข้าไม่หิว เ้ารีบพูดมา”
“ข้าส่งคนจากหนึ่งในใต้หล้าออกไปก็ไม่ได้ข่าวว่าครอบครัวไหนมีคนตายหรือว่าหายตัวไป แต่ว่าได้รับเื่ที่ไม่คาดคิดมาเื่หนึ่ง” เขาแย้มพรายชวนให้อยากรู้
“เื่อะไร?” ในใจของนางรีบร้อนยิ่งนัก ถลึงตาใส่เขา
“มีสุนัขห้าตัวตายไป อีกทั้งวิธีการตายก็ยังแปลกประหลาดมาก เืถูกสูบไปจนแห้ง” หรงจ้านถามอย่างอยากรู้ “เ้าสำนัก ท่านกำลังตรวจสอบเื่อะไรหรือ?”
“เืสุนัข...” คิ้วของมู่หรงฉือยิ่งขมวดแน่นขึ้น สุนัขห้าตัวถูกฆ่าพร้อมกับถูกสูบเืไปจนแห้ง จะเกี่ยวกับฝนโลหิตเมื่อเช้าหรือไม่?
เื่ที่น่ากังวลนี้จะต้องมีคนอยู่เื้ั
ทว่า เืสุนัขมากมายขนาดนี้ จะลอบเอาเข้าวังอย่างไร? แล้วใช้วิธีการใดทำให้ตำหนักชิงหยวนมีฝนตกเป็เื?
หากมีคนลงมือทำอะไรกับตำหนักชิงหยวนจริง เช่นนั้นจะหลบหูตาของหน่วยลาดตระเวนได้อย่างไร?
ปริศนามากมายอัดอั้นอยู่ในใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่นี้ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกหนาทึบ
“เ้าสำนัก ท่านเ้าสำนัก...” หรงจ้านเห็นนางเหม่อลอยจึงร้องเรียกไปสองที
“ข้าไม่เป็อะไร” มู่หรงฉือดึงสติกลับมา หยิบขนมอิงเถาปี้หลัวมากัดไปหนึ่งคำ รสชาติเป็เอกลักษณ์จริงๆ อร่อยมาก
“ท่านเ้าสำนัก ่นี้ในวังเกิดเื่อะไรหรือ?” เขาเห็นวันนี้นางสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คิดว่าจะต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นเป็แน่
“อืม” จู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาเป็ประกาย “สองวันนี้เ้าได้ยินเด็กในเมืองร้องเพลงพื้นบ้านบ้างหรือไม่?”
“ท่านลืมไปแล้วหรือ? หนึ่งในใต้หล้าหว่านแหเอาคนที่มีความสามารถมา ในกลุ่มคนพวกนี้ ก็มีคนที่รู้เื่ในใต้หล้า นับประสาอะไรกับเื่ในเมืองลั่วหยาง” ถูกเ้าสำนักสงสัยเช่นนี้ หรงจ้านก็แทบจะกระอักเื “สองวันนี้เ้าสำนักจะต้องกังวลมากเป็แน่ ถึงได้ไม่ได้คิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
ความคิดของมู่หรงฉือไม่ได้อยู่ที่นี่ นางพูดออกมาด้วยความสงสัย “เพลงนั้นคงจะมีคนเผยแพร่ออกไป เ้าส่งคนไปตรวจสอบทีว่ามันมาจากที่ไหน”
เขาพยักหน้า “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ แต่หากคนที่อยู่เื้ัจงใจเก็บซ่อนร่องรอย เชื่อว่าคงจะตรวจสอบไม่เจอง่ายๆ เื่ที่เกิดขึ้นในวัง ข้าสามารถช่วยได้หรือไม่?”
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา “เมื่อตอนเช้ามืดของวันนี้มีฝนตก น้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคาของตำหนักชิงหยวนเป็สีแดงราวกับฝนเื นางกำนัลหลายคนเห็นเองกับตา องครักษ์หลายคนปีนบันไดขึ้นไปตรวจสอบที่หลังคาก็ไม่พบความผิดปกติอะไร”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหรงจ้านพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “มีเื่แปลกประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้น ท่านคิดว่าเื่นี้เป็ฝีมือคนทำหรือ?”
มู่หรงฉือพยักหน้า แววตาสงสัย “เหตุใดถึงต้องทำให้ตำหนักชิงหยวนมีฝนโลหิตตกด้วยเล่า?”
“เื่นี้น่าสนใจมาก หากข้าคิดอะไรได้ ข้าจะรีบบอกเ้าสำนักทันทีขอรับ” เขาแอบรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาที่เป็ผู้ดูแลของหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้มีเื่มากมายให้ทำ น่าเบื่อเหลือเกิน ในที่สุดก็มีเื่ประหลาดให้เขาได้ครุ่นคิด เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
“มีเื่หยกโลหิตตกจากฟ้ามาก่อน ต่อมาก็มีฝนโลหิตตกที่ตำหนักชิงหยวน เหมือนกับในเพลงนั้น ข้าคิดว่าสิ่งกล่าวเอาไว้ในเพลงนั้นจะเป็จริง ต่อไปอาจจะมีเกิดเื่ปลากินคน?” นางยกถ้วยชาขึ้นมา ไอร้อนจากชาลอยขึ้นมาตรงหน้านางจนกลายเป็หมอก ทำให้ใบหน้าเล็กของนางดูเลือนรางและพร่าเบลอ
“เ้าสำนัก หยกโลหิต ฝนโลหิต ปลากินคน แคว้นถูก่ชิง เพลงนั้นคงกำลังบอกใบ้ไปยังคนผู้หนึ่ง” หรงจ้านมักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอทว่าตอนนี้กลับมีสีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก แววตามีความเฉียบคม
มู่หรงฉือใจกระตุก หัวใจที่นิ่งสงบเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
ที่แท้เขาเองก็คิดได้แล้ว
หลังจากเกิดเื่ฝนโลหิตที่ตำหนักชิงหยวน ในหัวสมองของนางก็มีเพลงนั้นกับใบหน้าคนผู้หนึ่งลอยวนไปมา
เพลงนั้น กำลังชี้ไปที่คนผู้หนึ่งอย่างชัดเจน
นางไม่กล้าที่จะคิดให้ลึกลงไป กังวลว่าจะกลายเป็ความจริงที่นองเื กังวลว่าฟ้าและแม่น้ำจะมากัน ท้องฟ้าจะเปลี่ยนสี ูเาและแม่น้ำจะถล่มมาทับกัน ส่วนตนกลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถฉุดรั้งการพังทลายได้แม้แต่น้อย
เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเ้าสำนัก หรงจ้านก็พูดเสียงดุ “ท่านเ้าสำนักคิดได้นานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าคิดให้ลึกลงไป หากเพลงนี่ชี้ไปที่คนผู้หนึ่งจริง เช่นนั้น คนที่อยู่เื้ัก็กำลังเตือนท่านกับราชสำนัก หรือจะเป็ศัตรูของคนผู้นั้นกัน?”
มู่หรงฉือนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด มือขวาที่ยกถ้วยชาสีมรกตพลันไร้เรี่ยวแรง “อำนาจของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่ เ้าอยากจะสู้กับเขา หรือจะถอนรากถอนโคนเขาออกมา ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน หาเื่ตายให้กับตนเอง”
“ตอนนี้อำนาจของข้ายังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเขา ข้าจะลงมือบุ่มบ่ามไม่ได้” นางวางแก้วชาลง ดวงตาฉายแววหงุดหงิด
“สองปีมานี้ท่านแอบติดต่อกับราชวงศ์ลั่วเพื่อก่อตั้งราชสำนักใหม่ บ่มเพาะอำนาจ แต่ว่าความสามารถของราชสำนักเ่าั้ยังอ่อนแอเกินไป ไม่มีค่าพอให้พูดถึง หากได้รับการสนับสนุนจากสี่ตระกูลใหญ่ เช่นนี้ก็พอจะเป็ไปได้” หรงจ้านกล่าว
นางมีหรือจะไม่รู้? บริหารสำนักหนึ่งในใต้หล้ามาห้าปี บางทีแม้แต่กำลังจะปกป้องตัวเองยังไม่พอด้วยซ้ำ
หรงจ้านเป็ห่วงชีวิตแล้วก็ความปลอดภัยของเ้าสำนัก แต่ว่าตอนนี้ราชสำนักยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เพียงแต่คลื่นใต้น้ำที่ปะทุขึ้นมาจำเป็ต้องป้องกันให้ดี
เขาพูดปลอบ “เ้าสำนัก อย่างไรปริศนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็เื่เร่งด่วนที่สุด”
มู่หรงฉือพยักหน้า “ข้าจะกลับไปที่วังก่อน”
“จริงสิ คนจากจวนอวี้หวางมาถามว่าท่านกลับมาแล้วหรือไม่ทุกวัน มาวันละครั้งสองครั้ง แค่นี้ก็เกินพอแล้ว! ท่านเ้าสำนัก ท่านจะหลบแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะขอรับ” หรงจ้านพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“แล้วเขาจะทำอะไรได้? ก็ปล่อยให้เขาตรวจสอบไปสิ”
นางยกยิ้มเย็นก่อนจะกล่าวลา
รถม้าหยุดอยู่ตรงหน้าประตูซู่อวี้เซวียน ตอนที่นางกำลังจะก้าวเท้ากลับเห็นรถม้าที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายค่อยๆ มาจอดลงตรงหน้า
รถม้าคันนั้นเหมือนจะเป็ของจวนอวี้หวาง
นางรีบก้มหน้าลงทันที
“เตี้ยนเซี่ย”
เสียงทุ้มดังแทรกแสงแดดมา
มู่หรงฉืออดที่จะหยุดฝีเท้าไม่ได้ เห็นมู่หรงอวี้เดินมาทางตน สวมชุดคลุมสีทองเจิดจ้า แค่เดินมาก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
หลังจากฝนตกท้องฟ้าก็ใสราวกับได้รับการชะล้าง สีฟ้าราวน้ำทะเล เมฆสีขาวลอยละล่องประหนึ่งปุยฝ้ายที่ถูกลมฤดูร้อนม้วนจนเป็ก้อน
“ท่านอ๋องผู้มีกิจธุระอยู่ตลอดยังมีเวลาว่างมาพักผ่อนที่ซู่อวี้เซวียนด้วยหรือ?” นางเลิกคิ้วพูดเสียงเรียบ
“เปิ่นหวางผ่านทางมาเท่านั้น เห็นเตี้ยนเซี่ยอยู่ที่นี่ ก็เลยแวะมาทักทาย” มู่หรงอวี้พูดด้วยท่าทางใสซื่อ
“ในยามนี้ ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องควรจะอ่านฎีกาในวังหรือ?”
“เตี้ยนเซี่ยมาเจอสหายที่ซู่อวี้เซวียนหรือ?”
มู่หรงฉือเมินคำถามของเขา “เวลาไม่เช้าแล้ว เปิ่นกงควรจะกลับไปที่วังแล้ว”
เขามองนางขึ้นไปนั่งบนรถม้า ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
รถม้าเคลื่อนตัวออกไป เขาก็ะโตามขึ้นรถม้าไปจนตัวรถสั่นน้อยๆ มู่หรงฉือที่อยู่ในรถตัวสั่นไหวไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นคนค้อมตัวเข้ามานั่งลงตรงด้านซ้าย
นางนวดหว่างคิ้ว อยากจะรีบไล่เขาลงไป “หรือว่าท่านอ๋องคิดว่ารถม้าของเปิ่นกงนั่งสบายกว่า?”
มู่หรงอวี้ยกกาน้ำชาบนโต๊ะตัวเตี้ยขึ้นมารินน้ำชาหนึ่งถ้วย “รถม้าของเตี้ยนเซี่ยสะดุดตา นอกจากจะนั่งสบายแล้วยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เปิ่นหวางติดตามกลิ่นหอมนั้นมา”
หัวใจของมู่หรงฉือเย็นวาบขึ้นมา คิ้วเลิกขึ้น เขารู้แล้วหรือ? จับได้แล้ว?
วินาทีนั้นหลังของนางแข็งตรง นิ้วเรียวกำเข้าหากันแน่น
เขาดื่มชาพลางมองนางด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้พูดอะไร
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเมื่อครู่ ช่างงดงามหาใดเปรียบ
วันนี้องค์รัชทายาทสวมชุดสีขาวไร้ลวดลาย ชุดสีขาวบริสุทธิ์ราวูเาหิมะที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา เหมือนดอกไม้สีขาวกลีบบางอ่อนนุ่ม ใบหน้าขาวนวล ย้อมไปด้วยสีชมพูระเรื่อ งดงามจนทำให้หัวใจเต้นแรง
มองจากตรงนี้ เห็นนางนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรมากมายราวกับกองหิมะที่ทับถม ด้านนอกมีแสงที่ส่องเข้ามาเป็ครั้งคราว สะท้อนผ่านั์ตาดำที่มีแพขนตาดำปกคลุม เพิ่มความงดงามขึ้นมาอีกหลายส่วน
เหตุใดเขาถึงได้ยิ่งรู้สึกว่าองค์รัชทายาทชักจะงดงามเกินไปเรื่อยๆ เสียแล้ว
มู่หรงฉือรู้ว่าเขากำลังมองพิจารณาตนเองอยู่ มู่หรงอวี้เองก็รู้ว่านางกำลังมองมาที่ตน
“เกี่ยวกับเพลงนั้น เตี้ยนเซี่ยมีความคิดเห็นอย่างไร?” เขาถามเสียงนุ่ม
“สองเื่ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็สองเื่ที่อยู่ในเพลงพื้นบ้านนั้น ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีความเห็นอย่างไร?” นางรู้ว่าเขากำลังทดสอบตนจึงโยนคำถามกลับไปให้เขา
“เ้ากับข้าคิดเห็นไปทางเดียวกัน” เขาหรี่ตาลง “สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เพลงนั้นเจาะจงมาที่ราชวงศ์”
“ท่านอ๋องคิดว่าจะสามารถตรวจสอบต้นตอของเพลงนั้นได้หรือไม่?”
“ผู้มีเจตนาไม่ดีจงใจปล่อยเพลงบทนี้ออกมา ย่อมไม่มีทางให้ใครตรวจสอบพบแน่”
“หรือจะพูดว่า พวกเราเป็ฝ่ายที่ถูกโจมตี อีกทั้งยังไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย”
“หาไม่พบใช่ว่าจะไม่ต้องหา เื่นี้เปิ่นหวางจะสั่งคนให้ไปตรวจสอบจนถึงที่สุด เตี้ยนเซี่ยออกมาข้างนอกก็ระวังความปลอดภัยเอาไว้ให้ดี พาคนมาให้เยอะสักหน่อย”
มู่หรงอวี้มองนางราวกับมีความเป็ห่วงเป็ใยอยู่ในนั้น
มู่หรงฉือตอบเสียงเรียบ “ครั้งหน้าข้าจะพาองค์รักษ์มาสักหลายๆ คน”
เพราะมู่หรงอวี้ก็จะเข้าวัง ดังนั้นทั้งคู่จึงเดินทางไปทางเดียวกัน นางนั่งเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม อยากจะรีบไล่เขาลงจากรถ แต่กลับยากจะเอ่ยปากออกไป
ตอนนี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงะโร้องแรกแหกกระเชอ “เกิดเื่แล้ว...ที่แม่น้ำลั่วเกิดเื่ใหญ่แล้ว...มีคนตาย...”
มู่หรงอวี้มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า ผู้คนมากมายวิ่งไปด้านหน้า เขาะโบอกสารถี “ไปดูที่แม่น้ำลั่ว”
คิ้วเรียวของมู่หรงฉือเลิกขึ้น เกิดเื่คนตายที่แม่น้ำลั่ว หรือว่าจะมีปลากินคน?
เพราะมีประชาชนมากมายบนถนน รถม้าจึงขยับได้ช้ามาก พวกเขาจึงตัดสินใจะโลงจากรถ มู่หรงอวี้จับข้อมือเรียวบางของนาง ก่อนจะวิ่งไปด้านหน้า “อย่าได้พลัดหลงกัน”
นางพยายามสะบัดมือออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าเขาจับเอาไว้อย่างแ่า พยายามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ
เขาจงใจหรือไม่อยากถูกชนจนพลัดหลงกันไปอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ?
ทว่า บุรุษตัวโตสองคนมาจับมือกันวิ่งบนถนนเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเป็เื่แปลก ทั้งยังไร้เหตุผลมากหรือ?
แม่น้ำลั่วคือแม่น้ำสายหลักของเมืองลั่วหยางที่ไหลตัดผ่านกลางเมืองจากทิศเหนือลงใต้ ทั้งสองฝั่งทิวทัศน์งดงาม ต้นหลิวโค้งงอนระย้าราวกับภาพวาด ร้านรวงจึงพากันมาตั้งที่นี่ ส่วนคนที่มาเที่ยวชมก็มีทั้งบัณฑิตและประชาชนทั่วไป
ที่ริมแม่น้ำมีเ้าหน้าที่สี่คนรีบเข้ามาป้องกันบริเวณที่เกิดเหตุกับศพที่พบอย่างรวดเร็ว
“ถอยหลังไป ถอยหลังไป” เ้าหน้าที่คนหนึ่งะโออกมา “คนของหยาเหมิน[1]มาทำงาน อย่าเข้าใกล้มากเกินไป”
“บอกแล้วว่าอย่างเบียดเข้ามา เหตุใดเ้า...” เ้าหน้าที่เห็นบุรุษคนหนึ่งเบียดเข้ามา ก็เอ่ยตำหนิออกไป
มู่หรงอวี้จูงมู่หรงฉือเบียดเข้าไป ใบหน้าเ็าราวกับมีหมอกบางๆ ปกคลุมชั้นหนึ่ง แววตาดุดัน
เ้าหน้าที่เห็นเขาเดินเข้ามา นอกจากไม่ถอยหลังแล้วยังเดินเข้ามาเรื่อยๆ อีก ก็รีบขวางเขาเอาไว้ แล้วพูดเสียงดุ “ข้าบอกแล้วเ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
เชิงอรรถ
[1] 衙门 หยาเหมิน ที่ว่าการท้องถิ่น ว่าการโดยข้าราชการสูงสุดผู้ดูแลพื้นที่ ไม่ระบุตายตัวว่าต้องสังกัดหน่วยงานใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้